Jade vine; Emerald creeper
Strongylodon macrobotrys
เป็นไม้เถาเลื้อยยืนต้น เถาใหญ่ เหนียว แตกกิ่งก้านสาขามาก สามารถเลื้อยได้ไกลถึง 20 เมตร นิสัยของ
พวงหยกคล้ายกับ พวงโกเมนญาติสนิท ที่มักจะเลื้อยไปตามหลัก เสา หรือ ตามกำแพง บนหลังคาหรือตาม
ซุ้มต้นไม้ พอถึงช่วงมีดอกก็จะทิ้งช่อลงมาเป็นพวงยาวเหนือพื้นดิน
ดอก สีเขียวหยก ออกเป็นพวงคล้ายดอกแคแต่ขนาดใหญ่กว่า เหมือนดอกพวงโกเมน ไม่มีกลิ่นหอม ดอกเป็นพวง
ห้อยระย้าเบียดกันแน่น ห้อยลงจากซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ยาวประมาณ 30-90 เซนติเมตร เริ่มออกดอกช่วงฤดูหนาว
เวลาบานจะทยอยบาน เริ่มจากส่วนโคนช่อที่ติดกับเถาก่อน จากนั้นก็ค่อย ๆ ไล่ลงมาจนถึงปลายช่อ
ดอกย่อยรูปดอกถั่ว ยาวประมาณ 5.5 ซม. กลีบรองดอกสีม่วงเชื่อมกันเป็นถ้วย ยาวประมาณ 1 ซม. กลีบดอก 5 กลีบ
กลีบบนรูปไข่ โค้งหงายเป็นวง กลีบข้างรูปขอบขนาน กลีบคู่ล่างเชื่อมกันเป็นรูปท้องเรือ ปลายกลีบ เรียว แหลม
โค้งขึ้นเป็นจงอย เกสรผู้ 10 อัน
ลักษณะของดอกที่ห้อยเป็นพวงเบียดกันแน่นสีเขียวหยก สวยงามแปลกตา เป็นที่มาของชื่อ "พวงหยก"
กลีบดอก เมื่ออวบน้ำจะมีสีเขียวเหมือนหยก ดอกจะเริ่มทยอยบานจากบริเวณโคนช่อก่อน
ดอกแต่ละดอกจะมีก้านดอกยึดติดกับแกนของช่อรวมกันเป็นพวง มีกลีบเลี้ยงเชื่อมติดกันเป็นรูปถ้วยหรือระฆัง
ส่วนกลีบดอก 5 กลีบ มีขนาดต่าง ๆ มีเกสรตัวผู้อยู่กลางดอก ถ้าต้นสมบูรณ์ดี น้ำดี ดินดี อากาศเป็นใจ ดอกอาจจะ
เป็นพวงย้อยลงมายาวได้ถึง 1 เมตรหรือมากกว่านั้น แต่ถ้าดินไม่ร่วน โปร่ง ระบายอากาศได้ดี ขาดความชุ่มชื้น
หรือไม่ค่อยมีแดด หรือมีแดดหรอมแหรม ก็อาจจะออกดอกเป็นช่อสั้น ๆ หรือไม่ออกดอกเลย
ใบ เป็นใบประกอบที่มีขนาดใหญ่ ใบมีความกว้างประมาณ 4 เซนติเมตร และยาวประมาณ 13 เซนติเมตร
ใบจะออกสลับซ้าย-ขวา ไปตลอดกิ่ง และใบหนึ่งก้านใบ จะมีใบย่อย 3 ใบ ใบจะค่อนข้างรี มีปลายใบและโคนใบแหลม
ผล เป็นฝัก แบน ยาว 8-15 ซม. เมื่อแก่ แตกเป็น 2 ซีก มี 3-10 เมล็ด
ขยายพันธุ์ด้วยการ ปักชำ ตอนกิ่ง หรือ เพาะเมล็ด
ไม่ได้ระบุรายละเอียดสรรพคุณ
นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ
ต้นกำเนิดพวงหยกมาจากป่าดิบชื้นในประเทศฟิลิปปินส์ชอบแสงแดดจัด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นแดดจัดที่มาพร้อมกับความแห้งแล้งแต่ประการใด พวงหยกกลับชอบให้ดินที่อยู่รอบๆ โคนต้นชุ่มชื้นเป็นพิเศษ ดังนั้นคนที่คิดจะปลูกพวงหยกแต่ดินที่บ้านไม่ได้ชุ่มชื้นอย่างที่พวงหยกชอบ ลองหาไม้คลุมดินขนาดเล็กมาปลูกคลุมไว้รอบๆ โคนต้นพวงหยกก็พอแก้ขัด ช่วยรักษาความชุ่มชื้นของดินเอาไว้ได้
นอกจากดินชุ่มชื้นแล้ว ยังต้องระบายอากาศได้ดี ระบายน้ำดีด้วย ดินจะต้องไม่เหนียวจนอุ้มน้ำเอาไว้หมด จะต้องเป็นดินร่วนที่ปนดินทรายเข้ามาด้วย ดังนั้นเวลาเลือกทำเลที่จะเอาเจ้าพวงหยกลงดิน ให้เดินดูทำเลที่แสงแดดส่องถึง ในเวลาเดียวกันดินก็จะต้องชุ่มชื้นแต่ไม่ถึงกับแฉะ สรุปแล้วพวงหยกไม่ใช่ต้นไม้ที่เลี้ยงดูกันง่ายๆ ต้องดูแลเรื่องความชื้นเป็นพิเศษ คนที่ไม่ค่อยมีเวลาดูแลสวนก็อาจจะต้องมองเลยผ่านไม้เลื้อยพวงเขียวมรกตนี้ไป
ส่วนการเพาะขยายพันธ์มีหลายทางเลือกให้ได้ขยายพันธ์กัน เช่น ใช้เมล็ดเพาะ วิธีนี้คนใจร้อนอาจจะไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เพราะอาจะต้องรอลุ้นนานไปหน่อย หรือการปักชำกิ่งที่นิยมใช้ขยายพันธ์กันมากกว่า ส่วนการปลูกให้ขุดหลุมกว้าง 1 X1 แล้ววางกิ่งพวงหยกลงไปกลบดิน แล้วปลูกพืชคลุมดินไว้รอบๆ ต้นอีกชั้น เหมือนเป็นการกางรดให้กับพวงหยก ดินที่อยู่โคนต้นก็จะไม่แห้งเร็วเกินไป รดน้ำทุกเช้า-เย็นประมาณ 2 เดือน หรือถ้าเป็นช่วงที่อากาศเย็นหรือฝนตกก็อาจจะลดการรดน้ำให้เหลือแค่เพียงตอนเช้า วันละครั้งก็พอแล้ว
ข้อควรระวัง
สิ่งที่ต้องระวังกันเป็นเรื่องแรกเลยสำหรับไม้เลื้อยก็คงไม่พ้นเรื่องนิสัยชอบเลื้อยของมันเอง ถ้าเลี้ยงไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้ควบคุมหรือตัดแต่งเถาให้อยู่ในขอบเขตจำกัด พวงหยกจะเลื้อยไปได้ไกลถึง 20เมตร กับเรื่องมดแมลง ผึ้ง ที่จะมะรุมมะตุ้มจีบพวงหยกกันยกใหญ่เพราะว่า ที่กลางดอกของพวกหยกจะผลิตน้ำหวานออกมาให้เหล่ามดแมลง ผึ้งได้ลิ้มชิมรส
เพราะฉะนั้นขอให้เตรียมใจไว้ได้เลยว่า คุณอาจต้องทำสงครามกับมดแดงแน่ๆ เพราะเจ้ามดแดงที่ติดอกติดใจกับรสหวานของพวงหยกจะย้ายสำมะโนครัวมาอยู่บนต้นพวงหยกกันเป็นการถาวร เนื่องจากใกล้น้ำหวานของโปรด แถมใบของพวกหยกยังเป็นใบไม้ที่ไม่ใหญ่มาก มีความเหนียวไม่ขาดง่าย และยังยืดหยุ่นดี เหมาะกับการเป็นบ้านของพวกมดแดง
นอกจากหมู่มดแมลงที่จะโบยบินมาเยี่ยมเยียนเป็นประจำแล้ว พวงหยกยังมีปัญหาใบจุด ใบจะมีจุดหรือดวงสีน้ำตาลไม้ สีเหลืองบนแผ่นใบ เริ่มจากจุดเล็กๆ เพียงไม่กี่ซม. แล้วค่อยๆ ขยายขนาดใหญ่ขึ้น กระจายอยู่ทั่วใบ จุดที่เป็นสีน้ำตาล เนื้อเยื่อใบไม้ จะแห้งกรังเป็นสีน้ำตาลขนาดเล็ก และขยายขึ้น แท้จริงๆ แล้วเกิดจากฝีมือของเชื้อรา เนื่องจากหน้าฝนเป็นช่วงที่เชื้อราบางอย่างเจริญเติบโตได้ดี ทำให้ใบเกิดเป็นโรคเชื้อราได้ ที่ตามมาก็คือ ใบจะร่วงก่อนกำหนด
แสง พวงหยกเป็นไม้กลางแจ้งที่ต้องการแสงแดดพอสมควร จึงเหมาะที่จะปลูกในบริเวณที่แสงแดดส่องได้ถึง หรืออาจจะปลูกบริเวณรั้วบ้านก็ได้
น้ำ พวงหยกต้องการน้ำปานกลาง การให้น้ำควรให้วันละครั้ง ในตอนเช้าก็เพียงพอแล้ว
ดิน ดินที่จะใช้ปลูกพวงหยก มักจะเป็นดินร่วน หรือดินร่วนปนทรายที่สามารถระบายน้ำได้ดี หรือไม่เป็นดินเหนียว ที่อุ้มน้ำไว้มากเกินไป
ปุ๋ย ปุ๋ยที่ใช้ส่วนใหญ่มักจะเป็นปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมักมากกว่าปุ๋ยเคมี แต่หากจะใช้ปุ๋ยเคมีก็ให้ใช้ปุ๋ยสำหรับไม้ดอกก็ได้
ไม่ปรากฏ