นิกายสําคัญของพระพุทธศาสนา

หลังจากที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ประมาณ 100 ปี พระพุทธศาสนาก็เริ่มมีการแตกแยกใน ด้านความคิดเห็นเกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระธรรมวินัย จนถึงสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ก็แตกแยกกัน ออกเป็นนิกายใหญ่ ๆ 2 นิกาย คือ มหายาน (อาจาริยวาท) กับหินยาน (เถรวาท) มหายาน “มหายาน” แปลว่า “ยานใหญ”เป็นลัทธิของภิกษุฝ่ายเหนือของอินเดียซึ่งมีจุดมุ่งหมายที่จะเผยแพร่พระพุทธศาสนาให้มหาชนเลื่อมใสเสียก่อนแล้วจึงสอนให้ระงับดับกิเลส ทั้งยังได้แก้ไขคําสอน ในพระพุทธศาสนาให้ผันแปรไปตามลําดับ ลัทธินี้ได้เขาไปเจริญรุ่งเรืองอยู่ในทิเบต จีน เกาหลี ญี่ปุนและเวียดนาม เป็นต้น


หินยาน คําวา “หินยาน” เป็นคําที่ฝ่ายมหายานตั้งให้ แปลว่า “ยานเล็ก” เป็นลัทธิของภิกษุฝ่ายใต้ ที่สอนให้พระสงฆ์ปฏิบัติ เพื่อดับกิเลสของตนเองก่อน และห้ามเปลี่ยนแปลงแก้ไขพระวินัยอย่างเด็ดขาด นิกายนี้มีผู้นับถือในประเทศศรีลังกา ไทย พม่า ลาว และกัมพูชา โดยเฉพาะประเทศไทย เป็นศูนย์กลาง นิกายเถรวาท เพราะมีการนับถือพระพุทธศาสนานิกายนี้สืบต่อกันมาตั้งแต่บรรพชน พระพุทธเจ้าไม่ใช่ เทวดาหรือพระเจ้า แต่เป็นมนุษย์ที่มีศักยภาพเหมือนสามัญชนทั่วไป สามารถบรรลุสัจธรรมได้ด้วยความวิริยะ อุตสาหะ หลักปฏิบัติในชีวิตที่ทุกคนควรกระทํา คือ ทําความดี ละเว้นความชั่ว ทําจิตใจให้ผ่องแผ้ว และการที่ เราจะทําสิ่งเหลานี้ได้นั้น จะต้องมีศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อเป็นพาหนะนําผู้โดยสารข้ามทะเลแห่่งวัฏสงสาร ไปสู่พระนิพพาน

บุคคลสําคัญในสมัยพุทธกาล

พระสารีบุตร    เป็นอัครสาวกเบื้องขวาของพระพุทธเจ้า ได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่า เป็นเลิศ กว่าพระสงฆ์ทั้งปวง ในด้านสติปัญญา นอกจากนี้พระสารีบุตร ยังมีคุณธรรมในด้านความกตัญู และการ บําเพ็ญประโยชน์ให้แก่พุทธศาสนาอีกด้วย ท่านได้รับการยกย่องว่าเป็น ธรรมเสนาบดีคู่กับพระพุทธเจ้าที่ เป็นธรรมราชา เนื่องจากท่านเป็นผู้มีปฏิญาณในการแสดงพระธรรมเทศนา คือ ชี้แจงให้ผู้ฟังเขาใจได้ชัดเจน สําหรับในด้านความกตัญู นั้น ท่านได้ฟังธรรมจากพระอิสสชิเป็นท่านแรก และเกิดธรรมจักษุ คือ ดวงตา เห็นธรรม หมายความว่า สิ่งใดเกิดเป็นธรรมดา ย่อมดับเป็นธรรมดา จากนั้นเมื่อก่อนที่ท่านจะนอนท่านจะ กราบทิศที่พระอัสสชิอยู่และหันศีรษะนอนไปยังทิศนั้น


พระมหาโมคคัลลานะ   เป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายของพระพุทธเจ้า เป็นผู้มีเอตทัคคะในด้านผู้มีฤทธิ์

ท่านเป็นผู้ฤทธานุภาพมาก สามารถกระทําอิทธิฤทธิ์ไปเยี่ยมสวรรค์และนรกได้ จากนั้นนําข่าวสารมาบอก ญาติมิตรของผู้ที่ไปเกิดในสวรรค์และนรกให้ได้ทราบ ประชาชนทั้งหลายจึงมาเลื่อมใสพระพุทธศาสนา ทําให้ประชาชนเสื่อมคลายความเคารพเดียรถีย (นักบวชลัทธิหนึ่งในสมัยพุทธกาล) พวกเดียรถียจึงโกรธแค้นท่านมากจึงลงความเห็นว่า ให้กําจัดพระโมคคัลลานะ นอกจากนั้นจึงจ้างโจรไปฆ่าพระเถระ พวกโจรจึงล้อมจับ พระเถระท่านรู้ตัวหนีไปได้ 2 ครั้ง ในครั้งที่ 3 ท่านพิจารณาเห็นว่าเป็นกรรมเก่า จึงยอมให้โจรจับอย่าง ง่ายดาย โจรทุบกระดูกท่านจนแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี ก่อนที่ท่านจะยอมนิพพาน เพราะกรรมเก่า ท่านได้ไป ทูลลาพระพุทธเจ้าก่อนแล้วจึงนิพพาน


อนาถบิณฑิกเศรษฐี เป็นผู้ได้รับการยกย่องเป็นนายกฝ่ายอุบาสก ท่านเป็นเศรษฐีอยู่เมืองสาวัตถีเป็นผู้มีศรัทธาแรงกล้าเป็นผู้สร้างพระเชตุวันมหาวิหารถวายแก่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ที่วัดนี้ถึง 19 พรรษา นอกจากท่านจะอุปถัมภ์บํารุงพระภิกษุสงฆ์แล้ว ยังได้สงเคราะห์คนยากไร้อนาถาอย่าง มากมายเป็นประจําจึงได้ชื่อว่า อนาถบิณฑิก ซึ่งแปลว่า 

ผู้มีกอนขาวเพื่อคนอนาถา

พระเจ้าพิมพิสาร เป็นอุบาสกที่สําคัญอีกผู้หนึ่ง พระองค์เป็นพระเจ้าแผ่นดินครองแคว้นมคธ ครองราชย์สมบัติอยู่ที่กรุงราชคฤห ท่านถวายพระราชอุทยานเวฬุวันแก่พระพุทธเจ้านับว่า

เป็นวัดแห่งแรก ในพระพุทธศาสนา

พระอานนท์   เป็นสหชาติและพุทธอุปฏฐากของพระพุทธเจ้า ได้รับการยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะวาเป็นผู้มีพหูสูต เนื่องจากทรงจําพระสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ และเป็นผู้สาธยายพระสูตรจนทําให้ การปฐมสังคายนาสําเร็จเรียบร้อย นอกจากนั้นท่านยังทําหน้าที่เป็นพุทธอุปฏฐากของพระพุทธเจ้าได้อย่างดี รวม  25 พรรษา ด้วยความขยันขันแข็งที่เป็นภารกิจประจําและได้รับการยกย่องจากสมเด็จพระสัมมา- สัมพุทธเจ้าให้เป็นเอตทัคคะ (เลิศ) 5 ประการ คือ

             1. มีสติรอบคอบ

             2. มีความทรงจําแม่นยํา

             3. มีความเพียรดี

             4. เป็นพหูสูต

             5. เป็นยอดของพระภิกษุผู้อุปฏฐากพระพุทธเจ้า

นางวิสาขา  ผู้เป็นฝ่ายอุบาสิกาเป็นเลิศในการถวายทานและนางเป็นผู้มีความงามครบ 5 อย่าง ซึ่งเรียกวา เบญจกัลยาณี ได้แก่ เป็นผู้มีผมงาม คือ มีผมยาวถึงสะเอวแล้วปลายผมงอนขึ้น เป็นผู้มีเนื้องาม คือ ริมฝีปากแดง ดุจผลตําลึงสุกและเรียบชิดสนิทดี เป็นผู้มีกระดูกงาม คือ ฟันขาวประดุจสังขและเรียบเสมอกัน เป็นผู้มีผิวงาม คือ ผิวงามละเอียด ถาดําก็ดําดังดอกบัวเขียว ถาขาวก็ขาวดังดอกกรรณิการ เป็นผู้มี วัยงามแม่จะคลอดบุตรถึง  10 ครั้ง ก็คงสภาพร่างกายสาวสวยดุจคลอดครั้งเดียว ปกตินางวิสาขาไปวัด วันละ 2 ครั้ง คือ เช้า เย็น และมีของไปถวายเสมอ เวลาเชาจะเป็นอาหาร เวลาเย็นจะเป็นน้ําปานะ นางเป็น ผู้สร้างวัดบุปผารามถวายพระบรมศาสดา และเป็นผู้คิดถวายผ้าอาบน้ําฝนแก่พระเณร เพราะพระเณรไม่มี

 ผ้าอาบน้ํา เปลือยกายอาบน้ำฝนดูไม่เหมาะสม