บุคคลสำคัญในวงการดนตรีไทยประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญงานดนตรี ผู้ประพันธ์เพลงผู้สร้างสรรค์เครื่องดนตรี ผู้ให้การสนับสนุนทางการดนตรี และครูด้านดนตรีไทยบุคคลเหล่านี้เป็นผู้มีความสำคัญและมีคุณค่าต่อการพัฒนาดนตรีไทยให้มีความเจริญก้าวหน้าและคงอยู่สืบไป ในที่นี้จะขอยกตัวอย่างประวัติสังคีตกวีไทยบางท่านเพื่อให้นักเรียนได้ศึกษาชีวประวัติและผลงาน นักเรียนสามารถสืบค้นเพิ่มเติมได้ตามแหล่งความรู้เว็บไซต์ต่าง ๆ
พระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 2 แห่งราชวงศ์จักรี ประสูติเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2310 มีพระนามเดิมว่า สมเด็จเจ้าฟ้าชายฉิม เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 4 ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ตลอดระยะเวลา 15 ปี ที่ทรงครองราชย์นั้น ประเทศไทยอยู่ในความสงบ ไม่มีการทำสงคราม พระมหากษัตริย์ทรงทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมในทุกๆด้านอย่างเต็มที่ นับได้ว่าในสมัยของพระองค์ศิลปวัฒนธรรมในทุกๆด้านเจริญถึงสุดขีด เป็นแบบอย่างจนถึงปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงโปรดดนตรีไทยมาก เครื่องดนตรีไทยที่ทรงโปรดเป็นพิเศษ คือ ซอสามสาย ทรงมีซอสามสายคู่พระหัตถ์อยู่คันหนึ่งชื่อว่า ซอสายฟ้าฟาด ซึ่งจะทรงซอสามสายนี้ในเวลาว่างพระราชกิจ
ในคืนหนึ่งหลังจากทรงซอสามสายแล้วเข้าได้ทรงพระสุบินว่าพระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินไปในสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งปรากฏในพระสุบิตนิมิตนั้นว่า เป็นรมณียสถานสวยงามไม่มีแห่งใดในโลกเสมอเหมือน ขณะนั้นได้ทอดพระเนตรเห็นดวงจันทร์ลอยเข้ามาใกล้พระองค์และได้สาดแสงสว่างไปทั่วบริเวณ และในขณะนั้นได้ทรงสดับเสียงดนตรีทิพย์ ซึ่งมีความไพเราะเสนาะพระกรรณเป็นที่ยิ่ง พระองค์จึงเสด็จประทับทอดพระเนตรทิวทัศน์อันงดงาม และทรงสดับเสียงดนตรีอันไพเราะอยู่ด้วยความเพลิดเพลิน ครั้นแล้วดวงจันทร์ก็ค่อยๆลอยถอยห่างออกไปในท้องฟ้า ทั้งสำเนียงดนตรีทิพย์นั้นก็ค่อยๆจางจนหมดเสียง พลันก็ตื่นจากบรรทม
แม้เสด็จตื่นจากบรรทมแล้วเสียงดนตรีในพระสุบินก็ยังก้องอยู่ในพระโสต จึงได้โปรดให้ตามเจ้าพนักงานดนตรีเข้ามาต่อเพลงที่ทรงพระสุบินนั้นไว้ แล้วพระราชทานชื่อว่า “เพลงบุหลันลอยเลื่อน” หรือ “บุหลันลอยฟ้า” หรือบางทีก็เรียกว่า “เพลงสรรเสริญพระจันทร์” ซึ่งนักดนตรีจำสืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้ แต่ประชาชนมักจะเรียกเพลงนี้ว่า “เพลงทรงพระสุบิน” เพลงนี้เคยใช้สรรเสริญพระบารมีสมัยหนึ่ง และเมื่อมีเพลงสรรเสริญพระบารมีทำนองอื่นเกิดขึ้นมาอีก เพลงนี้จึงเรียกกันว่า “เพลงสรรเสริญพระบารมีไทย”
เนื่องจากพระองค์ทรงพอพระทัยในดนตรีไทยโดยเฉพาะซอสามสาย ได้ประกาศให้ตราภูมิคุ้มห้าม ยกเว้นภาษีอากรให้แก่สวนมะพร้าว ชนิดที่ทำกระโหลกซอได้ เพราะมะพร้าวชนิดนี้หายากมากจึงทรงอนุรักษ์ไว้เป็นแบบอย่าง
กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม มีพระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงศ์ เป็นพระโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับเจ้าจอมมารดารมรกต ประสูติเมื่อวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2425 ตรงกับวันพุธ ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 10 ปีมะเส็ง รัตนโกสินทร์ศก 101 ทรงศึกษาในประเทศอังกฤษ เมื่อเสด็จกลับได้ทรงเข้ารับราชการในตำแหน่งผู้ช่วยปลัดทูลฉลองกระทรวงเกษตราธิการ ในปี พ.ศ. 2451 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงศ์ เป็น กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม
ความสามารถและผลงาน
กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม ทรงสนพระทัยดนตรีไทยมากถึงกับมีวงปีพาทย์วงหนึ่งเรียกกันว่า “วงพระองค์เพ็ญ” ทรงเป็นนักแต่งเพลงมราสามารถพระองค์หนึ่ง โดยได้ทรงแต่งเพลง “ลาวดวงเดือน” ซึ่งเป็นเพลงที่นิยมกันแพร่หลายในปัจจุบัน
สำหรับเพลงลาวดวงเดือนนี้ พระองค์ท่านแต่งขึ้นต้องการให้มีสำเนียงลาว เนื่องจากโปรดทำนองและลีลาเพลง “ลาวดำเนินทราย” เมื่อคราวที่เสด็จตรวจราชการ ภาคอีสาน ระหว่างที่ประทับแรมอยู่ตามทางจึงทรงแต่งเพลงลาวดวงเดือนขึ้น เพื่อให้คู่กับเพลงลาวดำเนินทราย ประทานชื่อว่า “เพลงลาวดำเนินเกวียน” ได้มีผู้กล่าวว่า แรงบันดาลใจที่พระองค์แต่งนั้นเนื่องจากผิดหวังในความรัก คือ เมื่อพระองค์จบการศึกษาจากประเทศอังกฤษ เสด็จขึ้นไปเที่ยวเชียงใหม่ และได้พบกับเจ้าหญิงชมชื่น ธิดาเจ้าราชสัมพันธวงศ์ พระองค์สนพระทัยมากจนถึงกับให้ผู้ใหญ่ในมณฑ,พายัพเป็นเถ้าแก่เจรจาสู่ขอแต่ได้รับคำตอบจากเจ้าราชสัมพันธวงศ์ว่าขอให้เจ้าหญิงชมชื่นอายุ 18 ปีก่อน เพราะขณะนั้นอายุเพียง 16 ปี และขอให้ได้รับพระบรมราชนุญาตด้วย เมื่อกรมหมื่นพิไชยมหินทโรดมกลับถึงกรุงเทพฯ ก็ได้รับการทัดทานจากพระบรมวงศานุวงศ์มาก พระองค์ได้รับความผิดหวัง จึงระบายความรักด้วยความอาลัยลงในพระนิพนธ์บทร้อง “เพลงลาวดวงเดือน” ซึ่งเป็นเพลงที่มีความหมายไพเราะอ่อนหวามจับใจผู้ฟังมาจนทุกวันนี้ พระองค์สิ้นพระชนม์ (ประชวนพระโรคปอด) เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2452 มีพระชนมายุเพียง 28 พรรษา
พระยาประสานดุริยศัพท์ (แปลก ประสานศัพท์) เป็นบุตรคนโตของขุนกนกเรขา (ทองดี)กับนางนิ่ม เกิดเมื่อวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2403 ตรงกับวันอังคาร ณ บ้านเลขที่ 81 ตรอกไข่ ถนนบำรุงเมือง ตำบลหลังวัดเทพธิดากรุงเทพมหานคร ท่านได้เรียนปี่ชวากับครูชื่อ “หนูดำ” ส่วนวิชาดนตรีปี่พาทย์อย่างอื่น ได้ศึกษาอย่างจริงจังกับครูช้อย สุนทรวาทิน (บิดา) จนบรรลุแตกฉาน ท่านเข้ารับราชการ ตั้งแต่เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระยศเป็นพระยุพราช ได้ทูลขอพระราชทานบรรดาศักดิ์จากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวให้นายแปลกเป็นที่“ขุนประสานดุริยศัพท์”นับจากนั้นก็ได้รับพระราชทานเลื่อนบรรดาศักดิ์มาเป็นลำดับ จนได้เป็นที่ “พระยาประสานดุริยศัพท์” เจ้ากรมปี่พาทย์หลวง ในสมัยรัชกาลที่ 6 ความรู้ความสามารถของพระยาประสานดุริยศัพท์นั้น เป็นที่กล่าวขวัญเรื่องลือว่า ท่านเป็นผู้ที่ถึงพร้อมด้วยฝีมือ ความรู้ ปฏิภาณ ไหวพริบ ท่านเป็นครู และเป็นศิลปินที่หาได้ยากยิ่ง เมื่อปี พ.ศ.2428 ท่านได้รับเลือกให้ไปร่วมฉลองครบรอบร้อยปีของพิพิธภัณฑ์เมืองอวิมปลีย์ที่ประเทศอังกฤษผลของการบรรเลงขลุ่ยของท่านเป็นที่พอพระราชหฤทัยของสมเด็จพระราชินีนาถวิคตอเรียเป็นอย่างยิ่งถึงกับรับสั่งขอฟังเพลงขลุ่ยเป็นการส่วนพระองค์ในพระราชวังบัคกิ้งแฮมอีกครั้งการบรรเลงครั้งหลังนี้สมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรียทรงลุกจากที่ประทับและใช้พระหัตถ์ลูบคอพระยาประสานฯพร้อมทั้งรับสั่งถามว่า “เวลาเป่านั้นหายใจบ้างหรือไม่ เพราะเสียงขลุ่ยดังกังวานอยู่ตลอดเวลา”
พระยาประสานดุริยศัพท์ได้แต่งเพลงไว้ดังนี้คือ เพลงเชิดจั่น 3 ชั้น พม่าหัวท่อน เขมรราชบุรี เขมรปากท่อ เขมรใหญ่ ถอนสมอ ทองย่อน เทพรัญจวน แมลงภู่ทอง สามไม้ใน อาถรรณ์ พราหมณ์เข้าโบสถ์ ธรณีร้องไห้ มอญร้องไห้ เป็นต้น ความสามารถทางดนตรีของท่านนั้น ทำให้ท่านมีลูกศิษย์ที่มีความสามารถเป็นทวีคูณขึ้นไป และศิษย์ของท่านเป็นที่รู้จักโดยทั่วไปคือพระประดับดุริยกิจ (แหยม วิณิณ) พระเพลงไพเราะ (โสม สุวาทิต) หลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) หลวงบรรเลงเลิศเลอ (กร กรวาทิน) พระยาภูมิเสวิน (จิตร จิตตเสรี) อาจารย์มนตรี ตราโมท ครูเฉลิม บัวทั่ง เป็นต้น พระยาประสานดุริยศัพท์ ป่วยโดยโรคชรา และถึงแก่กรรมเมื่ออายุได้ 105 ปี ในปี พ.ศ. 2467
พระประดิษฐไพเราะ(มี ดุริยางกูร) (มี แขก)เกิดตอนปลายรัชกาลที่ ๑แห่งพระราชวงศ์จักรีท่านเป็นครูดนตรีมาตั้งแต่ปลายสมัยรัชกาล พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๓ จนถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ นั้น ครูมีแขกได้เป็นครูปี่พาทย์ในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น หลวงประดิษฐไพเราะ เมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายนพ.ศ๒๓๙๖ ตำแหน่งปลัดจางวางมหาดเล็กว่าราชการกรมปี่พาทย์ ฝ่ายพระบวรราชวัง ในปีเดียวกันนั้นเองท่านได้แต่งเพลงเชิดจีน แล้วนำขึ้นทูลเกล้าถวายพระบาทสมเด้จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นที่สมพระราชหฤทัยเป็นอย่างยิ่งจึงโปรดให้เลื่อนบรรดาศักดิ์จากหลวงประดิษฐไพเราะเป็นพระประดิษฐไพเราะ เมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๓๙๖ ได้รับสมญาว่าเป็นเจ้าแห่งเพลงทยอย(เพลงประเภทลูกล้อลูกขัด)
เพลงเชิดจีนที่ท่านแต่งขึ้นนี้ใช้วิธีอันแปลกประหลาดกว่าเพลงไทยทั้งหลายที่เคยมีมาก สำนวนทำนองของเพลงมีทั้งเชิงล้อ เชิงชน ทีหนีทีไล่ ล้อหลอกกันไปมาระหว่างเครื่องกับเครื่องตามอย่างสนุกสนานและไพเราะเริงเร้ากระตุ้นเตือนใจชวนให้ฟังตลอดเวลา เพลงนี้จะฟังให้เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน หรือจะเอาไปใช้ประกอบการรำ หรือแสดงละครก็ได้
ครูมีแขกเป็นผู้มีความสังเกตและสนใจจดจำสิ่งต่าง ๆ ที่ได้พบเห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าได้เห็นได้ยินได้ฟังเพลงดนตรีแปลก ๆ แล้ว ท่านจะจดจำนำมาดัดแปลง หรือมาแต่งเป็นเพลงขึ้นใหม่ตามหลักดุริยางค์ไทยได้อย่างไพเราะเช่น วันหนึ่งขณะเดินกลับจากสอนดนตรีในวังผ่านมาได้ยินพวกจีนเขาเล่นมโหรีกันอยู่ ก็ให้ศิษย์ที่มาด้วยกัน ๒ คน คือครูสิน ศิลปบรรเลง(พ่อครูศร) และครูลอด ช่วยกันจำไว้ พอถึงบ้านก็ได้นำมาเรียบเรียงประดิษฐ์ขึ้นมาเป็นเพลงชุดของเพลงจีน ๔ เพลงคือ เพลงภิรมย์สุรางค์ เพลงอาเฮีย เพลงชมสวน เพลงแป๊ะ ทั้ง ๔ เพลงนี้อยู่ในความนิยมของนักดนตรีไทยมาจนทุกวันนี้
ในรัชกาลที่ ๕ ครูมีแขกได้เป็นครูมโหรีในสังกัดสมเด็จกรมพระยาสุทรัตน์ราชประยูรได้ไม่นานครูมีแขกจึงถึงแก่กรรม ท่านได้เป็นต้นตระกูล "ดุริยางค์" บุตรหลานของท่านยังได้เปิดร้านจำหน่าย เครื่องดนตรี อุปกรณ์ อยู่ที่ร้านดุริบรรณ ถนนตะนาว (ปัจจุบันย้ายมาอยู่ถนนสุโขทัย)
ท่านได้สร้างผลงานให้แก่วงดนตรีไทยมากมาย เช่น เป็นต้นตำรับของการเดี่ยวเครื่องดนตรีต่าง ๆ เช่นเพลงพญาโศก พญาครวญ สารภี แขกมอญ จีนขิมใหญ่ ภิรมสุรางค์ และลมพัดชายเขา นอกจากนี้ยังเป็นต้นตำรับของการแต่งเพลงอมตอยู่ในความทรงจำของนักดนตรีไทยตลอดไป เพลงที่แต่งมีมากเช่น เพลงการเวกเล็ก กำสรวลสุรางค์ โหมโรงขวัญเมือง แขกบรเทศ แขกมอญบางช้าง จีนแส จีนขิมใหญ่ เชิดจีน ทยอยเขมร ทยอยเดี่ยว ทยอยนอก แป๊ะ อาเฮีย พญาครวญ พญาโศก พระอาทิตย์ชิงดวง และภิรมย์สุรางค์ เป็นต้น จากการที่ท่านถนัดแต่งเพลงประเภท " ทยอย " (ลูกล้อลูกขัด) ทำให้นักดนตรีรุ่นหลัง มีการกล่าวถึงท่านในคำไหว้ครูปี่พาทย์สมัยท่านเสียชีวิตไปแล้ว ในบทที่ว่า
"ทีนี้จะไหว้ครูปี่พาทย์ ฆ้องระนาดมือดีปี่ไฉน
ทั้งครูแก้วครูฟ้าเป็นหลักชัย ครูทองอินทร์นั่นแหละใครไม่เทียบทัน
มือตอดหนอดหนักขยักขย่อน ตาพูนมอญมิใช่ชั่วตัวขยัน
ครูมีแขกคนนี้เขาดีครัน เป่าทยอยลอยลั่นบรรเลงลือ"
หลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) (6 สิงหาคม พ.ศ. 2424 - 8 มีนาคม พ.ศ. 2497) เกิดเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2424 เป็นบุตรของ นายสิน นางยิ้ม ศิลปบรรเลง บิดาของท่านคือครูสินเป็นเจ้าของวงปี่พาทย์ และเป็นศิษย์ของพระประดิษฐไพเราะ (มี ดุริยางกูร)
ในปี พ.ศ. 2443 ขณะเมื่ออายุ 19 ปี ท่านได้แสดงฝีมือเดี่ยวระนาดเอกถวายสมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช เป็นที่ต้องพระทัยมาก จึงทรงรับตัวเข้ามาไว้ที่วังบูรพาภิรมย์ ทำหน้าที่คนระนาดเอกประจำวงวังบูรพาไปด้วย พร้อมกับสมเด็จท่านได้ เชิญครูมาสอนที่วัง คือ พระยาประสานดุริยศัพท์ (แปลก ประสานศัพท์) เนื่องจากจางวางศร ได้รับพระกรุณาจากสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุ์วงศ์วรเดช เป็นอย่างมาก ทรงจัดหาครูที่มีฝีมือมาฝึกสอน ทำให้จางวางศรมีฝีมือกล้าแข็งขึ้นในสมัยนั้นไม่มีใครมีฝีมือเทียบเท่าได้เลย
จางวางศร ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ เป็นหลวงประดิษฐไพเราะ ในสมัยรัชกาลที่ 6 เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2468 ทั้งๆ ที่ท่านไม่เคยรับราชการอยู่ในกรมกองใดมาก่อน ทั้งนี้ก็เพราะฝีมือและความสามารถของท่าน เป็นที่ต้องพระหฤทัยนั่นเอง
ครั้นถึงปี พ.ศ. 2469 ท่านได้เข้ารับราชการในกรมปี่พาทย์และโขนหลวง กระทรวงวัง ท่านได้มีส่วนถวายการสอนดนตรีให้กับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี รวมทั้งมีส่วนช่วยงานพระราชนิพนธ์เพลงสามเพลง คือ เพลงราตรีประดับดาวเถา เพลงเขมรละออองค์เถา และ เพลงโหมโรงคลื่นกระทบฝั่ง สามชั้น
เพลงได้แต่งไว้หลวงประดิษฐไพเราะ ได้แต่งเพลงไว้มากกว่าร้อยเพลง ดังนี้:
เพลงโหมโรง
โหมโรงกระแตไต่ไม้ โหมโรงปฐมดุสิต โหมโรงศรทอง โหมโรงประชุมเทวราช โหมโรงบางขุนนท์ โหมโรงนางเยื้อง โหมโรงม้าสะบัดกีบ และโหมโรงบูเซ็นซ๊อค เป็นต้น
เพลงเถา
กระต่ายชมเดือนเถา ขอมทองเถา เขมรเถา เขมรปากท่อเถา เขมรราชบุรีเถา แขกขาวเถา แขกสาหร่ายเถา แขกโอดเถา จีนลั่นถันเถา ชมแสงจันทร์เถา ครวญหาเถา เต่าเห่เถา นกเขาขแมร์เถา พราหมณ์ดีดน้ำเต้าเถา มุล่งเถา แมลงภู่ทองเถา ยวนเคล้าเถา ช้างกินใบไผ่เถา ระหกระเหินเถา ระส่ำระสายเถา ไส้พระจันทร์เถา ลาวเสี่งเทียนเถา แสนคำนึงเถา สาวเวียงเหนือเถา สาริกาเขมรเถา โอ้ลาวเถา ครุ่นคิดเถา กำสรวลสุรางค์เถา แขกไทรเถา สุรินทราหูเถา เขมรภูมิประสาทเถา แขไขดวงเถา พระอาทิตย์ชิงดวงเถา กราวรำเถา ฯลฯ
หลวงประดิษฐไพเราะถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2497 รวมอายุ 73 ปี
ชีวประวัติของท่านเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างภาพยนตร์เรื่องโหมโรง ซึ่งออกฉายในปี พ.ศ. 2547 และได้รับการดัดแปลงซ้ำเป็นละครโทรทัศน์ ซึ่งออกฉายทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส เมื่อ พ.ศ. 2555
ครู ช้อย สุนทรวาทิน เป็นครูปี่พาทย์ที่มีชื่อเสียงในสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นบุตรนายทั่ง สุนทรวาทิน นักดนตรีปี่พาทย์ที่สามารถผู้หนึ่งในสมัยนั้นและมีวงปี่พาทย์เป็นของตนเอง ครูช้อยแต่งงานกับนางสาวไผ่ ตั้งบ้างเรือนเป็นหลักฐานอยู่ที่ตำบลสวนมะลิ ในกรุงเทพมหานคร มีบุตรธิดา 4 คน คือ แช่ม ชื่น ชมและผิว ครูช้อยถึงแก่กรรมราวปลายสมัยรัชกาลที่ 5
ครู ช้อยมีความสามารถทางดนตรีเป็นที่อัศจรรย์นัก เนื่องจากตาบอดเมื่อครั้งเป็นไข้ทรพิษตั้งแต่ยังเล็ก ทั้งที่ยังมิได้ร่ำเรียนกับบิดาอย่างจริงจัง วันหนึ่งคนตีระนาดเอกของวงไม่สบาย ทำให้วงขาดมือระนาดเอก ครูช้อยก็สามารถเป็นคนระนาดนำวงบรรเลงสวดมนต์เย็นฉันเช้าได้ด้วยดีโดยไม่ผิด พลาดบกพร่อง เป็นเหตุให้ท่านบิดาเห็นสำคัญจนทุ่มเทถ่ายทอดวิชาให้ต่อมา เพื่อจะได้เป็นวิชาชีพเลี้ยงตัวต่อไปในภายภาคหน้า
ครู ช้อย เป็นครูดนตรีที่มีลูกศิษย์จำนวนมาก ลูกศิษย์บางคนก็กลายเป็นนักดนตรีที่มีชื่อเสียง และมีความสำคัญต่อวงการดนตรีมาก เช่น พระยาประสานดุริยศัพท์ ( แปลก ประสานศัพท์ ) เจ้ากรมปี่พาทย์หลวงในรัชกาลที่ 6 พระยาเสนาะดุริยางค์ ( แช่ม สุนทรวาทิน ) บุตรชายของครูช้อยก็ได้เป็นผู้ช่วยปลัดกรมปี่พาทย์หลวงในรัชกาลที่ 6
นอกจากนี้ก็มี พระประดิบดุริยกิจ ( แหยม วิณิน ) และหลวงบรรเลงเลิศเลอ ( กร กรวาทิน ) และ ลูกศิษย์ตั้งแต่ครั้งอยู่วัดน้อยทองอยู่ ก็ได้เป็นถึงปลัดกรมปี่พาทย์หลวง และนักดนตรีอีกหลายคนของกรมปี่พาทย์หลวงในรัชกาลที่ 6 ก็เป็นลูกศิษย์ของครูช้อยด้วย นอกจากนี้ครูช้อยยังได้รับเชิญเป็นครูดนตรีตามวังเจ้านาย และบ้านของท่านผู้ใหญ่ในสมัยรัชกาลที่ 5 อีกด้วย ครู ช้อยได้แต่งเพลงที่ล้วนมีทำนองดีเด่นหลายเพลง เช่น เพลงครอบจักรวาล และม้ายองสามชั้น แขกลพบุรีสามชั้น เขมรปี่แก้วสามชั้น ( ทางธรรมดา ) เขมรโพธิสัตว์ โหมโรงมะลิเลื้อย พราหมณ์เข้าโบสถ์ ใบ้คลั่งสามชั้น เพลงอกทะเลสามชั้น ฯลฯ
นายมนตรี ตราโมท เป็นบุตรนายยิ้ม และนางทองอยู่ เกิดที่บ้านท่าพี่เลี้ยง อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2443 เดิมชื่อ "บุญธรรม" ในสมัยที่มีการประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องการตั้งชื่อบุคคล ท่านจึงเปลี่ยนชื่อเป็น "มนตรี" เมื่อวันที่ 15 เมษายน 2485 สำหรับนามสกุล "ตราโมท" เป็นนามสกุลที่ พระองค์เจ้าคำรบ ประทานให้ มีสำเนียงล้อ "ปราโมช" ของพระองค์ท่าน
ครูมนตรีรับการศึกษาที่โรงเรียนประจำจังหวัดสุพรรณบุรี (ปรีชาพิทยากร) สอบได้ชั้นมัธยมปีที่ 3 เหตุที่ท่านมีโอกาสได้เป็นนักดนตรีไทยก็เพราะว่าบ้านของท่านอยู่ใกล้วัด สุวรรณภูมิ ซึ่งมีวงปี่พาทย์ฝึกซ้อมกันอยู่เป็นประจำ ท่านจึงได้ยินเสียงเพลงปี่พาทย์อยู่เสมอจนจำทำนองเพลงได้เป็นตอน ๆ ครั้นเรียนจบชั้นมัธยมปีที่ 3 แล้ว จึงคิดที่จะเรียนต่อที่กรุงเทพฯ แต่ท่านมีโรคภัยไข้เจ็บรบกวนตลอดเวลา จึงเรียนไม่ทันเพื่อนฝูง เลยหมดกำลังใจที่จะเรียนต่อ ในเวลานั้น ครูสมบุญนักฆ้องจึงชวนให้หัดปี่พาทย์ ซึ่งครูมนตรีก็มีใจรักอยู่แล้วจึงฝึกฝนด้วยความมานะพยายาม จนมีความคล่องแคล่วพอควร ท่านได้เป็น นักดนตรีปี่พาทย์ อยู่ที่จังหวัดสุพรรณบุรี ประมาณ 2 ปี ต่อมาราวปี พ.ศ. 2456 ท่านได้ย้ายไปอยู่ที่จังหวัดสมุทรสงคราม ที่บ้านครูสมบุญ สมสุวรรณ ซึ่งมีทั้งปี่พาทย์และแตรวง ท่านจึงได้มีโอกาสฝึกหัดทั้งสองอย่าง เมื่อท่านอายุได้ 17 ปี ได้สมัครเข้ารับราชการในกรมพิณพาทย์ทอง กรมมหรสพ กรมมหาดเล็ก ที่กรมพิณพาทย์หลวง ท่านได้เรียนฆ้องวงใหญ่จากหลวงบำรุงจิตเจริญ (ธูป สาตนะวิลัย) และเรียนกลองแขก จากพระพิณบรรเลงราช (แย้ม ประสานศัพท์)
ครูมนตรี มีฝีมือทางการบรรเลงฆ้องวง แต่เพื่อให้ท่านมีฝีมือในเครื่องดนตรีชนิดอื่น ๆ อีก พระยาประสานดุริยศัพท์ (แปลก ประสานศัพท์) เจ้ากรมพิณพาทย์หลวง จึงให้ครูมนตรีเปลี่ยนเป็นครูตีระนาดทุ้ม ท่านได้รับเลือกให้เข้าประจำอยู่ในวงข้าหลวงเดิม ซึ่งเป็นวงที่จะต้องตามเสด็จพระราชดำเนิน เมื่อทรงเสด็จแปรพระราชฐานทุก ๆ แห่ง ทำให้ท่านเป็นผู้กว้างขวางในวงสังคมสมัยนั้น อันเนื่องมาจากการที่ได้สมาคมกับบุคคล ในฐานะต่าง ๆ นอกจากท่านจะมีฝีมือในการบรรเลงดนตรีแล้ว ท่านยังมีความสามารถในการแต่งเพลงอีกด้วย ท่านแต่งเพลงมาแล้วมากมาย นับเป็นร้อย ๆ เพลง ตั้งแต่ พ.ศ. 2463 เป็นต้นมา มีทั้งเพลง 3 ชั้น เพลงเถา เพลงประวัติศาสตร์ เพลงระบำและเพลงเบ็ดเตล็ด เคยมีผู้รวบรวมไว้ได้ถึง 200 กว่าเพลง นอกจากท่านจะแต่งเพลงดังกล่าวมาแล้ว ท่านยังเคยแต่งเพลงประกวดทั้งบทร้องและทำนองเพลงและได้รับรางวัล 1 เพลงนั้นชื่อว่า "เพลงวันชาติ" เมื่อ พ.ศ. 2483
เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปแล้วว่า ครูมนตรี ตราโมทเป็นครูผู้กระทำพิธีไหว้ครู และครอบประสิทธิ์ประสาทวิชาวิชาดนตรีไทยของกรมศิลปากร นอกจากท่านจะกระทำพิธีให้แก่กองการสังคีตและวิทยาลัยนาฏศิลป์ ทั้งในส่วนกลางและต่างจังหวัดแล้ว ท่านยังทำพิธีไหว้ครูดนตรีไทยให้แก่หน่วยราชการ สถานศึกษาและเอกชนทั่วไป
ครูมนตรีนอกจากจะมีความรู้และความสามารถในการแต่งเพลงและการบรรเลงดนตรีไทยแล้ว ท่านยังมีความรู้ทางโน๊ตสากลและดนตรีสากลอีกด้วย ซึ่งยิ่งช่วยเพิ่มความรู้ทางดนตรีไทยและการแต่งเพลงมากขึ้น ท่านรับราชการอยู่ที่แผนกปี่พาทย์หลวงได้ไม่นาน ก็เกิดการโอนวงปี่พาทย์และโขนละครไปสังกัดอยู่กับกรมศิลปากร เมื่อ พ.ศ. 2478 ท่านจึงย้ายไปประจำโรงเรียนศิลปากร แผนกนาฏดุริยางค์ (คือวิทยาลัยนาฏศิลป์ในปัจจุบัน)
ครูมนตรีรักการอ่านหนังสือทำให้ท่านมีความรู้กว้างขวาง ท่านชอบโคลงมาก ท่านจึงแต่งโคลงไว้มากมาย นอกจากนี้หนังสือประเภทสารคดีที่เกี่ยวกับวิชาการทางด้านศิลปะ ท่านก็ได้แต่งไว้หลายเรื่อง อาทิเช่น "ดุริยางค์ศาสตร์ไทยภาควิชาการ" "การละเล่นของไทย" "ศัพท์สังคีต" นอกจากนี้ก็มีเรื่องสั้น ๆ ที่ท่านเขียนไว้ในหนังสือต่าง ๆ เช่น เรื่องปี่พาทย์ไทย ปี่พาทย์มอญ ปี่พาทย์ชวา เครื่องสายไทย ดุริยเทพดนตรีกับชีวิต วงดนตรีประกอบการแสดงโขน ฯลฯ ท่านยังได้เขียนอธิบายความหมายของคำต่าง ๆ ในหนังสือสารานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถานและเขียนเรื่องดนตรีไทยในหนังสือสารานุกรมไทยสำหรับ เยาวชนไทย เล่ม 1 ตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ในโอกาสฉลอง 200 ปี กรุงรัตนโกสินทร์ กรมศิลปากรจัดพิมพ์ หนังสือหลายเล่ม ท่านก็ได้มีส่วนเขียนเรื่องดนตรีไทย ภาพกลางลงพิพม์ในหนังสือชุดศิลปกรรมไทย หมวด "นาฏดุริยางคศิลป์ยุคกรุงรัตนโกสินทร์" ด้วย
ผลงานทางด้านข้อเขียน ของครูมนตรี ที่ท่านภาคภูมิใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ เมื่อทางราชการสร้างพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่จังหวัดสุพรรณบุรีแล้วเสร็จ ได้จัดให้ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากเรียบเรียงข้อความที่จะจารึกเทิดทูนพระวีร เกียรติประวัติของพระองค์ โดยใช้ถ้อยคำแต่น้อยกินความมาก เพื่อให้พอเหมาะกับขนาดแผ่นจารึกที่ฐานพระราชานุสาวรีย์ ผลการคัดเลือกปรากฏว่า ข้อความของครูมนตรีได้รับการพิจารณาให้จารึกในแผ่นศิลาดังกล่าว
หน้าที่การงานของครูมนตรี เจริญรุ่งเรืองมาตามลำดับจนเลื่อนเป็นชั้นเอก ต่อมาได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ท่านดำรงตำแหน่งศิลปินพิเศษ เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2504 นับเป็นศิลปินคนแรกของกรมศิลปากรที่ได้รับชั้นพิเศษ เมื่อท่านเกษียณอายุ กรมศิลปากรพิจารณาเห็นว่าท่านมีความรู้ ความสามารถในด้านวิชาการศิลปดุริยางค์ไทย จึงจ้างไว้ช่วยราชการต่อมาอีก 5 ปี จากนั้นก็จ้างในฐานะลูกจ้างชั่วคราว ตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญดนตรีไทยกับคีตศิลป์ไทย ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติในวิทยาลัยนาฏศิลป์ กรมศิลปากร นอกจากการทำงานประจำในหน้าที่ที่กรมศิลปากรแล้ว ท่านยังเป็นอาจารย์พิเศษสอนตามมหาวิทยาลัยอีกหลายแห่ง
ครูมนตรี เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ ท่านเคยได้รับเกียรติให้เป็นกรรมการมากมายหลายคณะ เช่น เป็นกรรมการตัดสินเพลงชาติ เป็นกรรมการศิลปะของสภาวัฒนธรรมเป็นประธานกรรมการการรับรองมาตรฐานวิทยาลัย เอกชน สาขาดุริยางคศิลปะของทบวงมหาวิทยาลัย เป็นรองประธานกรรมการตัดสินการอ่านทำนองเสนาะ เป็นกรรมการตัดสินคำประพันธ์เรื่องเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัว เป็นที่ปรึกษาคณะกรรมการจัดทำแบบเรียนวิชาดนตรีศึกษา ของกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ ฯลฯ
ผลงานของครูมนตรี ตราโมท มีมากมาย ผลงานประเภทเพลง แต่งเพลงไทย ทั้งทำนองร้องและทำนองดนตรีในอัตราลักษณะต่างๆรวมแล้วนับร้อยเพลง เช่น
ก. เพลง 3 ชั้น
เพลงต้อยติ่ง, เพลงราโค, เพลงมหาฤกษ์, เพลงเหาะ, เพลงประพาสมหรณพ, เพลงขับไม้บัณเฑาะว์, เพลงขับนก, เพลงเขมรปี่แก้วทางสักวา, เพลงจรเข้หางยาวทางสักวา, เพลงเทพนม, เพลงเทพไสยาสน์, เพลงพระทอง, เพลงพญาสี่เถา, เพลงมอญล่องเรือ, เพลงสร้อยสน, เพลงนาคพัน, เพลงช้อนแท่น, เพลงพม่าห้าท่อนทางดึกดำบรรพ์ ฯลฯ
ข. เพลงเถา (เพลงหนึ่งเท่ากับ 3 เพลง เพราะมีทั้ง 3 ชั้น 2 ชั้น และชั้นเดียว)
เพลงกล่อมนารี, เพลงกาเรียนทอง, เพลงขอมทรงเครื่อง, เพลงขอมเงิน, เพลงเขมรเหลือง, เพลงขึ้นแท่น, เพลงแขกกุลิต, เพลงแขกต่อยหม้อ, เพลงจีนหน้าเรือ, เพลงแขกอะหวัง(ทางธรรมดา), เพลงต้นเพลงยาว, เพลงพม่าห้าท่อน(ทางภาษาต่างๆ, เพลงพม่าเห่, เพลงพระจันทร์ครึ่งซีก, เพลงภุมริน, เพลงมอญรำดาบ, เพลงโสมส่องแสง, เพลงแขกอะหวังทางชวา, เพลงสมโภชพระนครเถา, เพลงเทพสมภพเถา ฯลฯ
เพลง 2 ชั้นและชั้นเดียวที่เพิ่มเติมของเก่าให้เป็นเพลงเถา
เพลงระบำเริงอรุณ, เพลงนกเขามะราปี, เพลงระบำนพรัตน์, เพลงม่านมงคล, เพลงไกรลาศสำเริง, เพลงกฤดาภินิหาร, เพลงชมปัตตานี, เพลงชุมนุมเผ่าไท(5 เผ่า ไทยกลาง ไทยใหญ่ ไทยลานนา ไทยลานช้าง ไทยสิบสองจุไท ไทอาหม) เพลงระบำนก, เพลงระบำเทพบันเทิง, เพลงรำวงมาตรฐาน เพลงรำลงโขงสองฝั่ง( 6 เพลง ทำเฉพาะทำนอง ได้แก่ เพลงงามแสงเดือน รำมาซิมารำ ชาวไทย คืนเดือนหงาย ดวงจันทร์วันเพ็ญ และดอกไม้ของชาติ) เพลงแม่ศรีทรงเครื่อง(ใหม่) เพลงอัศวาลีลา, เพลงมยุราภิรมย์, เพลงมฤครำเริง, เพลงบันเทิงกาสร, เพลงระบำกุญชรเกษม, เพลงระบำชุดโบราณคดี, เพลงพม่าไทยอธิษฐาน ( 5 เพลง ได้แก่ เพลงระบำทวารวดี เพลงระบำศรีวิชัย เพลงระบำลพบุรี เพลงระบำเชียงแสน เพลงระบำสุโขทัย) เพลงไทยลาวปณิธาน, เพลงกินรีร่อน, เพลงพระเจ้าลอยถาดชั้นเดียว, เพลงระบำดอกบัว(ระบำปลา) เพลงระบำฉิ่ง, เพลงระบำดอกไม้บูชาครู, เพลงขอฝน, เพลงระบำเงือก, เพลงชุมนุมฉุยฉาย, เพลงระบำอู่ทอง, เพลงฟ้อนดวงดอกไม้, เพลงลาวกระทบไม้, เพลงฟ้อนเล็บ, เพลงจีนรำพัด, เพลงสีนวล, เพลงพลายปัตตานี, เพลงเทพบันเทิง, เพลงลาวรำดาบ, เพลงกินนรรำ, เพลงแขกบูชายัญ, เพลงระบำนันทอุทยาน ฯลฯ
เพลงเบ็ดเตล็ด
เพลงโหมโรงเอื้องคำ, เพลงเอื้องสาย, เพลงใบ้คลั่งชั้นเดียว(เพลงเร็ว) เพลงใบ้คลั่งชั้นเดียว(ลูกบท) เพลงเร็วทะวอย, เพลงเชิดแขก, เพลงช้ากลาง, เพลงสร้างเมือง, เพลงแดนป่า, เพลงเสมอพม่า, เพลงเสมอลาว, เพลงเสมอแขก, เพลงโอดลาว, เพลงโอดจีน, เพลงโอดมอญ, เพลงกราวกลาง, เพลงกล่อมพญาชั้นเดียว, เพลงม้าห้อ, เพลงลาวรำดาบ, เพลงโอ้ลาวครวญ, เพลงโฮมพุเตย, เพลงสังคีตสายใจไทย, เพลงชื่นชุมนุมกลุ่มดนตรี, เพลงโหมโรงขับไม้บัณเฑาะว์, เพลงโหมโรงรัตนโกสินทร์สามชั้น, เพลงโหมโรงเทิด ส.ธ. ฯลฯ
เพลงไทยสากล
เพลงวันรัฐธรรมนูญ, เพลงวันชาติ, เพลงมหานิติ, เพลงยามรุ่ง, เพลงตื่นเถิด, เพลงวันปีใหม่, เพลงร่วมวงไพบูลย์, เพลงดอกไม้, เพลงในน้ำมีปลาในนามีข้าว, เพลงกราวอาสา ฯลฯ
ผลงานด้านละครวิทยุ
ท่านเป็นเจ้าของคณะตรีศิลป์ จัดแสดงละครวิทยุ บทละครที่แสดงให้สาระบันเทิงแก่เด็ก เป็นนิทาน นิยาย นิยายอิงประวัติศาสตร์ นิทานประกอบสังคีต ซึ่งมีบทเจรจาและบทขับร้องประกอบดนตรี ได้แก่ กั้นหยั่งคู่, วนาวัน, ผกามาศ, จุลวัน, นางพระยาชาวเกาะ, คลีโอพัตรา, สุวรรณสาม, สาวเรือนคำ, และเรื่องเบ็ดเตล็ดกว่า 30 เรื่อง
ผลงานด้านวิชาการ
แต่งหนังสือไว้เป็นจำนวนมาก อาทิ ดุริยางคศาสตร์ไทย ภาควิชาการ ใช้สอนในโรงเรียนศิลปากร แผนกนาฏดุริยางค์ ศัพท์สังคีตการละเล่นของไทย การสืบสายดนตรีไทย การเล่นสักวา เรื่องเพลงชาติ เรื่องเพลงวันชาติ ดุริยสาส์น เครื่องสายไทย ปี่พาทย์ไทย ปี่พาทย์มอญ ปี่พาทย์ชวา ไหว้ครู ดุริยเทพ คุรุเทพ ขับไม้ โหมโรงดนตรีไทย การบรรเลงปี่พาทย์ในพระราชพิธี คำอธิบายเพลงในหนังสือโน๊ตเพลงไทย ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ โปรดเกล้าฯ ให้กรมศิลปากรจัดพิมพ์จำหน่าย เรื่องดนตรีไทย ในหนังสือชุด Thailand คำอธิบายศัพท์ต่างๆในหนังสือสารานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน เรื่องสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศฯ ในด้านดุริยางคศิลป วิวัฒนาการวงปี่พาทย์ในสมัยรัตนโกสินทร์ ดนตรีไทยสมัยสุโขทัย อยุธยา และรัตนโกสินทร์ แต่งเพลงพร้อมบทร้อง หลักสูตรวิชาขับร้องเพลงไทยสำหรับนักเรียน เช่น เพลงหนีเสือ เพลงลาวสมเด็จ เพลงเต่ากินผักบุ้ง ฯลฯ ดนตรีกับชีวิต วงดนตรีประกอบการแสดงโขน ประวัติบุคคลในวงการดนตรีไทย เรื่องดนตรีไทยในหนังสือสารานุกรมสำหรับเยาวชนไทย เล่ม 1 ตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ในโอกาสฉลอง 200 ปี กรุงรัตนโกสินทร์ ดนตรีไทยภาคกลาง ในหนังสือศิลปกรรมไทย ฯลฯ
ผลงานด้านกวีนิพนธ์
ได้ประพันธ์เรื่องราวต่างๆทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง เช่น ภิญโญวาทนิยาย (นิยายชาดกกลอนสอนหญิง เป็นกาพย์ กลอน โคลง และฉันท์) ลิลิตอิหร่านราชธรรม เยือนสมุทรสงคราม เลือดสุพรรณ ทางสักวา โคลงกลบทหลงห้อง โคลงกลบทพรหมพักตร์ โคลงกลบทสักวา โคลงกลบทสาลิรี อ่านเป็นฉันท์สาลินี ถอดเรียงเป็นโคลงสี่สุภาพได้ โคลงกลบทฉบัง อ่านเป็นกาพย์ฉบัง ถอดเรียงเป็นโคลงสี่สุภาพได้ บทละครประวัติศาสตร์ เรื่องเกียรติศักดิ์ไทย ร่วมกับนายธนิต อยู่โพธิ์ และนางสุดา บุษปฤกษ์ รวมทั้งจัดทำเพลงประกอบการแสดง แต่งบทละครเรื่องรถเสน ฉากที่ 1 แต่งบทละครเรื่องราชาธิราชตอนสมิงพระรามอาสา ร่วมกับนายสุเทพ แสงสว่าง แต่งบทละครเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนพระไวยแตกทัพ ร่วมกับนายธนิต อยู่โพธิ์ มจ.หญิงพูนพิสมัย ดิศกุล และหม่อมแผ้ว สนิมวงศ์เสนี แต่งบทละคร ตอนพระอภัยมณีพบนางละเวง ร่วมกับหม่อมแผ้ว สนิทวงศ์เสนี ร่วมแต่งและปรับปรุงบทละครเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนพลายเพชรพลายบัวออกศึก กับนายธนิต อยู่โพธิ์ และหม่อมแผ้ว สนิทวงศ์เสนี แต่งบทละครเรื่องมโนราห์ ฉาก1และ5 แต่งบทละครพันทางประวัติศาสตร์ เรื่องศึกเก้าทัพ บทละครกระจายเสียงในโอกาสวันที่ระลึกของกรมศิลปากรหลายเรื่อง บทนิทานประวัติศาสตร์ ส่งกระจายเสียงของกรมศิลปากร บทละครเรื่องเศวตปักษี(The Phoenix ของสหประชาชาติ) บทรำโคม กีฬาแหลมทองครั้งที่ 1 บทร้องอวยพรต้อนรับในงานต้อนรับพระราชอาคันตุกะ ที่กรมศิลปากรจัดแสดงตลอดมา แต่งบทละครเรื่องพระเจ้าสายน้ำผึ้ง ให้โรงเรียนนาฏศิลป กรมศิลปากร แสดงออกอากาศสถานีโทรทัศน์ กองทัพบกในรายการ นาฏกรรมไทย กาพย์ขับไม้กล่อม พระเศวตสุรคชาธาร บทร้อยกรองสดุดีเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ซึ่งจารึกไว้ในฐานพระเจดีย์ยุทธหัตถี อนุสรณ์ดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี บทถวายพระพรพระบรมศานุวงศ์ในโอกาสต่างๆ บทร้องเพลงไทย ประพันธ์ไว้จำนวนมากทั้งในการแสดงละคร บทร้องประกอบ เพลงระบำ บทร้องเนื่องในโอกาสต่างๆ บทร้องที่ประพันธ์ขึ้นทั่วไป บทร้องในละครวิทยุ และบทร้องเพื่อประกอบการเรียน มีประมาณกว่า 100 บท เช่น บทร้องเพลงนกเขาขะแมร์(เถา) บทร้องเพลงเทพไสยาสน์ 3 ชั้น บทร้องเพลงแป๊ะ(เถา) บทร้องเพลงพระเจ้าลอยถาด บทร้องเพลงโสมส่องแสง ฯลฯ
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเป็นเอตทัคคะในทางดนตรีไทย ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงอนุเคราะห์สนับสนุนกิจกรรมด้านดนตรีไทยเสมอมา พระองค์เคยพระราชดำรัสไว้ว่า "ดนตรีไทยดูเหมือนจะพัวพันกับชีวิตประจำวันของข้าพเจ้าตั้งแต่เกิดมา พอเกิดเขาก็ประโคม เวลาสมโภชเขาก็ประโคมอะไรกันอีกในตอนเด็กๆนี้ เคยรู้สึกอยากเล่นดนตรีไทยอยู่นิดหน่อย คือ เห็นระนาดเอกวางอยู่รางหนึ่ง ก็ตรงรี่เข้าไปจะตี แต่มีคนห้าม อ้างว่าเครื่องดนตรีไทยเป็นของมีครู ไปทำเล่นๆ เหมือนเปียโน กีต้าร์ไม่ได้ ถ้าไปเล่นเข้าครูอาจจะบันดาลให้มีอันเป็นไปอะไรก็ได้ ก็เลยไม่ได้เล่น ตอนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ เลือกเรียนซอด้วงเพราะที่โรงเรียนมีแต่เรียนเครื่องสายไม่มีระนาด ซึ่งเป็นของชอบตั้งแต่เรียนดนตรีไทยเลยเกือบจะเลิกฟังเพลงอย่างอื่นหมด เที่ยวหาแผ่นเสียงเพลงไทย มีฟังในโอกาสที่มีงาน เคยเชิญวงของครูเทวาประสิทธิ์พาทยโกศล และ ครูไพฑูรย์กิตติวรรณมาบรรเลง นั่งฟังไปมาเกิดติดใจครูไพฑูรย์จึงขอเรียนด้วย ตั้งแต่นั้นก็ได้เรียนพิเศษกับครูแต่ก็ยังไม่ได้เลิกเรียนที่โรงเรียน เป็นคนเดียวในรุ่นที่เรียนดนตรีไทยจนจบ ม.ศ.๕ จึงเป็นคนอาวุโสที่สุดในวง ตอนนี้เวลามีงานโรงเรียนเผลอๆ ข้าพเจ้าก็ยังไปเล่นกับเด็กๆ เวลาฉากยังไม่เปิด ดนตรีไทยนี้เล่นแล้วติดจริงๆ สบโอกาสเมื่อไรก็ต้องไปฟัง แต่ก่อนอธิบายได้ว่าชอบเพราะชาตินิยม หลังๆ นี้ ชอบเพราะฟังแล้วสนุก ตื่นเต้น มีทุกรส สมดังบทกลอนที่ ม.ล.ขาบ กุญชรท่องในตอนต้นรายการ"ดนตรีไทยไร้รสหรือ" ทางวิทยุ ท.ท.ท. นานมาแล้ว "
นอกจากนั้นพระองค์ยังมีความสามารถทางด้านขับร้องเพลงไทยเดิม ทรงพระราชนิพนธ์บทขับร้องเพลงไทยเดิมไว้หลายเพลงเช่น เต่ากินผักบุ้ง , พัดชา,นางนาค,ขึ้นพลับพลา
ตัวอย่างบทเพลงที่ทรงพระราชนิพนธ์
เต่าเห่
เห่เอยค่ำแล้ว อาทิตย์แคล้วครรไลลา
ดาวประทับท้องนภา พระจันทราพารถจร
หลับเถิดนะสายใจ เจ้าอย่าอาลับอาวรณ์
จักถนอมกล่อมให้นอน จะขอพรปวงเทวัญ
เติบใหญ่ให้แกล้วกล้า เรืองวิชาทุกสิ่งสรรพ์
มีเลือดไทยในปางบรรพ์ มิเคยหวั่นผองไพรี
จงครองคุณธรรมพร้อม ศรัทธาน้อมปัญญามี
จงลดอคติสี่ มีขันตีออมอดใจ
อุปสรรคจะหนักหนา เจ้าก็อย่าโศกาลัย
เมื่อหวังปองเทิดผองไทย ก็แกร่งไกรดุจศิลา
ขวัญข้าวจงอยู่ดี ฟังคำพี่จำนรรจา
แล้วหลับนัยนา นิทราให้สำราญ
(ฟังเสียงจิ้งหรีดร้อง กังวานก้องเสียงประสาน
แก้วเกดสุมามาลย์ ก็เบิกบานชมแสงเดือน)
นอกจากดนตรีไทยแล้ว พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างในการบำเพ็ญพระราชกรณียกิจ และพระราชจริยาวัตรในด้านการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมของชาติทุกๆด้าน รวมทั้งได้เจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทในการสร้างสรรค์และ ธำรงรักษามรดกของชาติให้ยั่งยืนตกทอดต่อไปถึงลูกหลาน ทรงได้รับการถวายพระสมัญญาเป็น "เอกอัครราชูปถัมภกมรดกวัฒนธรรมไทย" และ "วิศิษฏศิลปิน" อันหมายถึง ผู้เป็นเลิศในทางศิลปะ ทรงเป็นเมธีทางวัฒนธรรม และทรงมีคุณูปการต่องานศิลปะวัฒนธรรม
นักเรียนสามารถเข้ารับชมบทเพลงของคีตกวีไทยได้ ในเว็บไซต์ www.youtube.com