การทำงานไม้ให้มีความสวยงามและมีคุณค่านั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้จักการทำงานต่างๆ มีวิธีการทำอย่างไรและต้องทำตามคำแนะนำนั้นๆ งานจึงจะเรียบร้อยตามความต้องการ
ก่อนที่จะทำการตกแต่งต้องดูก่อนว่าชิ้นงานนั้นใช้กับงานอะไร เมื่อเราทราบว่างานชิ้นนั้นใช้กับงานอะไรแล้วเราก็สามารถกำหนดลวดลายลงบนชิ้นงานได้
ความหมายของการออกแบบ การออกแบบมีความหมายง่ายๆ คือการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ เพื่อประโยชน์ใช้สอย และความงามโดยการนำเอาส่วนประกอบของการออกแบบ ( เส้น สี ลักษณะพื้นผิว แสง เงา ฯลฯ) มาจัดให้เกิดเป็นรูปร่างขึ้นใหม่นั้นเอง หรือหมายถึง การปรับปรุงของเดิมซึ่งมีอยู่แล้วดัดแปลงให้เหมาะสมขึ้น
การออกแบบตกแต่ง คือ การตกแต่งระนาบผิวของวัสดุต่างๆ ให้ดูงาม น่าสนใจขึ้น โดยใช้การประกอบของการออกแบบเช่นเดียวกัน
การออกแบบตกแต่งที่ดีควรคำนึงถึง
1. ความนุ่มนวลเข้าได้ของส่วนรวมทั้งหมด
2. ช่วยสร้างความน่าดูให้กับวัตถุที่ตกแต่ง มิใช่ทำลาย
3. ควรมีช่องว่างไว้ด้วย เพื่อให้ดูไม่ยุ่งยากซับซ้อน
การเคลือบผิวไม้ เป็นการปฏิบัติงานขั้นสุดท้ายเพื่อให้ผลงานมีความเรียบ ทนทานหรือสวยงาม นำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสม
ประเภทของการเคลือบผิว แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ
1. การเคลือบผิวปิดลายไม้
2. การเคลือบผิวเปิดลายไม้
การเคลือบผิวปิดลายไม้ เป็นการเคลือบผิวที่ทำให้ไม่สามารถมองเป็นลวดลายความงามของเนื้อไม้ วัสดุที่ใช้ในการเคลือบ เช่น สีน้ำมัน สีน้ำ สีพลาสติก ฯลฯ
1.1 สีน้ำมัน
สีน้ำมัน เป็นสีที่นิยมใช้ทาในงานไม้มาก ในตัวของสีมักจะมีแร่ธาตุต่างๆ ผสมอยู่มาก เช่น ตะกั่ว สังกะสี น้ำมันที่ใช้ผสมสี คือ น้ำมันพืชที่เราเรียกว่าน้ำมันลินซีด ส่วนน้ำมันชักแห้งเป็นน้ำมันที่ช่วยให้สีแห้งเร็วขึ้นจากเดิม สีน้ำมันอาจแยกตัวเองออกได้ดังนี้
1. สีชนิดที่หนึ่ง มีสีขาว สีแดง สีน้ำมัน สีเหลือง สีพวกนี้จะมีเนื้อสีบริสุทธ์ อ่อนนิ่ม ละเอียด สามารถนำมาใช้ผสมทำให้เกิดเป็นสีต่างๆ ขึ้นได้
2. สีชนิดที่สอง เป็นสีที่มีอยู่หลายๆ สีรวมกัน เนื้อสีจะมีแป้งและดินผสมอยู่ การใช้ไม่ควรนำมาผสมกันอีก เพราะจะทำให้สีไม่สดและไม่ทนทานต่อดินฟ้าอากาศ สีน้ำมันมากๆ จะทนทานดีกว่าสีด้าน เหมาะสำหรับใช้สีน้ำมันภายนอกอาคาร ส่วนสีน้ำมันที่ด้านควรใช้ตกแต่งภายใน
การเตรียมผิวงานการทาสีน้ำมัน
1. สร้างหรือประกอบชิ้นงานที่ต้องการทาสีน้ำมันให้ครบตามแปลนที่ต้องการ
2. ก่อนทำการทาสีน้ำมันควรอุดเสี้ยนไม้ให้หมดเสียก่อน
3. ก่อนอุดเสี้ยนไม้ทุกครั้งควรอุดหัวตะปูให้เรียบร้อยก่อน โดยใช้แชลแลกผสมกับดินสอพองหมาดๆ การอุดโป๊วหัวตะปูควรอุดให้สูงพอสมควร
4. เมื่อดินสอพองที่อุดอุดโป๊วหัวตะปูแห้งก็จะยุบตัวลง แล้วจึงใช้กระดาษทรายขัดให้เรียบร้อยก่อนทาสีน้ำมัน
วัสดุและเครื่องมือที่ใช้
1. แปลงทาสี
2. สีน้ำมัน
3. น้ำมันผสมสี เช่น ทินเนอร์ น้ำมันสน ฯลฯ
4. กระป๋องแบ่งสี กระป๋องผสมสี
5. กระดาษทราย
ลำดับขั้นในการทาสีน้ำมัน
1. การเตรียมผิวงาน หรือวัสดุที่จะต้องทาสีโดยขัดให้เรียบ
2. ก่อนทาสีสีควรอ่านคำแนะนำที่ข้างกระป๋องสีก่อนเสมอ
3. ผสมสีลงในกระป๋องผสมสีและคนให้เข้ากัน
4. เลือกแปรงให้เหมาะสมกับงาน แล้วจุ่มแปรงลงในสีให้นานเพื่อให้สีแทรกซึมเข้าไปทั่วขนแปรง
5. ทาสีไปตามเสี้ยนไม้ให้สม่ำเสมอกัน แล้วปล่อยทิ้งไว้ให้แห้งสนิท
6. ใช้กระดาษทรายขัดละเอียดขัดเบาๆ แล้วเช็ดให้สะอาด
7. ทำการทาทับอีก 1-2 ครั้ง แล้วแต่ความต้องการ
การเก็บรักษาแปรง
ต้องล้างแปรงให้สะอาดทันทีด้วยน้ำมันทินเนอร์ หรือถ้ายังทาไม่เสร็จอาจใช้แปรงแช่น้ำไว้
คำแนะนำในการทาสี
ในการทำงานสีนั้น เพื่อให้งานนั้นมีสภาพคงทน ใช้งานได้นานและสวยงาม ต้องใช้สี 2 ชั้นบนผิวงาน คือ
1. สีชั้นใน (Under Coat) เป็นตัวทำหน้าที่ระหว่างยึดผิวงานกับสีจริง เพื่อที่จะทำให้การเกาะตัวของสีคงทนต้องลงสีชั้นในก่อนเสมอ สีชั้นในตามท้องตลาดเรียกว่า สีพื้นหรือสีกันสนิม โดยทั่วๆ ไป มีสีเทากับสีเปลือกมังคุด
2. สีชั้นนอก (Over Coat) เป็นสีที่ทาสำเร็จ คือ ทาทับสีพื้น เมื่อทาเสร็จแล้วจะทำให้งานดูมีค่ายิ่งขึ้น สีชั้นนอกมีหลายชนิดตามแต่บริษัทผู้ผลิต
เป็นการเคลือบผิวเปิดที่โชว์ลวดลายความสวยงามของเนื้อไม้ วัสดุที่ใช้ เช่น แชลแลค แลกเกอร์ วานิช ฯลฯ
2.1 แชลแลค
แชลแลค เป็นของเหลวที่ได้จากสัตว์ ซึ่งมีลักษณะเป็นยางที่ไหลซึมลงมาจากตัวครั่งที่อาศัยตามต้นไม้ในประเทศอินเดียและแถบตะวันออกเฉียงใต้ โดยผ่านกรรมวิธีให้ความร้อนเพื่อทำให้เป็นแผ่นๆ จากนั้นก็นำผสมกับแอลกอฮอล์ก็จะเปลี่ยนรูปของเหลว ซึ่งใช้ในการทาผิวไม่ได้ดี เพราะทาง่ายและแห้งเร็ว แต่ข้อเสีย คือ ป้องกันน้ำไม่ได้ เมื่อถูกน้ำจะเป็นรอยด่าง
แชลแลค ยังแบ่งได้เป็นหลายชนิด เช่น แชลแลคขาว แชลแลคเกล็ด หรือแชลแลคสีส้ม
1. แชลแลคสีขาว ใช้ทาแต่งเติมผิวไม้เพื่อให้เป็นธรรมชาติ แชลแลคชนิดนี้มีราคาแพง และเก็บไว้ได้ไม่นานแล้วจะเสื่อมคุณภาพ
2. แชลแลคสีส้ม นิยมกันทั่วไป สามารถเก็บรักษาไว้ได้นานกว่าแชลแลคสีขาว ซึ่งมีส่วนผสมก่อนนำไปใช้ คือ ใช้แชลแลคประมาณ 1.5 ต่อแอลกอฮอล์ 4 ลิตร
การเตรียมผิวงาน
1. ใช้เหล็กส่ง ส่งหัวตะปูลงไปในเนื้อไม้ที่จะเตรียมผิวงานไม้
2. อุดหัวตะปูด้วยวัสดุ เช่น ดินสอพองผสมแชลแลค กาวผสมขี้เลื่อย
3. ขัดด้วยกระดาษทรายเบอร์ 2
4. ใช้ผ้าชุบน้ำพอหมาดๆ เช็ดให้ทั่วแล้วปล่อยให้แห้ง
5. ใช้กระดาษทรายเบอร์ 1 ขัดให้ทั่ว
6. ใช้ดินสอพองผสมน้ำลงพื้น ปล่อยไว้พอหมาดๆ จึงเช็ดออก
7. ใช้กระดาษทรายเบอร์ 1 ขัดอีกครั้งหนึ่ง
8. ใช้แชลแลคค่อนข้างใสทาให้ทั่ว 1 ครั้ง
9. ใช้กระดาษทรายเบอร์ 0 ขัดให้ทั่ว
10. ใช้แชลแลคปานกลางทาให้ทั่ว
วัสดุและเครื่องมือที่ใช้
1. แปรงขนกระต่าย
2. แชลแลค
3. กระดาษทราย
4. แอลกอฮอล์
5. กระป๋องผสม
ลำดับขั้นในการทาแชลแลค
1. เตรียมผิวงานหรือวัสดุที่ทาจะต้องสะอาดไม่มีน้ำและน้ำมันติดอยู่
2. รินแชลแลคลงในกระป๋อง แล้วจุ่มแปรงให้เปียกทั่วขนแปรง
3. ยกแปรงกดขึ้นข้างขอบของภาชนะที่ใส่ เพื่อให้แชลแลคส่วนเกินไหลสู่ภาชนะเดิม
4. ทำการทาไปตามเสี้ยนไม้ให้ทั่วชิ้นงานแล้วทิ้งไว้ให้แห้ง
5. ใช้กระดาษทรายอย่างละเอียดขัดผิวหน้าให้เรียบอีกครั้ง
6. ทำการทาชิ้นงานนั้นให้ทั่วอีก 1-2 ครั้ง
7. ถ้าจะให้มันและเรียบควรปฏิบัติซ้ำแล้วแต่ความประณีตของงาน
การเก็บรักษาแปรง
ต้องทำความสะอาดแปรงทันทีหลังจากใช้แปรงแล้วด้วยแอลกอฮอล์
2.2 แลกเกอร์
แลกเกอร์ เป็นส่วนเคลือบผิวด้วยวัสดุสังเคาระห์ หลังจากทาเนื้อไม้เมื่อแห้งดีแล้วจะแข็งใสเป็นมันงดงาม โดยมากนิยมใช้ทาแต่จะใช้พ่นก็ได้ถ้างานมีจำนวนมาก แลกเกอร์นี้จะผสมกับน้ำมันทินเนอร์ โดยใช้ส่วนผสม 1:1 เหมาะสำไหรับงานเฟอร์นิเจอร์
การเตรียมผิวงานการทาแลกเกอร์
1. สร้างหรือประกอบชิ้นงานที่ต้องการทาแลกเกอร์ให้ครบตามแปลนที่ต้องการ
2. ทำการผสมดินโป๊วอุดหัวตะปูให้เรีบยร้อย โดยใช้ดินสองพองผสมกับแลกเกอร์พอหมาดๆ นำไปอุดตามรอยหัวตะปูและตามตำหนิของไม้ทั่วๆ ไป เมื่อแห้งดีแล้วใช้กระดาษทรายขัดให้เรียบร้อย
3. ทำการลงพื้นและย้อมเนื้อไม้ให้เรียบร้อยก่อนทาแลกเกอร์โดนทำความสะอาดงานให้เรียบร้อยก่อนนำไปทาแลกเกอร์ต่อไป
วัสดุและเครื่องมือที่ใช้
1. แปรงขนกระต่าย
2. แลกเกอร์
3. กระดาษทราย
4. ทินเนอร์
5. กระป๋องผสม
ลำดับขั้นในการทาแลกเกอร์
1. เตรียมผิวงานและวัสดุที่ทาจะต้องสะอาด
2. ผสมแลกเกอร์กับผิวทินเนอร์ตามอัตราส่วนลงในกระป๋องที่ผสม
3. จุ่มแปรงให้เปียกทั่วขนแปรง
4. ยกแปรงกดขึ้นข้างขอบภาชนะที่ใส่เพื่อให้แลกเกอร์ส่วนเกินไหลลงกระป๋อง
5. ทำการทาไปตามเสี้ยนไม้ให้ทั่วชิ้นงาน แล้วทิ้งไว้ให้แห้ง
6. ใช้กระดาษทรายละเอียดขัดผิวหน้าให้เรียบอีกครั้งหนึ่ง
7. เมื่อขัดผิวหน้าไม้ให้เรียบแล้วทำการทาแลกเกอร์ให้ทั่วอีก 1-2 ครั้ง
การเก็บรักษาแปรง
ต้องล้างแปรงให้สะอาดทันทีหลังการทาแล้วด้วยน้ำมันทินเนอร์ทุกครั้ง
2.3 น้ำมันชักเงาหรือวานิช
น้ำมันชักเงาหรือวานิช เป็นน้ำมันที่ประกอบด้วยของเหลวเพื่อทำการเคลือบผิวไม้ให้เรียบและมีความสวยงามสามารถเห็นลายไม้ได้เป็นอย่างดี ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 3 ชนิด
1. น้ำมันชักเงายางธรรมชาติ เป็นน้ำมันที่ได้มาจากยางไม้ที่ไหลออกจากต้นไม้อันเป็นเนื้อของน้ำมันวานิช ใช้เคลือบผิวหน้าของงานให้เรียบร้อย ยางไม้ชนิดที่มีคุณภาพดี ได้แก่ ยางไม้โบเอจากนิวซีแลนด์ ยางไม้เกาและยางไม้โคบาลจากคองโก เป็นต้น
2. น้ำมันชักเงายางธรรมชาติปรับปรุง เป็นน้ำมันที่ได้จากยางไม้ธรรมชาติแต่ได้ถูกเปลี่ยนแปลงทางปฏิกิริยาเคมี ยางไม้ชนิดนี้เป็นตัวน้ำมันชักเงาที่ได้จากวิธีอื่นๆ
3. น้ำมันชักเงายางสังเคราะห์ เป็นยางสังเคราะห์ผลิตโดยโรงงานพลาสติก ประกอบด้วยไนโตรเซลลูโลสพีนอลิค ยางอะมิโนยางอัลคิด เป็นต้น
ประโยชน์ของน้ำมันชักเงา
ประโยชน์ของน้ำมันชักเงาแบ่งออกได้ดังนี้
3.1 ประโยชน์ในการป้องกันเนื้อไม้ เช่น ป้องกันความชื้นจากอากาศเข้าไปในเนื้อไม้ เพราะน้ำมันวานิชทำให้ผิวหน้าของเนื้อไม้แข็ง ทำให้ไม้ไม่บิดงอ หรือแตกร้าว นอกจากนี้ยังป้องกันสัตว์บางชนิดที่อาจกินเนื้อไม้ เช่น มอด ปลวก เป็นต้น
3.2 ประโยชน์ทางความสวยงาม น้ำมันวานิชเมื้อใช้ทาแล้วจะทำให้น้ำมันเป็นเงางาม นอกจากนี้ยังทำให้ลายไม้เด่ชัด สีไม้ซีด และไม้ไม่เปลี่ยนสีได้ง่าย
การเตรียมงานทาน้ำมันวานิช
1. สร้างหรือประกอบชิ้นงานที่ต้องการทาน้ำมันวานิชให้ครบตามแบลนที่ต้องการ
2. ขัดชิ้นงานนั้นๆด้วยกระดาษทรายหยาบให้เรียบร้อย และขัดด้วยกระดาษทรายละเอียดอีกครั้งเสียก่อน
3. ใช้ดินสอพองผสมน้ำแล้วชโลมลงบนเนื้อไม้ให้ทั่ว แล้วเช็ดออกด้วยผ้า ก่นลงพื้นโดยใช้ดินสอพองผสมน้ำมันวานิชข้นๆอุดรอยตะปู รอยแตก รูตาไม้ และปาดด้วยเหล็กโป๊วแล้วขัดด้วยกระดาษทราย
วัสดุและเครื่องมือที่ใช้
1. แปรงขนกระต่าย
2. น้ำมันวานิช
3. กระดาษทราย
4. น้ำมันสน
5. กระป๋องผสม
ลำดับขั้นในการทาน้ำมันวานิช
(1) เตรียมผิวไม้เพื่อที่จะทาน้ำมันวานิชโดยขัดหน้าไม้ให้เรียบและทำความสะอาดภายในห้องที่จะทาน้ำมันเพื่อป้องกันฝุ่นละอองฟุ้งลอยมาเกาะผิวไม้ที่ทา ซึ่งจะทำให้ไม้ที่ทาน้ำมันเสียหายได้หลังจากปัดฝุ่นแล้วควรใช้ผ้าชุบน้ำบิดให้หมาดๆ เช็ดให้ทั่วบริเวณที่จะทาน้ำมัน เพื่อให้ผิวหน้าของไม้สะอาดจริง ๆ
(2) แปรงที่จะใช้ทาน้ำมัน จะต้องเลือกแปรงให้เหมาะสมกับงาน เช่น ความกว้างของแปรง คุณภาพของแปรง ไม่ควรนำแปรงเก่า หรือแปรงแชลแลคใช้ทา
(3) เริ่มทาน้ำมันวานิช โดยเอาแปรงจุ่มลงในน้ำมันปาดน้ำมันจากแปรงกับข้างภาชนะออกเพื่อไม่ให้น้ำมันที่จะทาเยิ้มมากเกินไป จึงทาลงบนผิวไม้ ด้วยการจับแปรงทำมุมกับผิวไม้ประมาณ 60 องศา - 75 องศา หรือมากกว่านี้ การทาควรทาตามลายไม้ หรือทาตามเสี้ยนไม้ขณะเนื้อไม้ถูกน้ำมันวานิชจะทำให้เสี้ยนตามร่องไม้ต่างๆ โผล่ขึ้นมา เมื่อเอามือไปลูบเนื้อไม้จะรู้สึกสากมือ ฉะนั้นก่อนที่จะทาน้ำมันครั้งที่สองควรใช้กระดาษทรายขัดเบา ๆ อีกครั้งเพื่อตัดเสี้ยนไม้ที่โผล่ออกมาตามร่องอีกครั้งหนึ่ง แล้วจึงทาน้ำมันวานิชซ้ำอีกครั้ง
การเก็บรักษาแปรง
ต้องล้างแปรงให้สะอาดทันทีหลังการทาแล้วด้วยน้ำมันสนทุกครั้ง
การขัดเงา
การขัดเงา เพื่อตัดเสี้ยนหรือที่เรียกว่าขนแมวให้หมดและเรียบร้อยยิ่งขึ้น ซึ่งทำให้เกิดเงามันขึ้น การขัดเงาด้วยลูกประคบขัดเงาด้วยแอลกอฮอล์เป็นการขัดเงาที่ขึ้นเงาทีสุดวิธีนี้ใช้ผ้านุ่มๆหรือใช้สำลีเป็นไส้ใส่วางข้างในผ้าเพื่อทำเป็นลูกประคบแล้วจุ่มลงในแอลกอฮอล์พอชื้น ๆ ถูลงบนผิวไม้ ถูเป็นลักษณะเป็นวงไปเรื่อย ๆ การขัดมันด้วยวิธีนี้อย่าหยุดหรือวางผ้าเฉย ๆ เพราะจะทำให้ผิวไม้เสีย
ขั้นตอนในการตกแต่งหรือเคลือบผิวในงานประเภทเครื่องเรือนหรืองานไม้ โดยทั่วไปมีขั้นตอนดังต่อไปนี้
1. ขัดแต่งผิวไม้ให้เรียบร้อยก่อนลงมือทาด้วยกระดาษทรายเบอร์ 3
2. อุดรูรอยแตกร้าว อุดปากไม้ ถ้าปากไม้ห่างให้ใช้ดินสอพองบดละเอียดแล้วผสมแชลแลคโดยใช้เหล็กโป๊ว
3. ใช้กระดาษทรายเบอร์ 2 ขัดดินสอพองที่อยู่บนผิวไม้ทิ้งให้หมด (ก่อนขัดต้องทิ้งให้แห้งสนิท)
4. ถ้าเป็นงานประณีตใช้แปรงจุ่มแอลกอฮอล์ที่ผิวไม้แล้วจุดไฟ “เผาเสี้ยนไม้” ทั้งนี้เพราะขณะขัดกระดาษทรายนั้น เสี้ยนไม้ส่วนหนึ่งจะจมอยู่ในผิวไม้เมื่อทาน้ำมัน (แชลแลค) หรือถูกความชื้นเสี้ยนไม้จะพองตัวทำให้เสี้ยนไม้โผล่จากผิวไม้ ฉะนั้นการทาแอลกอฮอล์ก็เพื่อให้เสี้ยนโผล่จากผิวไม้ การใช้ไฟจุดเผาเสี้ยนไม้จะช่วยลดไม่ให้ผิวไม้มีเสี้ยนซึ่งทำให้เป็นอุปสรรคในการทาน้ำมัน
ข้อควรระวังก็คือ ขณะเผาเสี้ยนอย่าให้มีวัตถุไวไฟ เช่น ทินเนอร์ แอลกอฮอล์ และน้ำมันอื่นในลักษณะเดียวกันนี้อยู่ใกล้จะทำให้เกิดอันตราย
5. เมื่อเผาเสี้ยนไม้แล้ว ให้ขัดลูบเบา ๆ ด้วยกระดาษทรายเบอร์ 1 หรือเบอร์ 0
6. ลงพื้นอุดรูเสี้ยนไม้ หรือย้อมสีไม้ ถ้าต้องการให้เป็นสีเนื้อไม้ตามธรรมชาติใช้ดินสอพองหรือฝุ่นจีนผสมกันให้พอดี อย่าให้น้ำมากเกินไป เพราะถ้าน้ำมากจะไม่ทำให้เนื้อฝุ่นจีนหรือดินสอพองไปอุดเสี้ยนไม้แล้ว ยังทำให้ผิวไม้ชุ่มเกินไปทำให้ไม้พองตัว เสี้ยนไม้ที่จมอยู่ในผิวไม้ขยายตัวทำให้ผิวไม้ไม่เรียบร้อย
7. ใช้ผ้าคลุกเคล้ากับฝุ่นที่ผสมน้ำ นำไปถูลงบนผิวไม้ที่จะทาน้ำมันให้ทั่วในลักษณะที่ถูวนไปตามผิวไม้พยายามให้ฝุ่นแทรกเข้าไปอุดในผิวไม้ให้เต็มให้ทั่ว แล้วใช้ผ้าแห้งสะอาดไม่ตกสีเช็ดฝุ่นที่อยู่นบผิวไม้ออกให้หมด ให้คงเหลืออยู่ในรูเสี้ยนไม้เท่านั้น
การเช็ดฝุ่นออกจากไม้ควรทำในขณะที่ไม้ยังไม่แห้งสนิท เพราะถ้าปล่อยให้แห้งแล้วจะเช็ดออกยาก และอาจทำให้ฝุ่นดินสอพองหรือฝุ่นจีนที่อุดรูอยู่ในรูเสี้ยนนั้นร่วงออกได้
ฝุ่นจีนจะเหนียวแน่นและเช็ดและออกได้ยากกว่าดินสอพอง และมีสีขาวกว่าดินสอพอง เมื่อนำไปใช้ลงพื้นและน้ำมันแล้วบางครั้งยังสังเกตเห็นว่ามีฝุ่นจีนปรากฏอยู่บนผิวไม้ ซึ่งทำให้เสียคุณค่าทางความงามไป
8. เมื่อเช็ดฝุ่นที่ลงพื้นออกหมดแล้วทิ้งให้แห้งสนิทแล้วทาแชลแลคทับให้ทั่วประมาณ 2-3 ครั้ง ทาเสร็จแต่ละครั้งควรใช้กระดาษทรายลูบแต่งผิวให้สีเสมอ โดยเฉพาะรอยแปรงที่ทาทับกัน ตรงรอยต่อของแปรงที่จะเห็นเด่นชัดกว่าต้องลูบให้เสมอกับส่วนอื่น ๆ
การทาแชลแลคนี้เป็นการทาเพื่อแต่งไม้ให้เข้มขึ้นหรือทาเพื่อปรับสีเนื้อไม้ที่ต่างกันให้มีสีใกล้เคียงกัน
9. ลงประคบแชลแลคเพื่อขัดเงา หรือจะใช้แลกเกอร์ทาทับก็ได้ (ประคบ คือ ใช้ผ้าห่อสำลีขนาด ประมาณ 2 นิ้ว)
วิธีประคบ ใช้ประคบจุ่มแชลแลค แล้วนำไปลูบที่ผิวไม้ให้ทั่วเบา ๆ ทำให้ผิวไม้อิ่มตัวจากแชลแลคและทำให้เกิดเงา ถ้าไม้แชลแลคประคบก็ให้ใช้แลกเกอร์ทาทับประมาณ 2-3 เที่ยว แล้วขัดเงาด้วยแชลแลค
วิธีที่ 1 เมื่อลงพื้นแล้วให้แชลแลคขาวทาประมาณ 3-4 เที่ยว หรือจะใช้แชลแลคเหลืองทาก่อนแล้วทาทับด้วยแชลแลคขาวก็ได้
วิธีที่ 2 เมื่อทาแชลแลคลองพื้นเป็นการปรับสีผิวไม้แล้วใช้แลกเกอร์ “ด้าน” ทาทับอาจใช้ประคบลูบเพื่อให้ผิวไม้ลื่นก็ได้ แลกเกอร์ด้านทาแล้วไม้เกิดเงา คุณสมบัติทำให้ผิวไม้ทาด้วยแลกเกอร์ด้านเป็นผิวตามธรรมชาติ
2. เทคนิคการทาสี
วัสดุอุปกรณ์งานทาสี
1. แปรงทาสีมีหลายขนาด เรียกเป็นนิ้ว เช่น 1 นิ้ว 2 นิ้ว เป็นต้น โดยคิดจากความกว้างของแปรง
2. ภาชนะผสมสีอาจใช้กระป๋อง หรือภาชนะโลหะ สำหรับผสมสี
3. น้ำมันสน ใช้สำหรับลบความหนืดหรือความข้นของสีลง
4. สีที่ใช้ทา
5. ไม้กวนสี
ลำดับขั้นการผสมสี
1. คนให้สีเข้ากันเพราะเมื่อทิ้งสีไว้นาน ๆ สีจะนอนก้น
2. เทสีจากกระป๋องลงในภาชนะผสมสีที่เตรียมไว้
3. ถ้าสีข้นเกินไปใช้น้ำมันผสมเล็กน้อย เพื่อให้ได้ความหนืดที่ดีพอ
4. กวนสีและน้ำมันสนให้เข้ากัน
5. ใช้แปรงจุ่มสีโดยใช้ปลาย ๆ จุ่มลงไปเล็กน้อย
6. แล้วทาโดยเริ่มต้นจากขอบชิ้นงานด้านใดด้านหนึ่งก่อนแล้วจึงทาส่วนอื่นต่อไป
7. การทาเมื่อทาแนวแรก แล้วทาแนวที่ 2 ให้เกยกันเล็กน้อยเสร็จแล้วทาแนวที่ 3 ให้เกยกับแนวที่ 2 เล็กน้อยจนตลอดชิ้นงาน
ข้อควรระวัง
1. ถ้าสีใสเกินไปเวลาทาแล้วสีจะเกาะผิวงานบาง
2. ถ้าสีข้นเกินไปสีจะเกาะผิวงานหยาบไม่เรียบ