Indian gooseberry
Phyllanthus emblica L. จัดอยู่ในวงศ์มะขามป้อม (PHYLLANTHACEAE)
- ต้น : เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูงประมาณ 8-12 เมตร ลำต้นมีลักษณะคดงอ ไม่ตรง
- เปลือก : เปลือกนอกของลำต้นเป็นสีน้ำตาลอมเทา ส่วนเปลือกในเป็นสีชมพูสด
- ใบ : ใบเป็นช่อ เป็นใบเลี้ยงเดี่ยวเรียงสลับ ปลายใบแหลม โคนใบโค้งมน ขอบใบเรียบ มีสีเขียวอ่อน เรียงชิดติดกันบนก้านใบ
- ดอก : มีดอกสีขาวหรือเหลืองอ่อนเล็ก ๆ รวมอยู่บนกิ่งเดียวกัน โดยจะออกดอกประมาณเดือนกันยายน
- ผล : มีผลกลม เนื้อหนา สีเขียว ถ้าเป็นผลอ่อนจะมีสีเขียวอ่อน ถ้าเป็นผลแก่จะมีสีเขียวอมเหลือง ค่อนข้างใส ออกน้ำตาลนิด ๆ สามารถกินได้ มีรสฝาด เปรี้ยว ขม และอมหวาน โดยจะออกผลประมาณเดือนพฤศจิกายน-เดือนกุมภาพันธ์
ลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด การแพทย์ทางเลือกด้านอายุรเวท (Ayurveda) ระบุคุณประโยชน์ของมะขามป้อมไว้หลายด้าน รวมถึงสรรพคุณช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล เนื่องจากอุดมไปด้วยสารสำคัญหลายตัว โดยเฉพาะสารเพกทิน (Pectin) และสารฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) ที่มีองค์ประกอบทางเคมีและมีรายงานว่ามีฤทธิ์ช่วยลดไขมันในเลือด
จากการศึกษาชิ้นเก่าเกี่ยวกับคุณสมบัติการลดไขมันในเลือดของมะขามป้อม โดยทดลองให้กลุ่มผู้ชายสุขภาพปกติและกลุ่มผู้ชายที่มีภาวะไขมันในเลือดสูง อายุ 35-55 ปี รับประทานอาหารเสริมจากมะขามป้อมเป็นเวลาติดต่อกัน 28 วัน ผลการทดสอบของทั้ง 2 กลุ่มมีระดับคอเลสเตอรอลลดลง แต่หลังจากหยุดรับประทานอาหารเสริมไป 2 สัปดาห์กลับพบว่ากลุ่มผู้ชายที่มีภาวะไขมันในเลือดสูงมีระดับคอเลสเตอรอลเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเกือบเท่าระดับเดิมก่อนเริ่มการรับประทาน
สำหรับงานวิจัยในปัจจุบันได้ทดสอบคุณสมบัติผลมะขามป้อมในการช่วยลดลดคอเลสเตอรอลในเลือด กลุ่มการทดลองเป็นผู้ป่วยโรคเบาหวานและคนปกติที่รับประทานสารสกัดจากผลมะขามป้อมในปริมาณแตกต่างกัน ได้แก่ 1 กรัมต่อวัน 2 กรัมต่อวัน และ 3 กรัมต่อวัน เป็นระยะเวลา 21 วัน หลังจากวัดผลด้วยการตรวจเลือดพบว่า การรับประทานสารสกัดจากผลมะขามป้อมเป็นปริมาณ 2 และ 3 กรัมต่อวันช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีและไตรกลีเซอไรด์อย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งยังเพิ่มระดับไขมันชนิดดีของทั้งกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานและคนปกติ แต่มีเพียงเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานที่รับประทานสารสกัดจากผลมะขามป้อมวันละ 3 กรัมต่อวันเท่านั้นที่พบว่ามีระดับคอเลสเตอรอลรวมลดลง
แม้ว่ายังไม่ทราบกลไกการออกฤทธิ์ของสารสำคัญในมะขามป้อมที่แน่ชัด แต่จากการศึกษาคุณสมบัติของมะขามป้อมพบว่า มีความเปลี่ยนแปลงของระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยที่มีภาวะไขมันในเลือดสูงหรือโรคอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ยังคงต้องหาหลักฐานเพิ่มเติมจากงานวิจัยในอนาคต เพื่อช่วยรับรองผลการศึกษา
โรคมะเร็ง จากการศึกษาวิจัยมะขามป้อมต่อโรคมะเร็งที่ผ่านมามักพบการทดลองระดับเซลล์และในสัตว์ทดลองเป็นส่วนใหญ่ โดยเชื่อกันว่าสารพฤกษเคมีหลายตัวที่พบในมะขามป้อมมีคุณสมบัติต้านมะเร็งคล้ายการใช้ยาเคมีบำบัด เช่น กรดแกลลิก กรดเอลลาจิก ไพโรแกลลอล คอริลาจิน เจอรานีน เป็นต้น
จากการทดสอบประสิทธิภาพสารสกัดจากมะขามป้อมต่อการยับยั้งมะเร็งเซลล์ตับและเซลล์มะเร็งปอด เพื่อใช้เสริมฤทธิ์ยาเคมีบำบัดรักษามะเร็ง 2 ตัว ได้แก่ ยาด๊อกโซรูบิซิน หรือยาซิสพลาติน ผลการทดสอบพบว่าการใช้สารสกัดจากมะขามป้อมแบบเดี่ยวหรือใช้ควบคู่กับยาเคมีบำบัดรักษามะเร็งต่างมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งที่ทดสอบ มะขามป้อมจึงอาจใช้เป็นส่วนผสมร่วมกับยาด๊อกโซรูบิซินหรือยาซิสพลาตินรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งบางราย ซึ่งอาจช่วยเสริมหรือลดผลจากตัวยาเคมีบำบัดลง ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับอัตราส่วนในการผสมของยาและสารสกัดจากมะขามป้อม อย่างไรก็ตาม ยังขาดการศึกษาอย่างจริงจังถึงสัดส่วนของยาและสมุนไพรในคน รวมถึงปฏิกิริยาระหว่างยากับสารสกัดจากมะขามป้อมซึ่งยังให้ผลไม่ชัดเจน
โรคเบาหวาน มะขามป้อมใช้เป็นยาพื้นบ้านมาตั้งแต่อดีตสำหรับรักษาโรคเบาหวาน เนื่องจากเชื่อกันว่าช่วยจัดการภาวะน้ำตาลในเลือดสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระจำนวนมาก ซึ่งอาจช่วยต่อต้านความเสียหายที่เกิดขึ้นในร่างกายจากการพัฒนาของโรคเบาหวานและภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ จากตัวโรค โดยในปัจจุบันมีการศึกษาหลายชิ้น เช่น
จากการศึกษาสรรพคุณของมะขามป้อมต่อการลดระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีอาการอาการปกติหรือไม่มีภาวะแทรกซ้อน 120 คน โดยแบ่งเป็นกลุ่มที่รับประทานอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของน้ำมะขามป้อมและสมุนไพรอื่น ๆ ซึ่งมีคุณสมบัติลดน้ำตาลในเลือดทุกวันเป็นระยะเวลา 3 เดือน เปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับประทานอาหารเสริม แต่รับประทานอาหารปกติ จากนั้นจึงวัดผลด้วยการเจาะวัดระดับน้ำตาลในเลือดพบว่า กลุ่มที่รับประทานอาหารเสริมมีระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร 8 ชั่วโมง (Fasting Blood Sugar: FBS) และน้ำตาลสะสม (Glycated Hemoglobin: HbA1c) ลดลงอย่างชัดเจน แต่ไม่พบความเปลี่ยนแปลงในกลุ่มที่ไม่รับประทานอาหารเสริม
สอดคล้องกับการศึกษาอาหารเสริมจากมะขามป้อมในผู้ป่วยโรคเบาหวาน จำนวน 43 คน โดยให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารเสริม ขนาด 500 มิลลิกรัมต่อเม็ด ซึ่งมีส่วนผสมของมะขามป้อม 25% และสมุนไพรชนิดอื่นอีก 75% วันละ 2 เม็ด ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 3 เดือน เปรียบเทียบกับกลุ่มอาสาสมัครสุขภาพแข็งแรง จำนวน 10 คน ที่ไม่ได้รับประทานอาหารเสริม หลังจบการทดลองพบว่า กลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานทั้ง 3 กลุ่ม มีค่าระดับน้ำตาลในเลือดลดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ยังต้องศึกษาเพิ่มเติมในเรื่องปริมาณของมะขามป้อมที่ส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด
จากข้อมูลการศึกษาหลายชิ้นเชื่อว่ามะขามป้อมมีคุณสมบัติช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด จึงอาจเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยเบาหวาน แต่ส่วนใหญ่ยังเป็นการศึกษาที่ใช้มะขามป้อมควบคู่กับสารสกัดหรือสมุนไพรชนิดอื่น อีกทั้ง ปริมาณการใช้มะขามป้อมต่อการรักษาโรคเบาหวานยังไม่ทราบแน่นอน ทำให้ต้องศึกษาเพิ่มเติมหรือมีงานวิจัยที่ใช้มะขามป้อมเพียงตัวเดียว เพื่อช่วยยืนยันผลการศึกษาที่แน่นอน
โรคอ้วน นอกจากสรรพคุณช่วยลดภาวะไขมันและโรคหัวใจ มะขามป้อมยังถูกใช้อย่างแพร่หลายในการรักษาโรคอ้วน จากการศึกษาสูตรยาโบราณอย่าง ตรีผลา (Triphala) ซึ่งประกอบด้วยสมุนไพร 3 ชนิด ได้แก่ มะขามป้อม สมอไทย และสมอพิเภก เพื่อดูประสิทธิภาพในการลดน้ำหนักในคนอายุ 16-60 ปี โดยให้รับประทานตรีผลาวันละ 5 กรัม วันละ 2 ครั้งเปรียบเทียบกับยาหลอก จากนั้นจึงวัดผลจากน้ำหนักตัว ค่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Index: BMI) รอบเอวและรอบสะโพกทุก 4 สัปดาห์ รวมถึงตรวจดูการทำงานของตับและไต ค่าความต้านทานต่ออินซูลิน ผลการทดลองพบว่า กลุ่มที่รับประทานตรีผลามีน้ำหนักตัว รอบเอว และรอบสะโพกลดลงกว่ากลุ่มที่รับประทานยาหลอก รวมถึงไม่พบผลข้างเคียงทั้งใน 2 กลุ่ม
นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาอีกชิ้นเกี่ยวกับประสิทธิภาพของสารสกัดจากมะขามป้อมในผู้ป่วยโรคอ้วน โดยให้รับประทานอาหารเสริมจากมะขามป้อมวันละ 500 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง เป็นระยะเวลาติดต่อกัน 12 สัปดาห์ ผลพบว่า ผู้ป่วยมีระดับคอเลสเตอรอลรวมและคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีลดลงอย่างมีนัยสำคัญหลังการรับประทานสารสกัดจากมะขามป้อมครบ 12 สัปดาห์ ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงเรื่องหลอดเลือดหัวใจ ได้แก่ ไขมัน การอักเสบ และการแข็งตัวของเกล็ดเลือดในผู้ป่วยโรคอ้วน
จากข้อมูลในข้างต้น การแพทย์ทางเลือกโดยใช้สมุนไพรที่ขึ้นชื่อกันว่าช่วยลดน้ำหนักลดลงอย่างมะขามป้อมก็อาจเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยโรคอ้วนทั่วไป แต่ในรายที่อ้วนมากหรือมีอาการรุนแรงอื่น ๆ ควรได้รับการรักษาที่เฉพาะเจาะจง มีการออกกำลังกาย ควบคุมการรับประทานอาหาร และปรึกษาแพทย์ควบคู่กันไป
โรคข้อเข่าเสื่อม ตามแนวทางการแพทย์อายุรเวทของอินเดียได้ใช้สมุนไพรหลายชนิดในการรักษาโรค โดยมะขามป้อมเป็นสมุนไพรอีกชนิดที่เชื่อว่ามีฤทธิ์ต้านการอักเสบและเป็นส่วนผสมอยู่ในตำรับยาดังกล่าว จึงมักถูกนำมาใช้รักษาโรคข้อเข่าเสื่อม
จากการศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิภาพของยาสมุนไพรตามสูตรยาแพทย์อายุรเวชที่มีมะขามป้อมเป็นส่วนประกอบกับการใช้กลูโคซามีนควบคู่กับยาเซเลโคซิบ (Celecoxib) ในผู้ป่วยที่มีอาการข้อเข่าเสื่อม จำนวน 440 คน โดยแบ่งให้กลุ่มแรกรับประทานกลูโคซามีนซัลเฟต 2 กรัมต่อวัน พร้อมกับเซเลโคซิบ 200 มิลลิกรัมต่อวัน และอีกกลุ่มรับประทานยาสมุนไพรที่มีมะขามป้อม เป็นระยะเวลา 24 สัปดาห์ พบว่า ยาสมุนไพรตามสูตรยาแพทย์อายุรเวชช่วยลดอาการปวดเข่าและเสริมการทำงานของหัวเข่าให้ดีขึ้นในระยะเวลา 6 เดือน ซึ่งชี้ให้เห็นว่ายาสมุนไพรอาจมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับกลูโคซามีนและยาเซเลโคซิบ อย่างไรก็ตาม ยังพบผลข้างเคียงคือตับอักเสบเล็กน้อย และค่าเอนไซม์กลับเข้าสู่ภาวะปกติเมื่อหยุดรับประทาน ทำให้ต้องศึกษาและติดตามผลในด้านความปลอดภัยเพิ่มเติมก่อนนำมาประยุกต์ใช้รักษาโรคข้อเข่าเสื่อมในระยะยาว
การรับประทานมะขามป้อมอย่างปลอดภัย
โดยทั่วไปการรับประทานมะขามป้อมค่อนข้างมีความปลอดภัยเมื่อรับประทานในปริมาณปกติจากอาหาร แต่มีข้อควรระวังบางประการ ดังนี้
ในอดีตนิยมเพาะขยายพันธุ์โดยการใช้เมล็ด เพราะจะได้ต้นพันธุ์ที่ไม่กลายพันธุ์และและแข็งแรง แต่มีข้อจำกัดตรงที่ต้นพันธุ์ทีปลูกด้วยเมล็ดนั้นต้องใช้เวลา 3 – 5 ปี ในการปลูกจึงจะให้ผลผลิตได้ แต่ในปัจจุบันนิยมซื้อต้นพันธุ์มะขามป้อมจากกาตอนกิ่งและการต่อยอดมาปลูก เพราะต้นพันธุ์เหล่านี้สามารออกผลได้ในทันทีหรือภายใน 1 – 2 ปีเท่านั้น สำหรับการปลูกมะขามป้อมที่จะปลูกเพียงไม่กี่ต้น สามารถนำต้นกล้าลงปลูกในหลุมที่กว้างและลึก 30 เซนติเมตร ได้เลยโดยไม้ต้องเตรียมดิน แต่ควรมีระยะห่างระหว่างต้น 4x4 เมตร (สำหรับต้นกล้าที่ได้จากการตอนกิ่ง) และระยะห่าง 6x6 เมตร (สำหรับต้นกล้าเพาะเมล็ด) ส่วนการปลูกในจำนวนมากเพื่อการค้าและการพาณิชย์ ควรปลูกในแปลงและควรไถเตรียมแปลงและกำจัดวัชพืชให้หมด ส่วนระยะห่างระหว่างต้นก็ใช้ระยะที่กล่าวไว้ข้างต้น และการปลูกมะขามป้อมนั้นควรจะทำการปลูกในช่วงเดือนพฤษภาคม เพราะเข้าสู่ฤดูฝนหน้าดินชุ่มน้ำ ก่อนปลูกควรผสมปุ๋ยคอกกับดินให้เข้ากันแล้วจึงกลบดินทีเตรียมไว้ลงในก้นหลุมพอสมควรแล้วจึงนำต้นกล้าลงปลูกแล้วกลบดินให้แน่น ส่วนการดูแลนั้นหากปลูกในฤดูฝนไม่ต้องดูแลมากเพียงแค่คอยุถางหญ้าและวัชพืชเท่านั้น หากปลูกในฤดูอื่น และไม่มีฝนตกให้น้ำเป็นระยะๆ 3 – 4 ครั้งต่อเดือน และคอยกำจัดวัชพืชเพียงแค่นี้เราก็จะมีต้นมะขามป้อมไว้กินและใช้รวมถึงนำไปต่อยอดเป็นอาชีพได้เลยทีเดียว
พลังงาน 58 กิโลแคลอรี
น้ำ 84.10 กรัม
ไขมัน 0.50 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 14.30 กรัม
เส้นใยอาหาร 2.40 กรัม
โปรตีน 0.70 กรัม
แคลเซียม 29 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 21 มิลลิกรัม
เหล็ก 0.5 มิลลิกรัม
วิตามินเอ 100 หน่วยสากล
วิตามินบี 10.03 มิลลิกรัม
วิตามินบี 20.04 มิลลิกรัม
ไนอะซิน 0.2 มิลลิกรัม
วิตามินซี 276 มิลลิกรัม
ส่วนมะขามป้อมแช่อิ่ม 100 กรัม มีคุณค่าทางโภชนาการ ดังนี้
พลังงาน 222 กิโลแคลอรี
น้ำ 37.60 กรัม
ไขมัน 0.60 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 59.80 กรัม
เส้นใยอาหาร 1 กรัม
โปรตีน 0.50 กรัม
แคลเซียม 39 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 18 มิลลิกรัม
เหล็ก 1.2 มิลลิกรัม
วิตามินบี 0.02 มิลลิกรัม
วิตามินบี 0.09 มิลลิกรัม
ไนอะซิน 0.1 มิลลิกรัม
วิตามินซี 3 มิลลิกรัม