3. อาหารสำหรับผู้สูงอายุ
3.1. กิน อาหารให้หลากหลาย ดูและไม่ให้อ้วน
3.2. กิน ข้าวซ้อมมือมื้อละ 1-2 ทัพพี ผัก 6 ทัพพี ผลไม้เท่าลูกส้ม 1 ผล มะละกอ 6 คำ
ดม นมพร่องมันเนย 1-2 แก้ว
3.3. กิน เนื้อสัตว์ไม่ติดหนังและมัน เนื้อปลา แกงไม่ใส่กะทิ และผลิตภัณท์ถัวเหลือง
3.4. เลี่ยง สารปรุงรส อาหารหมักดอง หวานจัด เค็มจัด ไม่เติมเครื่องปรุงเพิ่มในอาหารปรุงสำเร็จ
3.5. กิน อาหารสด สะอาด ปรุงสุกใหม่ ๆ
4. กินอาหาร เจ ทุกปี 9 วัน 10 ข้อปฏิบัติ
4.1. ไม่กินผักที่มีกลิ่นฉุน 5 ชนิด (กระเทียม หัวหอม หลักเกียว กุยฉ่าย ใบยาสูบ) รวมทั้งเครื่องเทศที่มีกลิ่นฉุน
4.2. งดกินเนื้อสัตว์
4.3. งดอาหารรสจัด
4.4. ไม่กินอาหารที่ผู้ปรุงไม่ได้กินเจ
4.5. รักษาศีล 5
4.6. ไม่ฆ่าสัตว์
4.7. สวมใส่เสื้อผ้าชุดขาว
4.8. พูดจาไพเราะ
4.9. งดดื่มสุรา ของมึนเมา
4.10. ไม่ดับโคมไฟ (ต้องจุดไว้โดยตลอดทั้ง 9 ดวง)
-----------------------------------------------------------------------------------------------
ภัยเงียบจากพาราเซตามอล (Health Magazine)
พาราเซตามอล เป็นยาสามัญประจำบ้านที่เรียกได้ว่าแทบจะมีติดบ้านกันเกือบทุกหลังคาเรือน และดูเหมือนว่าเราจะใช้ยาชนิดนี้ตั้ง แต่เด็กเล็ก ๆ ให้กับลูก ๆ หลาน ๆ ให้กับตัวเอง ใช้เรื่อยไปตั้งแต่ปวดหัว เป็นไข้ ตัวร้อน ปวดประจำเดือน ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดฟัน ฯลฯ เป็นยาสามัญที่สามารถซื้อหาได้อย่างสะดวก และเราจะพบยาตัวนี้ ทั้งที่เป็นยาเดี่ยว เช่น ไทลีนอล, พานาดอล, เทมปร้า, คาลปอล, ซาร่า หรือเป็นยาผสมในยาตัวอื่น เช่น ทิฟฟี่, ดีคอลเจน ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม การใช้ยานี้อย่างพร่ำเพรื่อ และใช้ติดต่อกันนานเกินไป อาจก่อนปัญหาภาวะพิษต่อตับได้ ในประเทศสหรัฐอเมริกา เราอาจจะรู้สึกแปลกใจที่ทราบว่าสาเหตุลำดับต้น ๆ ของการเกิดตับวาย ไม่ใช่มาจากแอลกอฮอล์ หรือมาจากไวรัสตับอักเสบ แต่สาเหตุอันดับหนึ่งกลับมาจากยาโดยเฉพาะพาราเซตามอล เพื่อนคู่บ้านนั่นเอง
มีผู้ที่ต้องเข้ารับการรักษาใโรงพยาบาลเนื่องจากพิษของพาราเซตามอล เป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของการเกิดตับวายในประเทศสหรัฐอเมริกา จำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตจากตับวาย จากพาราเซตามอลต่อปีในปัจจุบันยังสูงกว่าตัวยารักษาเบาหวานRezulin (troglitazone) ซึ่งถูกถอดทะเบียนออกไปแล้วเนื่องจากพิษต่อตับเสียอีก
กลไกการทำลายตับของยา Acetaminophen หรือพาราเซตามอลนี้ พบว่ายาชนิดนี้เมื่อใช้ในร่างกาย การจะขับออกไปจากร่างกายได้ต้องผ่านขบวนการขับพิษที่ตับสองขั้นตอน ขั้นตอนที่หนึ่งก่อให้เกิดสารผลิตผลที่เป็นพิษ (Toxic metabolite) ชื่อ NAPQI ซึ่งต้องเข้าสู่ขั้นตอนที่สองซึ่งใช้สารกลูต้าไธโอนในตับลดลง หากใช้นานติดต่อกันหรือใช้เกินขนาด ก็จะทำให้ระดับสารผลิตผลที่เป็นพิษนี้เพิ่มมากขึ้นส่งผลเป็นพิษต่อตับรุนแรงในที่สุด ดังนั้น ถ้าหากสามารถผลิตยาที่มีส่วนผสมของพาราเซตามอล และ N-acetyl cysteine ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่ช่วยเพิ่มระดับของสารกลูต้าไธโอนในเซลล์ได้ วิธีการนี้อาจจะสามารถกำจัด หรือช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากพาราเซตามอลได้ (ซีสเทอีนเป็นส่วนประกอบในยาขับเสมหะ เป็นกรดอะมิโนซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการผลิตกลูต้าไธโอน หากต้องการให้ระดับกลูต้าไธโอนในเซลล์ต่าง ๆ โดยเฉพาะเซลล์ตับสูงขึ้นจะใช้ N-acetyl Cysteine เพราะการรับประทานกลูต้าไธโอนโดยตรง อาจไม่ได้ผลเช่นนั้นมากนัก เนื่องจากกลูต้าไธโอนมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ จึงถูกใช้ไปในการต้านอนุมูลอิสระในระบบทางเดินอาหาร หากดูดซึมเข้าไปบ้างก็จะถูกใช้ไปในการต้านอนุมูลอิสระที่อยู่ในกระแสโลหิต)
เนื่องจากว่าพาราเซตามอล เและอเซทิลซีสเทอิน N-acetyl cysteine มีจำหน่ายทั่วไป เราอาจจะคิดว่าการออกสูตรยาพาราเซตามอลซึ่งปลอดภัยไม่น่ายก แต่ที่จริงแล้วมันเป็นปัญหาใหญ่เพราะ FDA สหรัฐอเมริกาไม่อนุญาตให้ใส่ตัวยาทั้งสองเข้าด้วยกันจนกว่าการจดทะเบียนเป็นยาตำรับใหม่จะได้รับการอนุมัติ คือต้องผ่านการศึกษาวิจัยทางคลินิก และต้องผ่านการอนุมัติจาก FDA จึงจะสามารถผลิตออกมาจำหน่ายได้ ขวบนการทั้งหลายเหล่านี้ต้องใช้เงินนับร้อยล้านเหรียญ และใช้เวลานับทศวรรษถึงจะสำเร็จลงได้ ด้วยเหตุนี้ยาสูตรใหม่ พาราเซตามอลที่ปลอดภัยจึงไม่เคยออกสู่ท้องตลาดเลย
พาราเซตามอล อันตรายอย่างไร?
ในแต่ละปี สหรัฐอเมริกามีผู้ป่วยที่ได้รับรายงาน ความเป็นพิษจากยาพาราเซตามอลประมาณ 100,000 ราย ถูกนำส่งห้องฉุกเฉิน 56,000 ราย ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล 26,000 ราย การใช้พาราเซตามอลเป็นประจำจะทำให้เกิดความเสี่ยงเป็นมะเร็งไตเพิ่มขึ้นเท่าตัว ซึ่งโรคนี้คร่าชีวิตคนอเมริกัน 12,000 ราย ต่อปี อุบัติการณ์ในการเกิดมะเร็งไตในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นถึง 126% นับตั้งแต่ทศวรรษ 1990 เป็นต้นมา การก้าวกระโดดของการเกิดโรคนี้อาจจะเกี่ยวโยงกับการใช้ยาที่ผสมพาราเซตามอลเพิ่มขึ้น เนื่องจากอนุมูลอิสระจาก toxic metabolite ของพราราเซตามอลกระจายไปทั่วร่างกาย เพราะฉะนั้นก็สามาารถทำให้เพิ่มความเสี่ยงของโรคที่เกี่ยวข้องกับความแก่ชราอย่างอื่นได้อีก นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการทดลองในสัตว์พบว่าพาราเซตามอลทำให้เกิดต้อกระจกในสัตว์ทดลองได้
สาเหตุของภาวะพิษจากพาราเซตามอล
ภาวะพิษจากพาราเซตามอลเกิดขึ้นได้จากเหตุโดยตั้งใจ คือการรับประทานยาเกินขนาดเพื่ออัตวินิบาตกรรม และโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งเกิดได้จากสาเหตุต่าง ๆ ดังนี้
1.รับประทานยาชนิดอื่นที่มีส่วนผสมของราราเซตามอลโาดยไม่ทราบ แล้วรับประทานพาราเซตามอลเข้าไปอีก เนื่องจากปัจจุบันยาหลายชนิดมีส่วนผสมของพาราเซตามอล เช่น ยาบรรเทาหวัดลดไข้ ยาบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ ยาคลายกล้ามเนื้อหลายชนิด
2. ปัจจัยเฉพาะบุคคลที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อตับได้ง่าย เช่นในผู้ที่ดื่มสุรา ผู้ป่วยโรคตับภาวะขาดสารอาหารซึ่งส่งผลให้ระดับกลูต้าไธโอนลดลง ในกลุ่มนี้ก่อให้เกิดพิษจากพาราเซตามอลได้ง่าย แม้ว่าจะรับประทานในขนาดปกติก็ตาม
3. การใช้ยาร่วมกัน โดยเฉพาะยาที่ออกฤทธิ์กระตุ้นเอนไซม์ในระบบขับสารพิษชื่อ CYP450 2E1 ในตับเช่นยา phenytoin, carbamazepine, rifampin เป็นต้น
แนวทางป้องกันและแก้ไข
ควรหลีกเลี่ยงการใช้พาราเซตามอล ในผู้ป่วยที่เป็นโรคตับเรื้อรัง พิษสุรา ภาวะขาดสารอาหาร และในผู้ที่กำลังรับประทานยาที่กระตุ้นเหนี่ยวนำเอนไซม์ cytochrome P450 2E1 ...ห้ามทานพาราเซตามอลแล้วดื่มสุรา หากกำลังใช้ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาบรรเทาหวัด ให้อ่านฉลากให้ดีว่ามีส่วนผสมของพาราเซตามอลหรือไม่ และไม่รับประทานซ้ำซ้อนข้าไปอีก...
ไม่ควรใช้ยานี้เกินวันละ 2,600 มิลลิกรัม (ประมาณ 5 เม็ด ในขนาด 500 mg, จำนวน 8 เม็ดในขนาด 325 มิลลิกรัม) ขนาดรับประทานคือ 10 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัวหนึ่งกิโลกรัม สูงสุดไม่เกินครั้งละ 650 มิลลิกรัม
การใช้ยาในเด็กเล็ก ให้ดูฉลากเพราะยาน้ำนี้ในประเทศไทยมีหลายขนาด ปริมาณมิลลิกรัมต่อหนึ่งช้อนชาแตกต่างกันไป และคำนวณความต้องการให้ถูกต้องก่อนเสมอ
ใช้พาราเซตามอลติดต่อกันไม่เกิน 3 วัน ควรปรึกษาแพทย์หากอาการต่าง ๆ ไม่ดีขึ้น เพื่อค้นหาสาเหตุโรคที่แท้จริง และแก้ไขตรงจุดต่อไป
การใช้ยาทางเลือก สามารถเลือกได้หลายขนาน เช่น ยาเขียวแก้ไข้ ยาจันทลีลา ยาฟ้าทะลายโจร ยาขมชนิดต่างๆ ล้วนมีฤทธิ์ลดไข้
หากจะต้องการใช้พาราเซตามอลให้ปลอดภัย คือ รับประทาน N-Actyl Cysteine ร่วมไปด้วย ก็จะเพิ่มปริมาณกลูต้าไธโอนในตับ ทำให้สารพิษ toxic metabolite ชื่อ NAPQI ที่เกิดจากขบวนการดีท๊อกพาราเซตามอลที่ตับมีจำนวนลดลง โดยถูกกลูต้าไธโอนจับเปลี่ยนเป็นสารประกอบที่ไม่อันตรายขับออกจากร่างกายได้
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
Health Magazine
วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม 2553
ศูนย์วิจัยใน รัฐออนโตริโอ ประเทศแคนนาดา
17 ธค. 2555
น้ำสมโอ หรือเนื้อส้มโอ (grape fruits) กินก่อนหรือหลังกินยา จะทำให้มีผลทางลบ
เนื่องจากเอ็มไซน์ CYP23A4 ในสมโอจะทำปฎิกิริยากับยาที่กินในกระเพาะอาหารและในลำไส้
ทำให้เสริมฤทธิ์เป็นทวีคูณ เป็นอันตรายต่อผู้ป่วยได้ ยากิน ที่ตรวจพบ ได้แก่
- ยากิน ลดความดันโลหิต
- ยากิน ลดไขมันในเลือด
- ยากิน ชนิดอื่น ๆ อีก ที่ผลิตในปี พ.ศ. 2551-2555 ขณะนี้ยาที่มีผลกระทบ รวม 47 ชนิดยาแล้ว
ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์ประจำตัวก่อน ว่าสามารถรัปทานยาร่วมกับส้มโอ ได้หรือไม่ นะครับ
โดยนายเดวิต เบรลี่ ผู้เชี่ยวชาญด้านเภสัชศาสตร์
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ท่านจะพบข้อมูลที่หลากหลาย ถูกต้อง เชื่อถือได้
เชิญกดไปดูที่ เว็บสารสนเทศสุขภาพไทย >>> http://www.healthinfo.in.th/
ประชากร/เกิด/ตาย ข้อมูลด้านประชากร การเกิด การตาย สาเหตุการตาย ปัจจัยกระทบประชากร
ภาระโรค ข้อมูลการสูญเสียจากการตายก่อนวัยอันควร และความพิการ วัดเป็นปีสุขภาวะ
โภชนาการ/อาหาร ข้อมูลสถานการณ์ด้านโภชนาการ และการบริโภคอาหาร รวมผลกระทบ
บุหรี่/ยาสูบ ข้อมูลสถานการณ์การสูบบุหรี่/ยาสูบ รวมสาเหตุและผลกระทบ
เพศสัมพันธ์ ข้อมูลสถานการณ์การมีเพศสัมพันธ์ ที่ไม่ปลอดภัย รวมสาเหตุและผลกระทบ
พลังงาน/สาธารณูปโภค ข้อมูลสถานการณ์ด้านพลังงาน อาหาร สาธารณูโภค สื่อและเทคโนโลยี
ครอบครัว ข้อมูลสถานการณ์ด้านครอบครัว รวมสาเหตุและผลกระทบ
เด็กและเยาวชน ข้อมูลสุขภาพเด็กและเยาวชน พฤติกรรม การป่วย การตาย และปัจจัยทางสังคม
ทรัพยากรสุขภาพ ข้อมูลทรัพยากรสุขภาพ ด้านกำลังคน สถานพยาบาล ยาและเครื่องมือแพทย์
โรคติดต่อ ข้อมูลการป่วย การตายด้วยโรคติดต่อ เช่น เอดส์ ไข้เลือดออก ไข้หวัดใหญ่ ฯลฯ
พิการ ข้อมูลสถานการณ์ด้านความพิการ รวมสาเหตุและผลกระทบ
สุขภาพจิต ข้อมูลด้านสุขภาพจิต เช่น โรคจิต ซึมเศร้า การฆ่าตัวตาย และปัจจัยที่ส่งผล
สุรา/เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ข้อมูลสถานการณ์การดื่มสุรา/เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมสาเหตุและผลกระทบ
ยาเสพติด ข้อมูลสถานการณ์การใช้ยาเสพติด รวมสาเหตุและผลกระทบ
เศรษฐกิจ ข้อมูลสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจ รวมผลกระทบด้านสังคมและสุขภาพ
สุขภาวะชุมชน ข้อมูลสถานการณ์สุขภาพที่เกี่ยวข้องกับชุมชน รวมปัจจัยทางสังคม
วัยแรงงาน ข้อมูลสุขภาพวัยแรงงาน พฤติกรรมเสี่ยง การป่วย การตาย และปัจจัยทางสังคม
ค่าใช้จ่ายสุขภาพ ข้อมูลรายจ่ายสุขภาพของประเทศและของครัวเรือน และการคลังสุขภาพ
โรคไม่ติดต่อ ข้อมูลการป่วย การตายด้วยโรคไม่ติดต่อ เช่น มะเร็ง เบาหวาน โรคหัวใจ ฯลฯ
อุบัติเหตุ/อุบัติภัย ข้อมูลอุบัติเหตุจราจร อุบัติเหตุอื่นๆ และอุบัติภัย รวมสาเหตุและผลกระทบ
สุขภาพอื่นๆ ข้อมูลสุขภาพอื่นๆ เช่น โรคจากอาชีพและสิ่งแวดล้อม ทันตสุขภาพ พัฒนาการ ฯลฯ
ออกกำลังกาย ข้อมูลสถานการณ์การออกกำลังกาย/การใช้กำลังกาย รวมผลกระทบ
สิ่งแวดล้อม/อาชีวอนามัย ข้อมูลสถานการณ์มลภาวะ สุขาภิบาล อาชีวอนามัย รวมผลกระทบ
สังคม/ศึกษา ข้อมูลสถานการณ์ด้านสภาพสังคม และการศึกษา รวมผลกระทบด้านสุขภาพ
แม่และเด็ก ข้อมูลด้านอนามัยแม่และเด็ก การเกิด การตาย โภชนาการ และพัฒนาการ
ผู้สูงอายุ ข้อมูลสุขภาพวัยสูงอายุ พฤติกรรมเสี่ยง การป่วย การตาย และปัจจัยทางสังคม
บริการสุขภาพ ข้อมูลการจัดบริการสุขภาพ การเข้าถึงบริการ และคุณภาพบริการสุขภาพ
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เพศ รายการตรวจ
1. F/M ตรวจร่างกายโดยอายุรแพทย์ (Physical Examination)
2. F/M ตรวจสายตาโดยละเอียด (Eye Examination)
3. F/M ตรวจสุขภาพปากและฟัน (Dental Check Up)
4. F/M ตรวจเอ็กซเรย์ปอดและหัวใจ (Chest X-Ray)
5. F/M ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete Blood Count)
6. F/M ตรวจปัสสาวะ (Urinalysis Count)
7. F/M ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด (Fasting Blood Sugar)
8. F/M ตรวจการทำงานของไต (Creatinine)
9. F/M ตรวจการทำงานของไต (Blood Urea Nitrogen)
10. F/M ตรวจปริมาณไขมันโคเลสตอรัลโดยรวมในเลือด (Cholesterol)
11. F/M ตรวจไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือด (Triglyceride)
12. F/M ตรวจปริมาณไขมันชนิดดีในเลือด (HDL-Cholesterol)
13. F/M ตรวจปริมาณไขมันชนิดเลวในเลือด (LDL-Cholesterol)
14. F/M ตรวจสมรรถภาพของตับ (SGOT)
15. F/M ตรวจสมรรถภาพของตับ (SGPT)
16. F/M ตรวจสมรรถภาพของตับ (ALK PHOS)
17. F/M ตรวจสมรรถภาพของตับ (Gramma GT)
18. F/M ตรวจกรดยูริค (URIC Acid)
19. F/M ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG)
20. F/M ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจโดยการออกกำลังกาย (EST)
21. F/M ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจความถี่สูง (ECHO)
22. F/M ตรวจอัลตร้าซาวด์ช่องท้องบนและล่าง (US Whole)
23. F/M ตรวจอัลตร้าซาวด์ช่องท้องบนหรือล่าง (US Upper or Lower)
24. F/M ตรวจหาสารบ่งชี้มะเร็งในตับ (AFP)
25. F/M ตรวจหามะเร็งระบบทางเดินอาหาร (CEA)
26. F/M ตรวจน้ำดี (Direct Billirubin)
27. F/M ตรวจน้ำดี (Total Billirubin)
28. F/M ตรวจระดับโปรตีนในเลือด (Total Protein)
29. F/M ตรวจระดับโปรตีนในเลือด (Albumin)
30. F/M ตรวจวัดความดันหลอดเลือดส่วนปลาย (ABI)
31. -/M ตรวจหามะเร็งต่อมลูกหมาก (PSA)
32. F/- ตรวจหามะเร็งปากมดลูก (Thinprep) HPV
33. F/M ตรวจความหนาแน่นมวลกระดูก (Bone Densitometry)
34.