ออร์เคสตรา (orchestra) หรือ วงดุริยางค์ ในภาษาไทย เป็นคำศัพท์เกี่ยวกับดนตรี มีประวัติมาช้านาน และมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบไปตามยุคสมัย เพื่อสนองความต้องการของผู้ประพันธ์ในการถ่ายทอดความรู้สึกของดนตรีในแต่ละยุค วงออร์เคสตราเป็นวงดนตรีที่มีวิวัฒนาการเริ่มขึ้นราว ค.ศ.1600 ลักษณะที่สำคัญของวงออร์เคสตราคือ เป็นกลุ่มของนักดนตรี ที่เล่นเครื่องดนตรีหลักทั้ง 4 ประเภท ได้แก่ เครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย เครื่องเป่าลมไม้ เครื่องลมทองเหลือง และเครื่องกระทบ โดยบรรเลงภายใต้การควบคุมของผู้อำนวยเพลง
วงออร์เคสตรา คือ วงดนตรีดุริยางค์ขนาดใหญ่ที่ประกอบด้วยเครื่องดนตรีประเภทต่างๆ อันได้แก่ เครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย เครื่องดนตรีประเภทเครื่องลมทองเหลือง เครื่องดนตรีประเภทเครื่องลมไม้ และเครื่องดนตรีประเภทเครื่องตี มีผู้เล่นเป็นจำนวนมาก ซึ่งมีการแบ่งการประสมวงตามจำนวนผู้เล่นเป็น 2 แบบคือ
ออร์เคสตรานั้นเป็นภาษาเยอรมันที่แปลความหมายได้ว่า สถานที่เต้นรำ กำเนิดขึ้นราวศตวรรษที่ 16 ที่มีความนิยมในการร้องโอเปร่า และใช้การเล่นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายประกอบเสียงร้อง มีผู้เล่นราว 10-25 คน จากนั้นราวศตวรรษที่ 17 ได้เพิ่มเครื่องดนตรีประเภทเครื่องลมไม้เข้าไป แล้วจึงเพิ่มเครื่องดนตรีประเภทเครื่องลมทองเหลือง และเครื่องให้จังหวะต่าง ๆ ไปในภายหลัง เมื่อศตวรรษที่ 18 ออร์เคสตราเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น แม้กระทั่งเพลงที่เกี่ยวกับศาสนาก็ยังมีการนำออร์เคสตราเข้าไปใช้ ในยุคโรแมนติกมีการเพิ่มขนาดออร์เคสตราให้ใหญ่ขึ้นเพื่อแสดงอารมณ์ของบทเพลงให้เข้าถึงและยิ่งใหญ่ โดยมีผู้เล่นถึงกว่า 100 คน แต่หลังยุคสงครามโลกครั้งที่ 1 มีการลดขนาดวงลงเนื่องด้วยปัจจัยทางเศรษฐกิจหลายอย่าง และดำเนินมาถึงปัจจุบัน
กลางศตวรรษที่ 18 คำว่า ออร์เคสตรา หมายถึง การแสดงของวงดนตรี ซึ่งเป็นความหมายที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามคำนี้ยังคงใช้ในอีกความหมายหนึ่ง คือ พื้นที่ระดับต่ำที่เป็นที่นั่งอยู่หน้าเวทีละคร และโรงคอนเสิร์ต
ระยะต่อมาในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 16 เมื่อเริ่มกำหนดจำนวนเครื่องดนตรีลงในบทเพลง การพัฒนาวงออร์เคสตราจึงเริ่มมีขึ้น ซึ่งในระยะแรกเป็นลักษณะของวงเครื่องสาย (String Orchestra) ซึ่งมีจำนวนผู้เล่นประมาณ 10 ถึง 25 คน โดยบางครั้งอาจจะมีมากกว่านี้ตามความต้องการของผู้ประพันธ์เพลง ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 วงออร์เคสตรามีการเพิ่มเครื่องลมไม้ และตอนปลายของยุคบาโรค (ประมาณ ค.ศ. 1750) ผู้ประพันธ์เพลงนิยมบอกจำนวนเครื่องดนตรีไว้ในบทเพลงโดยละเอียด นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มเครื่องลมทองเหลือง และเครื่องกระทบในวงออร์เคสตรา
ราวกลางศตวรรษที่ 18 วงออร์เคสตราเป็นรูปแบบขึ้นมาจนได้มาตรฐานในยุคนี้ คือ ยุคคลาสสิก ซึ่งเหตุผลประการหนึ่ง คือ บทเพลงประเภทซิมโฟนีเป็นรูปแบบขึ้นมาในยุคนี้ จึงทำให้ต้องมีการจัดวงออร์เคสตราให้มีมาตรฐานเพื่อใช้เล่นเพลงซิมโฟนี นอกจากนี้การบรรเลงบทเพลงประเภทคอนแชร์โต้ อุปรากร และเพลงร้องเกี่ยวกับศาสนาก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การพัฒนาวงออร์เคสตราเป็นแบบแผนขึ้น
กลางศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นยุคโรแมนติก มีการเพิ่มจำนวนเครื่องดนตรีเข้าไปในวงออร์เคสตรา ทำให้วงมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น เนื่องจากในยุคโรแมนติกนั้น นิยมเล่นบทเพลงประเภทดนตรีบรรยายเรื่องราว รวมถึงอุปรากร บัลเล่ต์ และบทเพลงร้องประสานเสียง ล้วนมีผลให้วงออร์เคสตราเพิ่มขนาดขึ้นเพื่อความยิ่งใหญ่และความสมจริงสมจัง เพื่อให้สามารถบรรยายเรื่องราวให้ได้ตรงตามที่ผู้ประพันธ์เพลงตั้งใจไว้
แม้ว่าวงซิมโฟนีออร์เคสตราในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ยังคงมีบทบาทสำคัญในดนตรีตะวันตก ปัจจัยทางเศรษฐกิจก็มีส่วนในการกำหนดขนาดวงออร์เคสตรา หรือแนวทางการประพันธ์เพลงเพื่อใช้กับวงออร์เคสตรา แต่สิ่งนี้ก็มิได้กีดกั้นการสร้างสรรค์ผลงานประเภทที่ใช้วงออร์เคสตราของผู้ประพันธ์เพลงแต่อย่างใด
– ซิมโฟนี (Symphony)
เป็นบทเพลงอันไพเราะ สง่างาม และสามารถถ่ายทอดอารมณ์ได้ดี โดยปกติแล้วประกอบด้วยเนื้อเพลง 3-4 ท่อน ในแต่ละท่อนจะมีความช้าเร็วแตกต่างกันไป เช่น เร็ว ช้า เร็ว , หรือ เร็ว ปานกลาง เร็ว เป็นต้น นักประพันธ์เพลงซิมโฟนีที่เป็นที่นิยมคือ โมซาร์ทและไฮเดิน
– คอนแชร์โต (Concerto)
เป็นบทเพลงที่เกิดในยุคบาโรค บรรเลงโดยเครื่องดนตรีเดี่ยวเพื่อแสดงให้เห็นฝีมือของผู้บรรเลงและความงดงามของดนตรี รูปแบบจะคล้ายกับซิมโฟนีแต่มีสามท่อน คือ เร็ว ช้า เร็ว เพลงคอนแชร์โตที่เป็นที่นิยมคือการใช้เปียโนและไวโอลินในการบรรเลงแบบเดี่ยว
– โอเปรา (Opera)
เป็นบทเพลงละครร้องที่เน้นการร้องในการดำเนินเรื่องแล้วใช้ออร์เคสตราในการบรรเลงประกอบ โอเปราแบ่งเป็นสองแบบ คือ โอเปราซีเรีย จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชนชั้นสูง เน้นเนื้อหาเกี่ยวกับดราม่า ความรัก อีกแบบหนึ่งคือโอเปร่าชวนหัว เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับประชาชนคนทั่วไปที่มีการดำเนินเรื่องรวดเร็ว เน้นแนวสนุกตลกขบขัน
– ซิมโฟนิคโพเอม (Simphonic poem)
เป็นบทเพลงที่ใช้เสียงดนตรีเล่าเรื่องราวและถ่ายทอดอารมณ์ของผู้ประพันธ์ อาจเป็นการบรรยายจากภาพเลียนเสียงธรรมชาติ เช่น เสียงนกร้อง เสียงน้ำตก เป็นต้น
– บัลเลต์ (Ballet)
เป็นการดำเนินเรื่องโดยใช้ลีลาท่าทางของร่างกายในการเต้นดำเนินเรื่อง แล้วใช้โอเปร่าบรรเลงประกอบ ไม่มีบทร้อง ดังนั้นการประดิษฐ์ท่าทางให้เข้ากับเนื้อหาและสิ่งที่จะสื่อมีความสำคัญมากเพื่อให้ผู้รับฟังรับรู้ถึงอารมณ์ที่ผู้แสดงต้องการถ่ายทอดได้