มีชื่อเรียกอื่นว่า กะลี (มลายู, นราธิวาส), บอนหนาม (ไทลื้อ, ขมุ), ผะตู่โปล่ เฮาะตู่คุ (กะเหรี่ยงเชียงใหม่), ด่อแกงเล่อ (ปะหล่อง), บ่อนยิ้ม (เมี่ยน), บ่ะหนาม (ลั้วะ), หลั่นฉื่อโก จุยหลักเท้า (จีนแต้จิ๋ว) เป็นต้น[1],[5],[9]
Lasia spinosa (L.) Thwaites จัดอยู่ในวงศ์บอน (ARACEAE)
ใบผักหนาม ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ ลักษณะของใบเป็นรูปหัวลูกศรหรือรูปโล่ ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบและหยักเว้าลึกเป็น 9 พู รอยเว้ามักลึกเกือบถึงเส้นกลางใบ ใบมีขนาดกว้างมากกว่า 25 เซนติเมตร และยาวประมาณ 30-40 เซนติเมตร มีหนามแหลมตามเส้นใบด้านล่างและตามก้านใบ ใบอ่อนม้วนเป็นแท่งกลม ก้านใบมีลักษณะเป็นรูปทรงกระบอกยาวและแข็ง โดยมีความยาวประมาณ 40-120 เซนติเมตร[
ดอกผักหนาม ออกดอกเป็นช่อเชิงลด ลักษณะเป็นรูปทรงกระบอก เป็นแท่งยาวขนานเท่ากับใบ ประมาณ 4 เซนติเมตร แทงออกมาจากกาบใบ ก้านช่อดอกมีหนามและยาวได้ถึง 75 เซนติเมตร มีดอกย่อยอัดกันแน่นเป็นดอกแบบสมบูรณ์เพศ ใบประดับเป็นกาบสีน้ำตาลแกมเขียวถึงสีม่วง กาบหุ้มม้วนบิดเป็นเกลียวตามความยาวของกาบ มีความยาวได้ถึง 55 เซนติเมตร ดอกเป็นช่อดอกแบบแท่ง Spadix ช่อดอกเป็นสีน้ำตาล ดอกเพศผู้จะมีจำนวนมากและอยู่ตอนบน ส่วนดอกเพศเมียจะมีจำนวนน้อยกว่าและอยู่ตอนล่าง จะออกดอกในช่วงประมาณเดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายน[
ผลผักหนาม ผลมีลักษณะเรียงชิดกันแน่นเป็นแท่งรูปทรงกระบอก เป็นผลสด หนา และเหนียว ผลอ่อนเป็นสีเขียวมีเนื้อนุ่ม เมื่อแก่แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองแกมแดง จะเป็นผลในช่วงประมาณเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม
ขนาดและวิธีใช้ : การเก็บยาให้เก็บลำต้นในช่วงฤดูร้อนและล้างให้สะอาด แล้วนำไปตากแห้งหรือหั่นเป็นแผ่นตากแห้งเก็บไว้ใช้ (ลักษณะยาที่ดีจะรสเผ็ดชา ต้นที่เก็บจะต้องมีลักษณะเป็นแท่งทรงกระบอก เปลือกสีน้ำตาลเทา มีข้อเป็นปุ่ม ขรุขระมีหนามแข็ง แต่ละข้อห่างกันประมาณ 6-7 เซนติเมตร มีรากฝอยขดม้วนเข้าไปที่โคนก้านใบ เนื้อในเป็นสีเทาหรือสีชมพู มีแป้งมาก และมีจุดสีน้ำตาลเล็ก ๆ อยู่ทั่วไป) โดยให้ใช้ลำต้นแห้งประมาณ 10-15 ต้มกับน้ำกิน ส่วนการใช้ภายนอกให้นำไปต้มเอาน้ำชะล้างหรือบดเป็นผงทาบริเวณที่เป็น[9]
ข้อควรระวัง : ใบ ก้านใบ และต้นผักหนามมีสารไซยาโนเจนิกไกลโคไซด์ (Cyanogenic. Glycosides) ซึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นไซยาไนด์ (สารพิษชนิดหนึ่ง) ได้ โดยเป็นสารพิษที่ออกฤทธิ์ต่อระบบการไหลเวียนของเลือด เมื่อได้รับพิษหรือรับประทานเข้าไปดิบ ๆ จะทำให้อาเจียน กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน กล้ามเนื้ออ่อนแรง กล้ามเนื้อกระตุก หายใจลำบาก มึนงง ไม่รู้ตัว ชักก่อนจะหมดสติ มีอาการขาดออกซิเจน ตัวเขียว ถ้าได้รับมากจะทำให้โคม่าภายใน 10-15 นาที และเสียชีวิตได้ เมื่อได้รับพิษจะต้องทำให้อาเจียนออกมา แล้วรีบนำส่งโรงพยาบาลเพื่อทำการล้างท้อง ดังนั้นก่อนนำมารับประทานจะต้องนำไปทำให้สุกหรือดองเปรี้ยวเพื่อกำจัดพิษไซยาไนด์เสียก่อน[1],[4],[9]
โดยปกติแล้วผักหนามจะขึ้นเองตามธรรมชาติ บริเวณดินเลน ริมคลอง หนองน้ำ หรือริมแม่น้ำในป่า แต่ถ้าหากอยากปลูกสามารถนำเมล็ดสุกมาเพาะเมล็ด หรือแยกหน่อจากเหง้าหรือหัวใต้ดินได้ แต่ต้องปลูกในบริเวณที่ดินชื้นหรือริมหนองน้ำนะคะ เพราะผักหนามเป็นพืชที่ชอบความชื้น และแสงแดดเต็มวันมาก
การขยายพันธุ์ผักหนามสามารถทำได้โดยการเพาะเมล็ด และการแยกเหง้าจากต้นเดิมโดยนำเหง้าที่มีตามาตัดเป็นท่อนแล้วนำมาปลูกในกระถางหรือแปลงปลูก แต่โดยปกติชาวบ้านไม่นิยมนำผักหนามมาปลูก แต่จะปล่อยให้ขึ้นเองเจริญเติบโตตามธรรมชาติ พอถึงช่วงแทงยอดอ่อนชาวบ้านจะไปเก็บเพื่อนำมาปรุงอาหารและหากพบว่ามียอดอ่อนจำนวนมากก็จะนำไปจำหน่าย ยอดอ่อนของผักหนามสามารถนำไปลวกหรือนึ่งกินกับน้ำพริก และทำเป็นแกงหรือผัดก็ได้ เมนูจากผักหนาม อาทิเช่น ยอดผักหนามลวกกับน้ำพริกปลา น้ำพริกอ่อง หรือ น้ำพริกปลาร้า จอผักหนาม เป็นต้น
สภาพนิเวศ : ชอบขึ้นตามที่ชื้น เช่น ดินเลนตามชายน้ำ หนองน้ำ หรือริมแม่น้ำในป่า
การขยายพันธุ์ : เพาะเมล็ดและแยกหน่อ
พลังงาน 18 กิโลแคลอรี
- ความชื้น 94.1%
- โปรตีน 2.1 กรัม
- แป้ง 2.0 กรัม
- ใยอาหาร 0.8 กรัม
- แคลเซียม 14 มิลลิกรัม
- ฟอสฟอรัส 11 มิลลิกรัม
- เหล็ก 0.9 มิลลิกรัม
- วิตามินเอ 6383 IU
- วิตามินบี1 0.92 มิลลิกรัม
- วิตามินบี 2 0.4 มิลลิกรัม
- วิตามินบี 3 0.91 มิลลิกรัม
- วิตามินซี 23 มิลลิกรัม
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
ศูนย์ข้อมูลเทคโนโลยีชีวภาพและความปลอดภัยทางชีวภาพ
สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน)