COVID English ตอนที่ 22 วันนี้เราจะมาพูดถึงประเด็นทางภาษาที่น่าสนใจและโดดเด่นของคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่เกี่ยวกับการแพทย์กัน นั่นคือรูปพหูพจน์ (Plural forms) ที่แปลกประหลาดกว่าคำนามทั่วไป
.
ลำพังคำนามนับได้ในภาษาอังกฤษถูกแบ่งประเภทตามจำนวน (Number) ว่าเป็นเอกพจน์ (Singular) และพหูพจน์ (Plural) ซึ่งจะถูกกำหนดด้วยรูป Suffix ที่แสดงพหูพจน์อย่าง -s หรือ -es ก็วุ่นวายอยู่แล้ว มาเจอคำศัพท์ทางการแพทย์ซึ่งยากเป็นทุนเดิมอยู่ในรูปพหูพจน์ที่ไม่คุ้นตา ยิ่งทำให้การเรียนภาษาอังกฤษยากขึ้นไปอีกมาก อีกทั้งคำศัพท์บางตัวก็หลอกเรามาตลอดชีวิตว่าเป็นรูปเอกพจน์แต่ที่จริงแล้วกลับเป็นรูปพหูพจน์ ดังนั้นการตัดสินว่าคำในภาษาอังกฤษที่ลงท้ายด้วย -s หรือ -es คงชื่อถือไม่ได้อีกต่อไปเพราะยังมีคำส่วนหนึ่ง แม้รูปจะดูเหมือนพหูพจน์เพราะเติม -s แต่กลับกลายเป็นเอกพจน์ไปได้ วันนี้เราจะมาดูข้อยกเว้นของรูปพหูพจน์ในคำนามภาษาอังกฤษโดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์กันครับ
.
คำศัพท์ทางการแพทย์ในภาษาอังกฤษ หลายคำมาจากภาษากรีกและละติน ทำให้เวลาทำรูปพหูพจน์ ต้องใช้ Plural suffixes ที่ไม่ใช่ -s และ -es จึงขอสรุปกฎการสร้างรูปพหูพจน์แบบกระชับดังต่อไปนี้
1. คำที่ลงท้ายด้วย -um ทำพหูพจน์โดยเปลี่ยนเป็น -a เช่น bacterium > bacteria ovum > ova (เซลล์ไข่) (แบคทีเรีย) datum > data (ข้อมูล) medium > media (สื่อ)
2. คำที่ลงท้ายด้วย -a ทำพหูพจน์โดยเปลี่ยนเป็น -ae เช่น larva > larvae (ตัวอ่อน) antenna > antennae (หนวดบนหัวของแมลงหรือมด) amoeba > amoebae (อะมีบาหรือสัตว์เซลล์เดียว) vertebra > vertebrae (กระดูกสันหลัง) alga > algae (สาหร่าย) formula > formulae (สูตร)
รูปพหูพจน์ -ae จะออกเสียงว่า 'อี' /i/ ดังนั้น larvae จะอ่านว่า 'ลาร์วี' antennae อ่านว่า 'แอนเทนี' amoebae อ่านว่า 'อะมีบี' vertebrae อ่านว่า 'เวอร์ทิบรี' algae อ่านว่า 'แอลจี' และ formulae อ่านว่า 'ฟอร์มิวลี'
3. คำที่ลงท้ายด้วย -us ทำพหูพจน์โดยเปลี่ยนเป็น -i เช่น fungus > fungi (รา) cactus > cacti (กระบองเพชร) focus > foci (จุดรวมแสง/จุดโฟกัส) nucleus > nuclei (นิวเเคลียส) bronchus > bronchi (หลอดลม)
รูปพหูพจน์ -i จะออกเสียงว่า 'อาย' /aɪ/ ดังนั้น fungi อ่านว่า 'ฟังกาย' cacti อ่านว่า 'แค็กทาย' foci อ่านว่า 'โฟคาย' หรือ 'โฟซาย' nuclei อ่านว่า 'นิวคลาย' และ bronchi อ่านว่า 'บรองคาย'
4. คำที่ลงท้ายด้วย -on ทำพหูพจน์โดยเปลี่ยนเป็นเป็น -a เช่น phenomenon > phenomena (ปรากฏการณ์) criterion > criteria (เกณฑ์)
5. คำที่ลงท้ายด้วย -is ทำพหูพจน์โดยเปลี่ยนเป็น -es เช่น analysis > analyses (การวิเคราะห์) disagnosis > diagnoses (การวินิจฉัย) crisis > crises (วิกฤตการณ์) thesis > theses (วิทยานิพนธ์)
รูปพหูพจน์ -es จะออกเสียงยาว 'อีส' /iz/
6. คำที่ลงท้ายด้วย -ex หรือ -ix ทำพหูพจน์โดยเปลี่ยนเป็น -ices เช่น index > indices (ดัชนี/ดรรชนี) matrix > matrices (เมทริกซ์/แม่พิมพ์)
7. คำที่ลงท้ายด้วย -ma ทำพหูพจน์โดยเปลี่ยนเป็น -mata เช่น stigma > stigmata (มลทิน) condyloma > condylomata (โรคหูดกามโรค) fibroma > fibromata (เนื้องอกเส้นใย)
8. คำที่ลงท้ายด้วย -x ทำพหูพจน์โดยเปลี่ยนเป็น -ges เช่น larynx > larynges (กล่องเสียง) pharynx > pharynges (คอหอย)
9. คำที่ลงท้ายด้วย -itis ทำพหูพจน์โดยเปลี่ยนเป็น -itides เช่น nephritis > nephritides (ภาวะไตอักเสบรุนแรง)
10. คำศัพท์ทางการแพทย์ที่มาจากภาษาละตินบางตัวซึ่งประกอบด้วยคำนามและคำคุณศัพท์ เวลาทำพหูพจน์ ให้ทำทั้งสองตัว เช่น Condyloma acuminatum > condylomata acuminata (โรคหูดกามโรค) Placenta previa > placentae previae (ภาวะรกเกาะต่ำ)
.
ขอสรุปข้อสังเกตที่น่าสนใจของการทำพหูพจน์ศัพท์ทางการแพทย์ดังนี้
1. นอกจากคำเหล่านี้จะสะกดยากแล้ว เวลาทำรูปพหูพจน์ การออกเสียงจะเปลี่ยนไป โดยจะไม่ตรงกับรูปสะกด ดังตัวอย่างในกฎข้อที่ 2,3 และ 5 ด้านบน
2. คำศัพท์ข้างต้นบางคำสามารถใช้รูปพหูพจน์แบบภาษาอังกฤษคือเติม -s และ -es แทนได้ แต่ในบางกรณีจะนิยมน้อยกว่ารูปพหูพจน์แบบพิเศษด้านบน เช่น
* fungus > funguses
* focus > focuses
* formula > formulas
* larva > larvas
* matrix > matrixes
* index > indexes
* nucleus > nucleuses
* vertebra > vertebras
3. คำศัพท์พหูพจน์บางตัวอาจทำให้ผู้เรียนเข้าใจผิดว่าเป็นศัพท์เอกพจน์ เลยผิดพลาดในการแต่งประโยคในเรื่องของ Subject-verb agreement หรือการเลือกรูปกริยาที่เหมาะสมสอดคล้องกับพจน์ของประธาน อีกทั้งเมื่อเข้าใจผิดว่าเป็นเอกพจน์ ก็จะไปเติม -s หรือ -es เพื่อเปลี่ยนเป็นรูปพหูพจน์ เช่น
* criteria/data/media/bacteria บางคนไปเติม -s เพื่อทำเป็นพหูพจน์ ทั้ง ๆ ที่คำนี้เป็นพหูพจน์อยู่แล้ว
.
จริง ๆ แล้วเรื่องของการเปลี่ยนรูปในภาษาอังกฤษมีรายละเอียดมากมาย แต่ขอนำเสนอเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับบริบททางการแพทย์เพราะรูปพหูพจน์มีความพิเศษกว่ารูปพหูพจน์ปกติ แม้เราอาจจะคิดว่าคงไม่มีโอกาสจะได้ใช้ศัพท์เหล่านี้ในการเขียนหรือแต่งประโยคสักเท่าไร แต่เราอาจจะเจอคำศัพท์นี้ในข่าวที่เกี่ยวข้องกับโควิดหรือการแพทย์ด้านอื่น ๆ หากเรารู้และเข้าใจความพิเศษตรงนี้ ก็จะช่วยให้เราอ่านข่าวได้เข้าใจขึ้นไม่มากก็น้อย อีกทั้งได้เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ ๆ เฉพาะทางมากขึ้นอีกด้วย ซึ่งน่าสังเกตว่า การระบาดของโควิด-19ส่งผลต่อการใช้ภาษาอังกฤษไม่น้อยเลย หนึ่งในนั้นคือเราเริ่มเอาคำศัพท์เฉพาะทางมาใช้สื่อสารในชีวิตประจำวันมากขึ้น
อาจารย์ ติโรธ ทองนวล
อาจารย์ประจำภาควิชาภาษาต่างประเทศ
คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร