การแต่งบทเพลง มีส่วนสำคัญ 2 ส่วน คือ ทำนองและเนื้อร้อง ซึ่งผู้ประพันธ์จะเลือกแต่งทำนองหรือเนื้อร้องก่อนก็ได้ ดังนั้นการสร้างสรรค์บทเพลงให้มีความไพเราะ ผู้ประพันธ์จึงต้องมีเทคนิคและการแสดงออกในการสร้างสรรค์บทเพลง ดังนี้
1 จินตนาการในการสร้างสรรค์บทเพลง
การสร้างสรรค์บทเพลงแต่ละบทเพลง ผู้ประพันธ์จะต้องมีเทคนิคต่างๆ ที่สร้างสรรค์ให้บทเพลงมีความไพเราะ และต้องใช้จินตนาการในการแต่งบทเพลง โดยอาจใช้สิ่งแวดล้อมรอบตัวหรือประสบการณ์ต่างๆ เป็นแรงบันดาลใจในการแต่งเพลง
บทเพลงไทยมีหลายประเภท ซึ่งผู้แต่งจะต้องคำนึงถึงลักษณะของการนำบทเพลงไปใช้ด้วย แบ่งลักษณะของบทเพลงเป็น 2 ประเภท ดังนี้
1.1 เพลงที่ใช้ดนตรีบรรเลงล้วน ๆ เช่น เพลงหน้าพาทย์ เพลงโหมโรง เพลงเรื่อง เป็นต้น
เพลงสาธุการ บรรเลงโดยวงปี่พาทย์เครื่องใหญ่
เพลงโหมโรงไอยเรศ 3 ชั้น บรรเลงโดยวงเครื่องสายไทย
เพลงเรื่องต้อยตลิ่ง บรรเลงโดย วงปี่พาทย์เครื่องใหญ่
1.2 เพลงที่มีการร้องประกอบ เช่น เพลงระบำ เพลงเถา เป็นต้น
เพลงระบำพัธวิสัย บรรเลงโดยวงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์
เพลงบุหลันเถา บรรเลงโดยวงปี่พาทย์เครื่องคู่
1.2.1 การสร้างสรรค์บทเพลงทั้งบทร้องและทำนอง
ผู้แต่งจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับระดับเสียงและบันไดเสียง แล้วสร้างสรรค์ขึ้นเป็นทำนอง จากนั้นนำเนื้อร้องมาใส่ในบทเพลง ซึ่งในการแต่งบทเพลงสามารถทำได้โดยแสดงเรื่องราวเป็นร้อยกรองที่สัมพันธ์กัน มีสัมผัสต่างๆ และอาจแต่งโดยการบรรยาายความรู้สึกของตนเองเป็นบทเพลง
1.2.2 การแต่งทำนองแล้วนำเนื้อร้องมาใส่ในบทเพลง หรือบทขับร้องที่เป็นของเก่า
การแต่งทำนองในลักษณะนี้ส่วนใหญ่แล้วจะนำเนื้อเรื่องมาจากคำประพันธ์ในวรรณคดีต่างๆ เช่น เรื่องพระอภัยมณี ขุนช้างขุนแผน หรือจากโคลงกลอนในบทประพันธ์ซึ่งสามารถนำรูปแบบฉันทลักษณ์ เช่น โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอนของบทกวีมาเป็นหลักในการแต่งคำร้องของบทเพลงได้