เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในงานไม้
เครื่องมือนับว่าเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นมากสำหรับ “ช่าง”เครื่องมือช่างสำหรับช่างไม้และงานอาคาร
ถือได้ว่าเป็นศิลปะในการก่อสร้างบ้านเรือน ที่อยู่อาศัย ตั้งแต่การเตรียมเครื่องมือก่อสร้าง ในการทำฐานราก
การยกผนัง การทำหลังคา การติดตั้งพื้น การซ่อมแซมผนัง การติดตั้งหน้าต่าง ประตู บัว และอุปกรณ์อื่นๆ
ทั้งนี้ช่างที่ใช้เครื่องมือช่างประเภทนี้จะต้องมีความเชี่ยวชาญในการใช้งานเป็นอย่างดี
และยังสามารถดูแลรักษาเครื่องมือช่างสำหรับช่างไม้และงานอาคารให้อยู่ในสภาพดีพร้อมใช้งานได้
ในโอกาสต่อไปด้วย เครื่องมือช่างดังกล่าว ได้แก่ ปั๊มลม ขวาน เครื่องขัดกระดาษทราย สว่าน ดอกสว่าน
ปืนยิงกาววัสดุอุด เชือกตีแนว ค้อน เลื่อยเจาะรูกลม ระดับน้ำ ตะลุมพุก ลูกดิ่ง เหล็กหมาด ฉากเป็น
คาลิเปอร์ เครื่องมือแกะสลัก สิ่ว ชะแลง แว่นขยาย ขอขีด กบไสไม้ บุ้ง ม้างาน เครื่องค้นหาโครงเคร่า โต๊ะงาน เป็นต้น
เครื่องมือจำเป็นทั่วไป (Hand Tools)
1.ค้อนหงอน ( curved-claw hammer) เป็นเครื่องมือที่ใช้ทุบหรือตอกและถอนตะปูในงานไม้
2. เลื่อย : เลื่อยลันดา (Hand Saw) เป็นเลื่อยที่ใช้ในงานไม้โดยทั่วไป เลื่อยชนิดนี้ทั้งชนิดใช้ตัดและโกรกไม้
โดยที่ฟันของเลื่อยชนิดนี้จะมีความแตกต่างกันตามความเหมาะกับการใช้งานแบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ
2.1 เลื่อยโกรก ( Rip Saw) ลักษณะฟันเลื่อยโกรกจะทำหน้าที่คล้ายสิ่วหลายๆเล่มรวมกันอยู่
คำว่า โกรกไม้ หรือ ผ่าไม้ หมายถึง การเลื่อยไม้ไปตามความยาวของเสี้ยนไม้ ดังนั้นเลื่อยชนิดนี้จะมีฟันห่าง
และองศาการเอียงของฟันจะมากกว่าเลื่อยตัด ขนาดความยาวของใบเลื่อยจะมีตั้งแต่ 20 นิ้ว ถึง 28 นิ้ว
ฟันของเลื่อยโกรกไม้จะมีฟันหยาบและใหญ่ ใน 1 นิ้ว จะมีฟัน 6 ซี่ ใช้เลื่อยไม้ตามความยาวของไม้
โดยทำมุมกับไม้ 60-90 องศาประมาณ4-5 ซี ดันไปข้างหน้าด้วยความแรงสม่ำเสมอ
2.2 เลื่อยตัด ( Crosscut Saw) รูปร่างก็คล้ายเลื่อยโกรก แต่ฟันจะละเอียดกว่าเลื่อยโกรก
คำว่า ตัดไม้ หมายถึง การเลื่อยตามขวางเสี้ยนไม้ ลักษณะของการทำงานของฟันจะเหมือนมีดหลายๆเล่มเฉือนไม้
เลื่อยตัดนี้ฟันจะละเอียดมาก ในหนึ่งนิ้วจะมีฟันเลื่อย 8-12 ซี่ เวลาเลื่อยไม้ต้องเอียงเลื่อยกินไม้ทำมุมไม่เกิน 45 หรือ 90 องศา
3. ตลับเมตร เป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นมากสำหรับช่างทุกสาขา ใช้วัดขนาด กำหนดระยะ ตรวจสอบขนาด
ตลับเมตรโดยทั่วไปสายวัดทำด้วยโลหะปลายสุดจะมีตะขอเกี่ยว เอาไว้เป็นตัวเกี่ยว (สำหรับการวัดแบบภายนอก)
และเป็นตัวชน (สำหรับงานวัดภายใน) ทั้งนี้จะสังเกตได้ว่าตัวเกี่ยวนี้จะขยับไปมาได้ก็เพื่อจะได้ค่าเริ่มต้นจากค่า 0 (ศูนย์)
โดยค่าที่ขยับไปมาที่ตัวเกี่ยวก็จะเท่ากับความหนาของตัวเกี่ยวที่ต้องทดคืนให้นั่นเอง
4. ไม้บรรทัด (ฟุตเหล็ก)
5. ไขควง
6. คีม
7. ดินสอ
8. ฉาก
เครื่องมือประเภทมอเตอร์ไฟฟ้า (Power Tools)
1. สว่านไฟฟ้า ใช้ในการเจาะยึดอุปกรณ์ไฟฟ้า เช่น สวิตซ์ โคมไฟฟ้า แป้นไม้ ซึ่งยึดด้วยน๊อต หรือสกรู
จำเป็นต้องเจาะรู การเจาะสามารถทาได้โดยใช้สว่าน หรือบิดหล่า
2. เลื่อยฉลุ “จิกซอว์”เหมาะสำหรับงานตัดที่มีรูปทรงโค้ง แต่ผิวที่ได้จะไม่เรียบ ต้องขัดแต่งอีกครั้ง
ถึงอย่างไรก็จำเป็นสำหรับงานประเภทที่ขึ้นรูปด้วยมือ ความละเอียดขึ้นอยู่กับใบด้วยเช่นกัน
จิ๊กซอว์เปรียบได้กับแบนซอว์(Band Saw)หรือเครื่องซอยโค้งในงานอุตสาหกรรมนั่นเอง
3. เลื่อยวงเดือน เป็นเครื่องที่ทำงานค่อนข้างเอนกประสงค์ ถ้าต้องการงานที่มีความละเอียดของผิวตัดที่ได้
ก็เลือกจำนวนฟันถี่หน่อย แต่ถ้าเป็นงานตัด-ซอย ก็ใช้ฟันที่ห่าง(จำนวนฟันน้อย)เพราะจะไม่กินแรงและเพิ่มงานได้ด้วย
4. เครื่องขัดกระดาษทราย เป็นเครื่องที่ช่วยผ่อนแรงขัด เพราะตัวเครื่องเองจะมีลักษณะการสั่นไปบนหน้าผิวงาน
มีทั้งทิศทางแนวตรงและแบบหมุนวนเหมาะกับงานเตรียมผิวงานสี
เครื่องขัดกระดาษทรายแบบสายพาน
เครื่องขัดกระดาษทรายแบบสั่น
เครื่องขัดกระดาษทรายกลม
5. เครื่องเซาะร่อง (เราเตอร์) เป็นเครื่องใช้งานได้หลากหลายเช่นกัน ความเร็วรอบสูงกว่า20000รอบ/นาที
จึงมีอันตรายมาก และการกินของคัทเตอร์นั้นรอบตัว 360องศา ก่อนป้อนงานให้สังเกตทิศทางการหมุนของคัทเตอร์
ต้องสวนทางกับการป้อนชิ้นงานเสมอ ไม่เช่นนั้นจะดูดไม้เข้าไปหากจับไม่แน่นก็จะเกิดอันตรายได้
ภาษาที่โรงงานใช้อย่างเป็นทางการคือเครื่องลอกลาย แต่เร้าเตอร์จะเป็นแบบคอม้ามีแท่นเป็นมาตรฐาน
6. เครื่องไสไม้ หรือนิยมเรียกกันติดปากว่ากบไฟฟ้า มีหลายขนาดที่นิยมกันจะเป็น 4นิ้ว
เหมาะกับการปรับผิวให้เรียบหรือเปิดผิวไม้ ปรับกินมากน้อยได้ตามต้องการ
7. สว่านแท่น ใช้สำหรับเจาะรู
8. ปั๊มลม เป็นเครื่องที่ให้กำเนิดแรงลมโดยปั๊มลมเก็บเอาไว้ในถังมีขนาดของตัวมอเตอร์ขับที่แตกต่างกันออกไป
รวมทั้งถังเก็บก็มีขนาดแตกต่างกันไปด้วยเดี๋ยวนี้มีแบบโรตารี่ทำให้การปั๊มลมเติมเข้าไปในถังทำได้เร็วขึ้น
แต่การดูแลรักษาก็จะยากขึ้นตามด้วย
9. ปืนยิงตะปูเป็นเสมือนตัวยิงลวดหรือตะปูลงไปบนชิ้นงานทำให้สะดวกและรวดเร็วมากมีขนาดลวดตั้งแต่10 มม.
ไปจนถึง50 มม.ปืนลมก็มีหลายรุ่นหลายแบบแต่ที่นิยมก็เป็นแบบF30(สามารถใช้กับลูกแม็กซ์เดี่ยวตั้งแต่10-30 มม.)