Wildbetal leafbush
Piper sarmentosum Roxb. จัดอยู่ในวงศ์พริกไทย (PIPERACEAE)
ชะพลู เป็นพืชล้มลุกที่มีขนาดเล็ก พบเจอได้ง่าย เพราะจะขึ้นอยู่ในพื้นที่ที่เปียกชื้น ลักษณะใบสีเขียวสด มองเห็นเส้นแบ่งใบได้อย่างชัดเจน มีกลิ่นเฉพาะตัว ผลคล้ายผลเบอร์รี่ คือ มีรูปทรงกระบอก ภายในจะมีเมล็ดขนาดเล็ก ในส่วนของดอกชะพลูนั้นจะมีความคล้ายคลึงกับดอกดีปลี แต่จะมีขนาดที่สั้นกว่า
สำหรับต้นชะพลูถือเป็นผักพื้นบ้านที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ในทุกส่วน โดยแบ่งได้ ดังนี้
1. ราก รากของต้นชะพลูจะมีรสชาติที่เผ็ดร้อน ช่วยบำรุงและปรับสมดุลภายในร่างกาย นอกจากนี้ ยังช่วยกระตุ้นการเจริญอาหารได้มากยิ่งขึ้น
2. ลำต้น ช่วยขับเสมหะ ทั้งเสมหะที่อยู่ในลำคอรวมถึงเสมหะแห้ง และยังช่วยรักษาอาการปวดท้อง รวมถึงอาการดีซ่านได้อีกด้วย
3. ใบ มีสรรพคุณที่คล้ายคลึงกันกับราก และช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้
4. ผล มีรสชาติเผ็ดร้อน ช่วยในเรื่องของระบบย่อยอาหาร ขับลม นอกจากนั้นยังมีฤทธิ์ต้านเชื้อมาลาเรีย (Plasmodium falciparum)และฤทธิ์ต้านเชื้อวัณโรคได้อีกด้วย
ชะพลู ถือเป็นผักพื้นบ้านที่มีประโยชน์มากพอสมควร ซึ่งประโยชน์ของชะพลูก็มีด้วยกันดังนี้
ชะพลู ช่วยในการรักษาโรคหวัด เพราะจะช่วยในเรื่องของการหายใจ ทำให้หายใจโล่งมากยิ่งขึ้น ซึ่งใช้น้ำมันที่มาจากใบชะพลูทาบริเวณหน้าอกก็จะช่วยบรรเทาอาการของโรคหอบหืดลงได้
ใบชะพลูได้รับความนิยมอย่างมากในการใช้รักษาอาการปวด ไม่ว่าจะเป็นอาการปวดศีรษะและอาการปวดที่มีสาเหตุมาจากโรคข้ออักเสบ ซึ่งวิธีการใช้งานนั้นง่ายมาก เพียงนำใบชะพลูไปคั้นเอาน้ำ หลังจากนั้นก็นำมาผสมกับน้ำมันเพื่อนวด เสร็จแล้วนำไปทาบริเวณต่างๆ ที่ปวด
ชะพลู มีสารสกัดสำคัญภายในที่สามารถช่วยกระตุ้นร่างกาย ให้รู้สึกคล้ายคลึงกับการออกกำลังกายได้ จึงช่วยให้ร่างกายสดชื่นขึ้น โดยการดื่มน้ำใบชะพลูที่ผสมกับน้ำผึ้ง ก็จะช่วยกระตุ้นระบบประสาทด้านต่างๆ ให้ดีขึ้นแล้ว
เมื่อนำใบชะพลูมาเคี้ยวสดๆ จะได้รับวิตามินซี ซึ่งสามารถช่วยต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันเชื้อแบคทีเรียและไวรัสต่างๆ ได้
ใบชะพลูมีสรรพคุณช่วยลดความเป็นกรด ควบคุมความสมดุลในกระเพาะอาหาร และช่วยขจัดสารพิษที่มีอยู่ในลำไส้เล็กได้
โดยเคี้ยวใบชะพลูหลังรับประทานอาหาร หรือหากใครไม่ถนัดเคี้ยวใบชะพลู ก็ต้มน้ำใบชะพลูดื่มแทนได้ เพียงเท่านี้ก็จะช่วยในเรื่องการกระตุ้นระบบย่อยอาหารได้แล้ว
ผลชะพลู มีส่วนประกอบของสารกลุ่มเอไมด์ (amide) ซึ่งเป็นสารชนิดสำคัญที่ออกฤทธิ์เป็นยาฆ่าเชื้อ โดยเป็นประโยชน์ต่อการรักษาโรคมาลาเรีย(Plasmodium falciparum) และ วัณโรคได้ดีทีเดียว
ผู้ที่มีอาการไอเรื้อรังสามารถต้มใบชะพลูดื่มแก้อาการดังกล่าวได้ เพราะใบชะพลูมีสรรพคุณช่วยลดอาการอักเสบได้เป็นอย่างดี ซึ่งสามารถช่วยลดอาการอักเสบที่เกิดขึ้นในลำคอได้ด้วยนั่นเอง
อาการบิดก็สามารถรักษาได้ด้วยชะพลูเช่นกัน เพียงนำรากของชะพลูมาต้มน้ำแล้วเคี่ยว จากนั้นกรองเอาแต่น้ำมาดื่มเพื่อช่วยรักษาอาการปวดบิด
รากชะพลูมีสรรพคุณช่วยบำรุงและสร้างสมดุลให้กับร่างกาย และยังช่วยบำรุงธาตุได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
ใบชะพลูมีส่วนประกอบของสารกลุ่มโพลิฟีนอล ซึ่งเป็นสารที่ช่วยลดอาการอักเสบได้
สารสกัดที่ได้จากลำต้นและใบชะพลู มีฤทธิ์ในการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์อะเซทิลโคลีนเอสเทอเรสได้ดีมาก จึงสามารถป้องกันโรคอัลไซเมอร์ได้
ชะพลูมีสารฟลาโวนอยด์ (flavonoids) สูง ซึ่งสารดังกล่าวจะออกฤทธิ์คล้ายกับยาเบาหวานกลุ่ม insulin secretagogues โดยการกระตุ้นการหลั่งอินซูลินจากตับอ่อนเพื่อเพิ่มการดูดซึมกลูโคส ทำให้ช่วยรักษาโรคเบาหวานได้
นั้นก็ง่ายมากเช่นกัน โดยใช้วิธีขยายพันธุ์ด้วยการตัดหรือเด็ดกิ่งก้านส่วนยอดของต้นชะพลูมาทำการปักชำในดินร่วนซุย โดยให้มีใบติดอยู่สัก 2-3 ใบ แต่ละกิ่งก้านที่ปักชำให้มีระยะห่างกันราว 10-15 เซนติเมตร วางกระถางปลูกในที่ร่มรำไร และหมั่นรดน้ำพรวนดินทุกวัน วันละ 1 ครั้ง จากนั้นชะพลูก็จะออกรากและเติบโตเป็นต้นภายใน 1-2 เดือน
ใบชะพลูปริมาณ 100 กรัม ให้คุณค่าทางโภชนาการดังนี้
นฤมล ผิวเผื่อน. ผลึกแคลเซียมออกซาเลตและปริมาณออกซาเลต ในพืชผักบางชนิดในจังหวัดหนองคาย. (http://scijournal.kku.ac.th/files/Vol_42_No_4_P_820-829.pdf), 2557
Pranom Puchadapirom et al., Effect of the water extract of Chaplu (Piper sarmentosum) on the chromosomal damage of the bone marrow cells in rats by using micronucleus test. Thai Journal of Phytopharmacy Vol. 11(1) Jun. 2004.(http://repository.li.mahidol.ac.th/dspace/bitstream/123456789/3266/1/sc-ar-pranom-2547.pdf)
นัชฎาภรณ์ สอรักษา, อําพา เหลืองภิรมย์. ผลของสารสกัดจากใบชะพลูต่อฤทธิ์ลดระดับนํ้าตาลในเลือด ระดับฮอร์โมนอินซูลิน และจุลกายวิภาคของไอส์ เลตในตับอ่อนของหนูเบาหวาน (https://gsbooks.gs.kku.ac.th/57/grc15/files/bmp12.pdf), 2014
น้อย เนียมสา, ก้าน จันทร์พรหมมา.การศึกษาสารเคมีจากชะพลูPiper sarmentosum Roxb. วารสารสงขลานครินทร์. 2526;5(2):151-152.