ธนาคารไม่มีเวลาอธิบาย...แต่เราต้องรู้
เทคนิคง่ายๆ ได้ดอกเบี้ย(ออมทรัพย์)มากกว่าที่คิด
ความจริง - บัญชีออมทรัพย์ จะมีดอกเบี้ยปันผลเข้ามา ๒ ครั้งต่อปี คือทุกสิ้นเดือนมิถุนายน และสิ้นเดือนธันวาคมของทุกปี
สิ่งที่ควรทำ - ทุกสิ้น เดือนมิถุนายน (30 มิ.ย.)และ สิ้นเดือนธันวาคม (31 ธ.ค.) จงอย่าเพิ่งถอนเงินออกมาใช้จนกว่าจะสิ้นวัน หรือถ้าให้ดีรอถอนเงินวันที่หนึ่งเดือนถัดไปดีกว่า
เพราะเงินที่เหลือค้างบัญชีในวัน นั้น จะทำให้คุณได้ดอกเบี้ย แตกต่างไปจากที่คุณคิด
ตัวอย่าง ณ 30 มิ.ย. เหลือเงินติดบัญชีแค่ 5 บาท ปรากฎว่าดอกเบี้ยปันผลได้แค่ 1 บาทกว่า
ขณะที่ บางคนมีเงินในบัญชี 6000 บาท ได้ดอกเบี้ยไป 50 กว่าบาท
ดังนั้นบางคนมีเงินในบัญชีหลักหมื่น หรือแสน ดอกเบี้ยวันนั้นก็แปรผันไปตามจำนวนเช่นกัน
เหตุนี้เอง ผู้ใหญ่จึงมักสอนว่าเวลาเงินเดือนออกสิ้นเดือน อย่าเพิ่งกดออกมาใช้ ให้รอถอนวันที่หนึ่งเดือนถัดไป เพื่อจะได้ดอกเบี้ยธนาคารมากขึ้น เพราะดอกเบี้ยมาคิด ณ สิ้นเดือนนั่นเอง
โดยเฉพาะบัญชีออมทรัพย์ ต้องจำ 30 มิ.ย. และ 31 ธ.ค. ให้แม่นๆ
สาเหตุที่ตู้ เอทีเอ็ม กลืนบัตรเอทีเอ็ม หรือดูดเงินสดของคุณเข้าไปอีกครั้ง
ความเชื่อ - 1.1 ขณะที่ตู้เอทีเอ็ม เด้งบัตรคืนกลับมา เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น ...งั้นรับโทรศัพท์ก่อนดีกว่า เดี๋ยวค่อยหยิบบัตร
1.2 ขณะที่ตู้เอทีเอ็มเด้งเงินสดที่คุณ ต้องการกดออกมา แต่คุณปวดท้องเบา ...งั้นแอบทำธุระข้างตู้ก่อนดีกว่าเดี๋ยวค่อยหยิบเงิน
ความจริง - ตู้เอทีเอ็ม จะให้เวลารับเงิน หรือรับบัตรเอทีเอ็มคืน เพียง 15 - 20 วินาทีเท่านั้น ถ้าไม่รีบดึงเงิน หรือบัตรออกมา ทั้งสองอย่างจะถูกตู้ดูดกลับเข้าไปอีกครั้ง
เพื่อความปลอดภัยของเงินและบัตร ดังนั้นกรณีที่คุณลืมจริงๆ คนที่ต่อคิวคุณก็จะหยิบไปไม๋ได้นั่นเอง
ทางแก้ - โทร.ติดต่อธนาคารที่คุณเปิดบัญชีไว้ทันทีเพื่ออายัดบัตร หรือเพื่อขอเงินคืน
ใช้บัตรเอทีเอ็ม ที่ตู้ของธนาคารอื่น แล้วโดนตู้นั้นกลืนบัตรเข้าไป
ความเชื่อ - แจ้งอายัดบัตรไว้ก่อน แล้วขอรับบัตรคืนภายหลังได้
ความจริง - ไม่ได้ ธนาคารทุกธนาคารไม่คืนบัตรเอทีเอ็มของต่างธนาคารให้ (ถึงจะอ้างว่าจะไม่ ใช่ความผิดของคุณเลยก็ตาม) ทั้งนี้เป็นไปตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย
กรณีที่อาจได้คืน คือ หากตู้เอทีเอ็มนั้นตั้งอยู่หน้าธนาคาร แล้วคุณโชคดีที่พบกับเจ้าหน้าที่มีใจ (คือทั้งใจดีและเข้าใจ) ก็อาจให้ความช่วยเหลือเป็นกรณีพิเศษให้
ขอทำบัตรเอทีเอ็มใบใหม่ โดยไม่ได้บอกความประสงค์ว่าต้องการบัตรประเภทใด
ความเชื่อ - เดี๋ยวจนท.ธนาคารคง ถามเราเอง ว่าต้องการบัตรแบบไหน แล้วค่อยทำบัตรให้ตามที่เราต้องการ
ความจริง - จนท.ธนาคาร(อาจ)ไม่ถาม แล้วเลือกบัตรที่มีค่าแรกเข้า/ค่าธรรมเนียมรายปีแพงที่สุดให้ เพราะถือว่าเป็นคุณค่าที่คุณคู่ควร
สิ่งที่ควรทำ - เอ่ยปากถามจนท.หรือศึกษาให้แน่ใจก่อนว่าคุุณต้องการบัตรแบบใด ค่าแรกเข้า/รายปีเท่าไหร่ /เวลาถูก ตู้เอทีเอ็มกลืนเข้าไปขอรับคืนบัตรได้มั้ย
ค่าธรรมเนียมการถอนเงินที่ตู้เอทีเอ็มธนาคารอื่น
ความเชื่อ - มีค่าธรรมเนียมเฉพาะ กดถอนเงินที่ตู้ธนาคารอื่น แต่ตรวจสอบยอด ไม่มีค่าธรรมเนียม
ความจริง - มี ทั้งสองกรณี คือ ในแต่ละรอบเดือน ทั้งการถอนเงินและสอบถามยอดที่ตู้เอทีเอ็มธนาคารอื่น ครั้งที่ 5 เป็นต้นไปคิดครั้งละ 5 บาท
บัตรเอทีเอ็มที่มีวงเงินคุ้มครองกรณีเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ
ความเชื่อ - สามารถใช้บัตรนี้ ติดต่อโรงพยาบาล กรณีเกิดอุบัติเหตุ เช่น มีดบาด น้ำร้อนลวก หกล้มได้
ความจริง - ไม่ได้ การรับเงินค่าชดเชยตามวงเงินคุ้มครอง ต้องเป็นกรณีตายด้วยอุบัติเหตุเท่านั้น หรือหากยังไม่ตาย ต้องพิการถาวร เช่นแขนขาด ขาขนาด ตาบอด...ถาวร
บางบริษัทประกันอาจมีเงื่อนไขระบุว่า คุ้มครองเฉพาะอุบัติเหตุ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับมอเตอร์ไซค์ไม่ว่าจะซ้อนหรือขับขี่ด้วยซ้ำ จึงต้องตรวจสอบให้ดี
เจ้าของบัญชีนอนป่วย เซ็นชื่อไม่ได้ มอบอำนาจไม่ได้ จะถอนเงินได้หรือไม่ ถ้าไม่มีบัตรเอทีเอ็ม
ความเชื่อ - ธนาคารอาจอนุโลมให้แปะโป้งแทนการเซ็นชื่อได้ เพราะเห็นว่าป่วยอยู่
ความจริง - ไม่ได้ หากเปิดบัญชีด้วยการเซ็นชื่อ ตัวอย่างลายเซ็นที่สมุดบัญชีเป็นหลักฐานเดียวที่ธนาคารใช้ตรวจสอบตัวบุคคลได้
การแปะโป้งจึงไม่สามารถอนเงินได้ เพราะไม่มีตัวอย่างแปะโป้งให้ไว้กับธนาคาร กรณีที่เจ้าของบัญชีนอนป่วยไม่รู้เรื่องราว บุคคลอื่นจึงถอนเงินแทนไม่ได้
จนกว่าจะหายเป็นปกติหรือเสียชีวิต ญาติจึงนำหลักฐานติดต่อรับเงินได้ ได้แก่
1) หนังสือแต่งตั้งผู้ จัดการมรดก (กทม.ติดต่อศาลแพ่ง ถ.รัชดา/ต่างจังหวัดติดต่อศาลประจำจังหวัด)
2) ทะเบียนบ้าน
3) ใบมรณบัตร
4) สมุดบัญชี
หากเผลอแจ้ง เลขที่บัญชี และเลขที่บัตรประชาชนให้กับมิจฉาชีพที่โทรมาหลอก
ความเชื่อ - รีบอายัดบัตรเอทีเอ็ม และสมุดบัญชี เงินในบัญชีจะได้ปลอดภัย
ความจริง - ไม่จำเป็นต้องอายัด ถ้า..บัตรเอทีเอ็ม สมุดบัญชี และ บัตรประชาชนตัวจริงทั้งหมดยังอยู่กับตัวคุณเอง
มิจฉาชีพไม่สามารถถอนเงินจากบัญชี เพราะการถอนเงินที่ตู้ ต้องใช้บัตรเอทีเอ็ม
และการถอนเงินที่สาขา ต้องใช้บัตรประชาชนตัวจริง และสมุดบัญชีตัวจริง ติดต่อด้วยตนเองเท่านั้น
ปัญหาคือ ตามแผนของมิจฉาชีพเท่าที่พบคือ โทรเข้ามาอีกครั้ง เพื่อหลอกว่ามีเงินโอนเข้าบัญชี ขอให้คุณไปตรวจสอบยอดเงินที่ตู้เอทีเอ็ม
โดยมันจะคอยบอกวิธีขณะคุณทำรายการที่ตู้ ซึ่งมันหลอกว่าเป็นทางลัดในการตรวจสอบ แต่ความจริงเป็นการกดโอนเงินออกไปให้บัญชีมิจฉาชีพ เหยื่อหลงทำตามด้วยความไม่รู้ เพราะหน้าจอเป็นเมนูภาษาอังกฤษ
บางครั้งมันก็หลอก(อีก)ว่า ต้องโอนเงินออกมาที่บัญชีเลขที่นี้ก่อน เพราะเงินในบัญชีเต็ม (คิดได้ไง?) เพื่อจะได้โอนเงิน เข้าไปในบัญชีเหยื่อได้ ซึ่งความจริง คือ หลังจากโอนเงินออกไปให้มันแล้วก็ไม่มีเงินโอนเข้ามาเลย
สิ่งที่ควรทำ - ต้องมีสติ เมื่อรับโทรศัพท์เสมอ เห็นว่าท่าไม่ดี กดวางสายทันที! (คุณลิขิตชีวิตได้ด้วยปลายนิ้ว)
การคิดดอกเบี้ยปรับ สินเชื่อกู้บ้าน (จ่ายช้าไปนิด ทำไมเบี้ยปรับ..บานกว่าที่คิด)
ความ จริง - อัตราดอกเบี้ยปรับ คิดจาก เพดานดอกเบี้ย ลบ ดอกเบี้ยเงินกู้บ้านที่ได้รับ
ซึ่งแต่ละธนาคารกำหนดเพดานดอกเบี้ย ไม่เท่ากัน บางธนาคาร 15% บางธนาคาร 19%
ดังนั้น ต้องรู้เพดานดอกเบี้ยของธนาคารนั้นก่อน แล้วนำ เพดานดอกเบี้ย ลบ ดอกเบี้ยเงินกู้บ้านที่ได้รับ
สมมติ...ดอกเบี้ยเงินกู้ที่ได้ คือ 4% แต่เพดานดอกเบี้ยของ ธนาคารนั้นๆ อยู่ที่ 19% เท่ากับว่าดอกเบี้ยปรับ ตกวันละ 15% ต่อปีต่อวัน!!
ความบานปลายของดอกเบี้ยปรับ อยู่ตรงจุดนี้ คือ คิดจากยอดหนี้คงเหลือทั้งหมดที่กู้มา!!!!
นั่นคือ ถ้ากู้บ้านเป็นเงิน 3.3 ล้าน และเพิ่งผ่อนไป จนเหลือหนี้ที่ 3 ล้านบาท ธนาคารจะนำดอกเบี้ยปรับมาคำนวณจากยอดหนี้ตัวนี้ นั่นคือ
(15% x 3,000,000)/365 = ดอกเบี้ยปรับ 1,233 บาทต่อวัน
แล้วนำยอดนี้ไปคิดดอกเบี้ยในทุกๆวัน ที่เลยกำหนดมานั่นเอง
ข้อควรระวัง คือ ธนาคารอาจบอกคุณว่า สามารถชำระเลยกำหนดได้ 7 วัน ไม่คิดเบี้ยปรับ (ถือเป็น 7 วันทอง) แต่
คุณต้องนับให้เป็น คือ นับวันที่กำหนดชำระ ถือเป็นวันที่ 1 เลย แล้วนับต่อไปอีก 6 วัน ถ้าจ่ายทันภายในวันดังกล่าวนี้จะไม่ถูกปรับ
เช่น กำหนดชำระทุกสิ้นเดือน ระยะปลอดดอกเบี้ยปรับ คือ ภายในช่วงวันที่ 31 ถึง 6 หรือ 30 ถึง 5
แต่ถ้าช้าไปเพียงวันเดียว ดอกเบี้ยปรับอาจ มโหฬาร เพราะธนาคารเริ่มปรับโดยนับย้อนตั้งแต่วันกำหนดชำระ เป็นวันแรกนั่นเลยทีเดียว
นี่คือสาเหตุว่าทำไม จ่ายเกินวันที่ปลอดดอกเบี้ยแค่วันเดียว แต่ธนาคารกลับคิดดอกเบี้ย เป็น 8 วัน เพราะเวลาคิดดอกเบี้ย ถือว่าคิดตั้งแต่วันกำหนดชำระนั่นเอง
การคิดดอกเบี้ยบัตรเครดิต (เหลือยอดค้าง ชำระแค่นิด ..เบี้ยปรับกลับ บานกว่าที่คิด)
ความเชื่อ - คุณรูดไป 900,045 บาท ชำระไปแล้ว 900,000 บาท ขาดอีกเพียง 45 บาทค้างชำระไว้ คิดว่าเดี๋ยวค่อยจ่ายรอบหน้า ดอกเบี้ยคงไม่เยอะ
ความจริง - ธนาคารคิดเบี้ยปรับจากยอดที่คุณรูดไป (ไม่สนใจดูว่าเหลือ ยอดค้างชำระไว้เท่าไหร่) ดังนั้น ดอกเบี้ยปรับคิดจากยอด 900,045 บาท ไม่ใช่ยอดค้างชำระ
ผมขอเพิ่มอีกข้อหนึ่ง
กรณีที่เราอัพสมุดบัญชีผ่านเครื่อง อัตโนมัติ ถ้าเครื่องเกิด error ไม่ปล่อยสมุดออกมา ให้เรารอที่เครื่องประมาณ 5-10 นาทีก่อน อย่าเพิ่งรีบไปไหน
เพราะ เครื่องจะปล่อยสมุดออกมาเอง ถ้าพลาดไปแล้วไม่รอสมุดอย่างผม ก็ต้องแจ้งอายัด และทำสมูดบัญชีใหม่สถานเดียว เสียค่าธรรมเนียมด้วยเน้อ
------------------------------------
รู้เท่าทัน กลโกงเงิน
การหลอกลวงผ่านทางโทรศัพท์ (แก๊ง Call Center)
กลลวงผ่านอิเล็กทรอนิกส์ และ บัตรกดเงินต่าง ๆ
ภัยจากบัตรเครดิตและบัตรผ่อนสินค้า
หลอกเงินผ่านแชร์ลูกโซ่
เงินกู้นอกระบบ
ทำอย่างไร...เมื่อคุณโดนหลอก
ติดต่อใครดี เมื่อถูกโกง
ประมวลข่าวภัยทางการเงิน
สิทธิและหน้าที่ทางการเงิน
สิทธิและหน้าที่ ของผู้ใช้บริการทางการเงิน
สิทธิในการได้รับข้อมูลที่ถูกต้องชัดเจน และครบถ้วน
สิทธิที่ต้องได้รับการปฏิบัติที่เหมาะสม ในการติดตามทวงถามหนี้
สิทธิที่ได้รับความคุ้มครอง เรื่องการรักษาความลับของข้อมูล
สิทธิในการร้องเรียน เมื่อประสบปัญหาการใช้บริการทางการเงิน
หน้าที่ของผู้บริโภค
ดูแลตัวเองอย่างไรให้พ้นภัยการเงิน
ทำอย่างไร เมื่อเป็นลูกหนี้
ทำอย่างไร เมื่อเป็นผู้ค้ำประกัน
รู้จักดอกเบี้ยกัน
ดอกเบี้ย คืออะไร
อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก
อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ธนาคารพาณิชย์ ใช้อ้างอิง
ถามตอบเกี่ยวกับดอกเบี้ยเงินกู้อ้างอิง
ดอกเบี้ยทบต้น
ดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์
ดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือน 6 เดือน และ 12 เดือน
ดอกเบี้ยเงินฝากแบบขั้นบันได
ดอกเบี้ยเงินกู้แบบคงที่ และแบบลอยตัว
ดอกเบี้ยเช่าซื้อแบบเงินต้นคงที่
ดอกเบี้ยเงินกู้แบบลดต้นลดดอก
ดอกเบี้ยของบัตรเครดิต
ดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อส่วนบุคคล
การคิดดอกเบี้ยให้เป็นแบบร้อยละต่อปี
การป้องกันความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย ในมุมมองของธุรกิจรายย่อย
ผู้ประกอบการในระบบการเงินไทย
ผู้ประกอบการมีใครบ้าง
สถาบันการเงินและผู้ประกอบการ ที่ ธปท. กำกับ ดูแล และตรวจสอบ
สถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs)
ผู้ประกอบธุรกิจการเงิน ที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non-bank)
บริษัทหลักทรัพย์ และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน
บริษัทประกันภัย
ผู้ประกอบการประเภทอื่น
> สหกรณ์
> โรงรับจำนำ
> บริษัทเช่าซื้อ และบริษัทลิสซิ่ง
> บริษัทแฟกเตอริง (Factoring)
ไม่ได้รับความเป็นธรรมร้องเรียนที่ไหน
ท่านต้องทราบ การแก้ปัญหา เหล่านี้ ปรึกษาที่
กลโกงเอาเลขหลังบัตรเครดิต
ข้อความต่อไปนี้มีประโยชน์อย่างยิ่ง
ที่จะรู้จักวิธีการหลอกลวงฉ้อฉล ด้วยการแอบอ้างว่าโทรมาจาก Visa หรือ Master Cards
เพื่อให้คุณได้ระมัดระวังตนเองไม่ตกเป็นเหยื่อ
วิธีการฉ้อฉลดังกล่าว
เมื่อรับโทรศัพท์จาก Visa
และรับโทรศัพท์จาก Master Card
ในวันต่อมา
คนที่โทรมาพูดว่า "ดิฉัน...(ชื่อ) โทรจากฝ่ายรักษาความปลอดภัยของ Visa ค่ะ
คือเราตรวจพบว่ามีความผิดปกติในการสั่งซื้อ
จึงโทรมาตรวจสอบว่าบัตร Visa ของคุณที่ออกโดยธนาคาร...(ชื่อ)
มีการสั่งซื้ออุปกรณ์ระบบป้องกันภัยมูลค่า 20,000 บาท จากบริษัทในอเมริกาหรือเปล่าคะ"
เมื่อคุณบอกว่า "เปล่านี่คะ" คนที่โทรมาก็จะบอกว่า
"ถ้าอย่างงั้นเราจะคืนเงินให้คุณกลับคืน
เรากำลังตรวจสอบบริษัทฉ้อฉล
โดยมีวงเงินที่ฉ้อฉลโกงลูกค้า ครั้งละ
12,000-20,000 บาท
เราจะส่งหนังสือแจ้งการคืนเงินให้คุณทราบที่...(ที่อยู่ของคุณ)
ถูกต้องมั้ยคะ"
เมื่อคุณบอกว่า "ถูกต้องค่ะ" คนที่โทรมาจะพูดต่อไปว่า
"ดิชั้นจะทำการสืบสวนต่อไป หากคุณมีข้อสงสัย
ให้โทรตามหมายเลขที่อยู่หลังบัตร
แล้วต่อฝ่ายรักษาความปลอดภัย
คุณต้องระบุหมายเลขอ้างอิงนี้
(คนที่โทรมาจะบอกหมายเลข 6 หลัก)
คุณต้องการให้ดิชั้นทวนหมายเลขมั้ยคะ"
ต่อไปนี้จะเป็นส่วนสำคัญของกลโกง
คนที่โทรมาจะพูดว่า "เพื่อให้ทราบว่าคุณเป็นเจ้าของบัตร
ที่แท้จริงของบัตรเครดิตการ์ดใบนี้
กรุณาพลิกด้านหลังของบัตรและให้ดูที่หมายเลข 7 ตัวสุดท้าย
4 ตัวแรกจะเป็นหมายเลขบัตร 3 ตัวต่อมาจะเป็นเลขสำหรับ
รักษาความปลอดภัยว่าคุณคือเจ้าของที่แท้จริง
และใช้ในการสั่งซื้อสินค้าทางอินเทอร์เน็ต
กรุณาบอกเลข 3 ตัวสุดท้ายด้วยค่ะ"
เมื่อคุณบอกเลข 3 ตัวสุดท้ายไป คนที่โทรมาจะบอกว่า
"ตัวเลขถูกต้อง ดิชั้นต้องการให้แน่ใจว่า
บัตรยังอยู่กับคุณ มิได้สูญหาย
หรือถูกขโมย คุณมีข้อสงสัยอื่นใดอีกหรือเปล่าคะ"
เมื่อคุณบอกว่า "ไม่มีค่ะ"
คนโทรมาจะขอบคุณและบอกว่า หากมีในภายหลัง
ก็ให้โทรสอบถามได้เสมอ แล้ววางสาย
ความจริงคุณพูดไปน้อยมาก คนโทรมาไม่ได้ขอหมายเลขบัตรเครดิตของคุณ แต่ภรรยาผมเกิดเอะใจ จึงโทรกลับไปทันที
หลังจากวางสายไป 20 นาที
และปรากฏว่า Visa ตัวจริงบอกว่า ภรรยาผมถูกหลอกแล้ว
และเมื่อ 15 นาทีที่ผ่านมาได้มีรายการซื้อสินค้าจำนวน 20,000 บาท
ส่งมาเรียกเก็บ ในที่สุด Visa ได้ยกเลิกบัตร
และออกบัตรใหม่ให้
ผู้ฉ้อฉลต้องการเลขเพียง 3 ตัวสุดท้ายด้านหลังบัตร
อย่าให้ไปเป็นอันขาด ให้คุณบอกว่า
ถ้ามีปัญหาแล้วจะโทรกลับไปแจ้งเองโดยตรงจะดีกว่า
วันพฤหัสบดีต่อมา ผมได้รับโทรศัพท์จากคุณ...(ชื่อ)
อ้างว่าโทรจาก Master Card
ซึ่งมีข้อความเหมือนกับที่ภรรยาผมได้รับคำต่อคำเลย
ผมเลยไม่รอให้เขาพูดจบ
ผมรีบวางสาย แล้วไปแจ้งความที่สถานีตำรวจตามที่ Visa ให้คำแนะนำมา
ตำรวจบอกว่า ได้รับแจ้งแบบเดียวกันนี้ วันหนึ่งหลายราย
เราต้องระมัดระวังตนเอง ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ
ผู้ไม่มีหนึ้ เป็นความสุขที่สุดในชีวิตนี้เลย.....