Great morinda, Tahitian noni, Indian mulberry, Beach mulberry หรือจะเรียกตามแหล่งที่ปลูกหรือภาษา เช่น Noni (จากฮาวาย), Meng kudu (มาเลเซีย), Ach (ฮินดู)
Morinda citrifolia L. จัดอยู่ในวงศ์เข็ม (RUBIACEAE)
ไม้ต้น สูง 2-6 เมตร เปลือกต้นสีน้ำตาล แตกเป็นสะเก็ดแล้วหลุดออก กิ่งอ่อนเป็นสี่เหลี่ยม ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้าม รูปรี กว้าง 8-15 ซม. ยาว 10-20 ซม. ขอบใบเรียบ แผ่นใบเรียบ สีเขียวเข้มเป็นมัน ดอก ออกเป็นช่อกลมตามซอกใบ ดอกสีขาว กลีบดอกโคนเชื่อมติดกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็น 5 แฉก มีกลิ่นหอม ผล เป็นผลรวม ผิวขรุขระเป็นตุ่ม ผลสุกมีกลิ่นเหม็นเอียน เมล็ดสีน้ำตาลมีหลายเมล็ด
ต้นยอขึ้นได้ทั้งในป่าทึบหรือตามชายฝั่งทะเลที่เป็นโขดเขาหรือพื้นทราย ต้นโตเต็มที่เมื่ออายุครบ 18 เดือน และให้ผลซึ่งมีน้ำหนักรวมกันระหว่าง 4-8 กิโลกรัมต่อเดือน ตลอดทั้งปี ยอเป็นพืชทนทานต่อดินเค็ม สภาวะแห้งแล้ง และดินทุติยภูมิ ยอจึงพบแพร่หลายทั่วไป ต้นยออาจสูงถึง 9 เมตร ใบและผลยอมีลักษณะเด่นที่เป็นแล้วบอกได้โดยง่ายว่าเป็นยอ ใบยอมีขนาดใหญ่ รูปใบธรรมดาและเส้นใบลึก ใบมีสีเขียวเข้มและเป็นมัน
ใบ ใบเดี่ยวออกตรงกันข้าม มีหูใบระหว่างโคนก้านใบ ขอบใบเป็นคลื่น ผิวใบมันสีเขียวเข้ม โคนใบและปลายใบแหลม รูปใบรีมน กว้าง 8-15 ซม. ยาว 10-20 ซม. หูใบอยู่ระหว่างก้านใบ
ดอก ดอกสีขาวเป็นดอกช่อ ออกตามซอกใบ ฐานรองดอกอัดกันแน่นเป็นทรงกลม ก้านช่อดอกยาว 3-4 ซม. ดอกช่ออัดกันแน่นลักษณะคล้ายตาเสือ ผลเป็นผลรวม ผิวเป็นตุ่มพอง
ผล ผลอ่อนสีเขียวสด ผลสุกสีขาวนวลอ่อนนุ่มกลิ่นฉุน เมล็ดสีน้ำตาลเข็ม จำนวนมาก
ยอออกดอกและผลตลอดปี ดอกของมันเล็กๆ มีสีขาว ผลยอเป็นผลรวม กลิ่นฉุนเมื่อสุก บางครั้งจึงมีผู้เรียกชื่อผลยอในภาษาอังกฤษ ซึ่งหมายถึง ลูกเนยแข็งหรือลูกอ้วก (cheese fruit หรือ vomit fruit) ผลยอคล้ายรูปไข่ และเหมือนมีตารอบผล ความยาวของผลอยู่ระหว่าง 4-7 เซนติเมตร เมื่อผลยังอ่อนมีสีเขียว แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นสีเหลืองไปจนเกือบขาวเมื่อสุก แม้ผลยอจะมีกลิ่นแรงและรสขม แต่ก็มีการบริโภคผลยอกันมาก ทั้งดิบ ๆ หรือปรุงแต่ง บางหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิค กินผลยอเป็นอาหารหลัก ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และชาวพื้นเมืองออสเตรเลียกินผลยอดิบจิ้มเกลือ หรือปรุงกับผงกระหรี่ เมล็ดของยอคั่วรับประทานได้
เมื่อสุกเต็มที่จะมีเอนไซม์ ที่เป็นประโยชน์อย่างมากมาย ยอ เป็นพืชที่พบขึ้นอยู่หลายประเทศทั่วโลก เช่น ไทย จีน อินเดีย หมู่เกาะแปซิฟิคทางตอนใต้ ตาฮิติ ฮาวาย มาเลเซีย ฯลฯ ในประเทศไทย มีการนำส่วนต่าง ๆ ของยอมาใช้ประโยชน์ อาทิ เช่น รากยอนำมาใช้เป็นสีย้อมผ้าไหม และไหมพรม ใบยอนำมาปรุงอาหาร ผลยอสุกใช้รับประทานได้ และมีการใช้ผสมในตำรับยาโบราณมานานหลายร้อยปี คุณสมบัติ ลูกยอ มีสารสำคัญมากมายถึงกว่า 140 ชนิด ทั้งจำพวกโปรตีน และกรดอะมิโนครบถ้วน นอกจากนี้ยังมีสารอื่น ทั้งวิตามินและเกลือแร่ มากมาย แต่ที่สำคัญมี สาระสำคัญหน้าที่
หมายเหตุ : ประโยชน์ของลูกยอบางประการข้างต้นยังอยู่ในระดับการศึกษาเริ่มต้นเท่านั้น และยังเร็วเกินไปที่จะสรุปได้ว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพมากน้อยแค่ไหน ซึ่งในทางวิทยาศาสตร์ยังคงต้องรอการพิสูจน์ต่อไป ดังนั้นโปรดใช้วิจารณญาณให้มาก
ต้นยอจะเจริญเติบโตและให้ผลผลิตหรือไม่ คุณป้าทองคำ เกิดมงคล กล่าวว่า สำคัญที่สุดคือ วิธีเลือกต้นกล้าถ้าหากทำถูกวิธีก็จะเจริญเติบโตและให้ผลผลิตดี
เรียบเรียงโดย : ทองคำ เกิดมงคล.เจ้าหน้าที่ร่วมด้วยช่วยกันสำนึกรักบ้านเกิด จังหวัดชัยนาท
1. ใบยอ
– คาร์โบไฮเดรต : 11.1 กรัม
– โปรตีน : 3.8 กรัม
– ไขมัน : 0.8 กรัม
– เยื่อไยอาหาร : 1.9 กรัม
– แคลเซียม : 350 มิลลิกรัม
– ฟอสฟอรัส : 86 มิลลิกรัม
– เหล็ก : 4.9 มิลลิกรัม
– วิตามินเอ : 9,164 หน่วยสากล
– วิตามินบี 1 : 0.3 มิลลิกรัม
– วิตามินบี 2 : 0.14มิลลิกรัม
– วิตามินซี : 78 มิลลิกรัม
2. ผลดิบของยอ
– คาร์โบไฮเดรต : 7.5 กรัม
– โปรตีน : 0.5 กรัม
– ไขมัน : – กรัม
– เยื่อไยอาหาร : 1.1 กรัม
– แคลเซียม : 39 มิลลิกรัม
– ฟอสฟอรัส : 17 มิลลิกรัม
– เหล็ก : 0.4 มิลลิกรัม
– วิตามินเอ : – หน่วยสากล
– วิตามินบี 1 : 0.06 มิลลิกรัม
– วิตามินบี 2 : 0.04มิลลิกรัม
– วิตามินซี : 208 มิลลิกรัม
ที่มา: สุภาภรณ์ (2545)(2)