Cissus quadrangularis L. จัดอยู่ในวงศ์องุ่น (VITACEAE)
ต้นเพชรสังฆาต เป็นไม้เถา เถาอ่อนสีเขียวเป็นสี่เหลี่ยมเป็นข้อต่อกัน
สำหรับการรักษาโรคริดสีดวงทวารนั้น ในตัวยาทั้งหมด 400 มก. ซึ่งประกอบไปด้วยเพชรสังฆาตและตัวยาชนิดอื่นๆ แคปซูลละ 250 มก. ให้รับประทานครั้งละ 3 แคปซูล วันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร หากนำเถามากินสดๆ ควรหั่นเป็นชิ้นบางๆ แล้วให้นำกล้วยสุกมาหุ้ม จากนั้นจึงค่อยๆ กลืนและห้ามเคี้ยว
ประโยชน์ของเพชรสังฆาต ที่โดดเด่นก็คงหนีไม่พ้นการใช้เป็นยารักษาโรคริดสีดวงทวาร โดยมีงานวิจัยของ พญ. ดวงรัตน์ เชี่ยวชาญวิทย์ และคณะ ได้ประเมินประสิทธิภาพของสมุนไพรเพชรสังฆาตกับผู้ป่วยที่เป็นโรคริดสีดวงทวารจำนวน 121 คน เปรียบเทียบกับยาแผนปัจจุบันอย่างดาฟลอน (Daflon) โดยผลการวิจัยพบว่าค่าเฉลี่ยคะแนนของการประเมินผลของสมุนไพรเพชรสังฆาตกับยาดาฟลอนไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และที่สำคัญยังพบว่าค่าใช้จ่ายของยาแคปซูลเพชรสังฆาตถูกกว่ายาดาฟลอนถึง 20 เท่าอีกด้วย ผลการวิจัยนี้จึงสรุปได้ว่าแคปซูลเพชรสังฆาตสามารถใช้ทดแทนยาดาฟลอนในการรักษาโรคริดสีดวงทวารได้เป็นอย่างดี
แต่สรรพคุณในการรักษาริดสีดวงของสมุนไพรเพชรสังฆาตใช่ว่าจะรักษาริดสีดวงได้หายขาดเสมอไป การจะหายช้าหรือเร็วก็ยังขึ้นอยู่กับอาการว่าเป็นมากหรือน้อยแค่ไหนด้วย รวมไปถึงนิสัยการรับประทานอาหาร การดูแลตัวเองด้วยว่าคุณหมั่นรับประทานผักหรืออาหารที่มีเส้นใยมากน้อยแค่ไหน และสำหรับผู้ที่เป็นมากในระดับหนึ่งแล้ว ไม่ว่าจะเพชรสังฆาตหรือยาดาฟลอนก็ช่วยแค่บรรเทาอาการของโรคเท่านั้น ต้องผ่าตัดอย่างเดียวครับ
การขยายพันธุ์และการผลิตกล้า ใช้ต้นปักชำ (10)
ปัจจัยสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการปลูก
ดิน ขึ้นได้ทั่วไปในดินแทบทุกชนิด
ความชื้น ปานกลาง
แสง มาก
การปลูกดูแลบำรุงรักษา
การคัดเลือกพื้นที่และเตรียมพื้นที่ปลูก
วิธีการปลูกและระยะปลูกที่เหมาะสม เพชรสังฆาต เป็นพืชที่ปลูกขึ้นง่ายโดยตัดเถายาว พอสมควรและให้มีข้อติดอยู่ 1-2 ข้อ ปักชำลงในดินให้ข้อฝังดิน 1 ข้อ รดน้ำให้ชุ่ม เมื่อแตกยอดใหม่ควรทำค้าง ให้ลำต้นเจริญเลื่อยพัน หลังจากนั้นเมื่อลำต้นแข็งแรงดีแล้วไม่จำเป็นต้อง ดูแลมากนักเพียงแต่คอยสังเกตความชุ่มชื้นของดินและตัดแต่งเถาบ้า
ปัจจุบันได้มีงานวิจัยพบว่า "เพชรสังฆาต" (ชื่อวิทยาศาสตร์ Cissus guadrangularis L.) มีวิตามินซีสูงมากซึ่งยืนยันสรรพคุณรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน อุดมด้วยแคโรทีนซึ่งเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ที่สำคัญมีองค์ประกอบของแคลเซียมสูงมาก รวมทั้งสารอนาโบลิก สเตียรอยด์ (Anabolic Steroids) มีฤทธิ์เร่งปฏิกิริยาการสมานกระดูกที่แตกหักโดยกระตุ้นการสร้างเซลล์ออสเตโอบลาสต์ (Osteoblast) ซึ่งทำหน้าที่สร้างกระดูกและยังช่วยให้มีการสร้างสารมิวโคโพลีแซกคาไรด์ (Mucopolysaccharides) ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในกระบวนการสมานกระดูก ยิ่งกว่านั้นสารคอลลาเจน (Collagen) ในเพชรสังฆาตยังเป็นสารอินทรีย์โปรตีนที่มาจับตัวกับผลึกแคลเซียมฟอสเฟตจนกลายเป็นกระดูกแข็งที่สามารถรับน้ำหนักและมีความยืดหยุ่นในตัวเอง
ผลการทดลองใช้เถาเพชรสังฆาตในสตรีวัยทองซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะเกิดภาวะกระดูกพรุน พบว่าช่วยเพิ่มมวลกระดูกและรักษากระดูกแตก กระดูกหักได้ในขนาดรับประทาน ครั้งละ 2 แคปซูล (น้ำหนักแคปซูลละ 250 มิลลิกรัม) วันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร
สำหรับการใช้แบบพื้นบ้าน ให้นำเถาเพชรสังฆาต ลักษณะไม่แก่ไม่อ่อนสีเขียวเข้ม มา 1 ข้อ นำไปสอดในกล้วยน้ำว้าสุกที่เจาะรูนำร่องไว้แล้ว หั่นซอยเป็น 3 ท่อนเท่าๆ กัน (ความยาวท่อนละ 2-3 ซ.ม.) แบ่งรับประทานครั้งละ 1 ท่อน วันละ 3 ครั้งหลังอาหาร คำเตือนการรับประทานให้ใช้วิธีกลืน ห้ามเคี้ยว เพราะผลึกแคลเซียมอ็อกซาเลต (Calcium Oxalate) ในเถาเพชรสังฆาตสดมีฤทธิ์คันคอแลระคายเยื่อบุในปากแต่ไม่ระคายกระเพาะอาหาร แต่ห้ามรับประทานติดต่อกันนานเกิน 2 สัปดาห์เพราะอาจก่อให้เกิดนิ่วในทางเดินปัสสาวะ ผู้ป่วยโรคไตห้ามรับประทานเช่นกัน
"เพชรสังฆาต" เป็นสมุนไพรเถาเลื้อยตระกูลเถาองุ่น มีลักษณะเป็นข้อปล้องสี่เหลี่ยมครีบสีเขียวสดใสสวยงาม เหมาะปลูกเป็นไม้ประดับบ้าน ปลูกง่ายโตเร็ว สามารถนำมาคั้นเอาน้ำผสมน้ำมะนาว และน้ำผึ้ง เติมเกลือเล็กน้อยตามสูตรของอภัยภูเบศร ดื่มได้รสชาติดีไม่ระคายคอ เพราะกรดมะนาวช่วยสลายผลึกแคลเซียมอ็อกซาเลต ดื่มวันละแก้วติดต่อกันได้ทุกวันเหมือนดื่มน้ำผลไม้ทั่วไป เป็นการเสริมแคลเซียมและคอลลาเจนให้ร่างกายเพื่อเพิ่มมวลกระดูกให้แข็งแรงและถ้าจะให้ผลดี
https://www.honestdocs.co/what-is-it-and-caution
เฟซบุ๊คแฟนเพจ ความรู้สนุกๆ แบบหมอแมว,สสส.Medthaiฐานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี