ประเภทของปูนซีเมนต์
ปูนซีเมนต์เทา ( Grey Cement )
ปูนซีเมนต์ขาว ( White Cement )
ปูนสำเร็จรูป ( Dry Mortar )
ผังมโนทัศน์แสดงประเภทของปูนซีเมนต์
ปูนซีเมนต์เทา ( Grey Cement ) มี 2 ชนิด คือ
ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ประเภท 1 – 5
ปูนซีเมนต์ผสม
ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ประเภท 1 – 5
ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ประเภท 1 หรือปูนปอร์ตแลนด์ธรรมดา เหมาะสำหรับงานโครงสร้างทั่วไปเช่น คาน เสา ถนน เขื่อน สะพานและ ผลิตภัณฑ์คอนกรีต เช่น บล็อกผนัง บล็อกปูถนน กระเบื้องซีเมนต์ เป็นต้น
ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ประเภท 2 หรือปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ดัดแปลง เหมาะกับงานคอนกรีตหรือผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่เกิดความร้อน
และทนซัลเฟตได้ปานกลาง เช่น เขื่อนคอนกรีต(ขนาดเล็กขนาดกลาง) กำแพงกันดิน ท่อคอนกรีตขนาดใหญ่ ตอม่อสะพาน เป็นต้นปูนประเภทนี้ให้กำลังได้ช้ากว่าประเภทที่1 (ไม่มีขายในท้องตลาด)
ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ประเภท3 หรือปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนเกิดกำลังอัดสูงเร็ว เหมาะกับงานก่อสร้าง หรือผลิตภัณฑ์ที่ต้องการกำลังอัดสูงเร็วสามารถถอดแบบได้เร็ว แต่ไม่เหมาะกับงานโครงสร้างคอนกรีตขนาดใหญ่เพราะความร้อนที่เกิดจากปฏิกิริยาไฮเดชั่นจะสูงมากในช่วงต้น ซึ่งอาวทำให้เกิดการแตกร้าวได้
ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ประเภท 4 หรือปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนประเภทเกิดความร้อนต่ำ เป็นปูนซีเมนต์ที่ให้ความร้อนต่ำสุดแต่อัตราการเกิดกำลังคอนกรีตเป็นไปอย่างช้าๆ เหมาะกับงานคอนกรีตหลา ( คอนกรีตที่มีปริมาณมาก ๆ )เช่นการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ (ไม่มีขายในท้องตลาด)
ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ประเภท 5 หรือปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนทนซัลเฟตสูง ปูนประเภทนี้ ให้กำลังอัดช้าและความร้อนต่ำกว่าประเภทที่
1 แต่จะทนการกัดกร่อนของซัลเฟตได้สูงกว่าเหมาะกับงานฐานรากหรืองานที่สัมผัสกับซัลเฟต
เช่น โครงสร้างที่อยู่ไกล้ทะเล แม่น้ำลำคลองน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม
หรือ น้ำไต้ดิน เป็นต้น
ปูนซีเมนต์ผสม (มอร์ต้าร์ซีเมนต์) คือปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนประเภทที่1 ที่ผสมวัสดุเฉื่อยอื่นลงไป เช่น ทราย หรือหินปูน ปูนชินนี้ ให้กำลังอัดได้ช้ากว่าปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ และมีราคาถูกกว่า เหมาะกับงานก่ออิฐ ฉาบปูน เนื่องจากมีความลื่น ยืดหดตัวน้อย
ปูนซีเมนต์ขาว ( White Cement ) มี 2 ชนิด ได้แก่
ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ประเภท 1 สีขาว หรือปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ขาว เหมาะกับงานตกแต่งอาคารที่ต้องการความสวยงามควบคู่กับความแข็งแรง เช่น ห้องน้ำ สระว่ายน้ำ หินขัด หินล้าง เป็นต้น
ปูนซีเมนต์ผสมสีขาว ( White Mixed Cement ) เป็นปูนซีเมนต์ขาวที่มีส่วนผสมของวัสดุอื่นเข่น ทราย หรือ หินปูนบดละเอียด เหมาะสำหรับงานตกแต่ง และยาแนวกระเบื้องเพราะมีคุณสมบัติเหนียว นุ่ม ยึดเกาะได้ดี การหดตัวน้อย
ปูนซีเมนต์สำเร็จรูป ( Dry Mortar )
คือปูนซีเมนต์ที่มีส่วนผสมของวัสดุเฉื่อยอื่น เช่น ทรายในอัตราส่วนที่พอดี สามารถนำไปผสมกับน้ำตามสัดส่วนที่กำหนดแล้วใช้งานได้เลยปูนชนิดนี้มีหลายประเภท ได้แก่ ปูนก่อ ปูนฉาบ ปูนเทปรับพื้น ปูนซ่อมเอนกประสงค์ข้อแตกต่างในการใช้งานระหว่างปูนซีเมนต์ผสม กับปูนสำเร็จรูป คือ ปูนซีเมนต์ผสมจะต้องผสมกับทรายหรือหิน และน้ำก่อนใช้งาน แต่ปูนสำเร็จรูป สามารถนำไปผสมกับน้ำแล้วใช้งานได้เลย
การนำปูนซีเมนต์ไปใช้งาน จะต้องนำไปผสมกับสารอื่น ในอัตราส่วนที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับลักษณะของการใช้งานวัสดุที่นำมาผสมกับปูนซีเมนต์ได้แก่ น้ำ ทราย หิน เป็นต้น
ปูนซีเมนต์ + น้ำ = ซีเมนต์เพรส
ปูนซีเมนต์ + น้ำ + ทราย = มอร์ต้าร์
ปูนซีเมนต์ + น้ำ + ทราย + หิน = คอนกรีต
อัตราส่วนในการผสม จะขึ้นอยู่กับลักษณะของการใช้งาน เช่น ถ้าผสมน้ำมาก จะช่วยให้ได้คอนกรีตที่ลื่นทำงานง่าย แต่กำลัง (Strangth ) จะลดลง โดยทั่วไปสัดส่วนในการผสมคอนกรีต มี 2 ลักษณะ
คือ อัตราส่วนโดยน้ำหนัก และอัตราส่วนโดยปริมาตร
การผสมคอนกรีต สำหรับ คาน เสา จะใช้อัตราส่วน 1/2/4 ( ปูนซีเมนต์ / ทราย / หิน )แล้วจะเพิ่มหรือลดปริมาณน้ำให้ได้ค่าตาม Strangth ที่ต้องการ โดยทั่วไปจะใช้น้ำ 30 ลิตร / ปูนซีเมนต์ 1 ถุง
การผสมคอนกรีต สำหรับ เทพื้น จะใช้อัตราส่วน 1/3/5
ส่วนผสมของปูนฉาบที่ดี ปูนซีเมนต์ 1 ส่วน / ปูนขาว 2 ส่วน / ทราย 6 ส่วน
การหาปริมาตรคอนกรีต
ส่วนผสมคอนกรีต 1/2/4 กำลังประมาณ 240 Ksc //ปูนซีเมนต์ 320 kg+ทราย 0.45 m3 + หิน 0.90 m3 จะได้คอนกรีต 1 ลูกบาศก์เมตร
การบ่มคอนกรีต การบ่มคอนกรีต เป็นการป้องกันไม่ให้คอนกรีตสูญเสียน้ำเร็วเกินไป เพื่อเป็นการป้องกันไม่ใช้เกิดการแตกร้าว
การบ่มคอนกรีต มี 2 ลักษณะ คือ
1.บ่มโดยการเพิ่มน้ำให้กับคอนกรีต เช่น การรดน้ำใช้ชุ่มทุกวัน เช้า เย็น การหุ้มด้วนกระสอบป่าน แล้วรดน้ำให้กระสอบเปียก การคลุมด้วยทรายแล้วรดน้ำให้เปียก เป็นต้น
บ่มโดยการป้องกันไม่ให้คอนกรีตสูญเสียน้ำ เช่น การหุ้มด้วยพลาสติก การพ่นสารเคมีชนิดพิเศษหุ้มผิวคอนกรีต เป็นต้น การบ่มคอนกรีตควรบ่มทันทีหลังจากคอนกรีตแข็งตัว
////ระยะเวลาในการบ่ม อย่างน้อย 7 – 14 วัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเภทการใช้งาน
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
Ksc. ย่อมาจาก Kilogram Per Square Centimeter แปลว่า กิโลกรัมต่อตารางเซนติเมตร โดยทั่วไปแล้วจะมีหน่วยการวัดกำลังอัดอยู่ 2 รูปแบบ ได้แก่
1. กำลังอัดของคอนกรีตรูปทรงกระบอก (Cylinder) มีค่าเป็น กิโลกรัมต่อตารางเซนติเมตร (ksc) (อ้างอิงตามมาตรฐานของฝั่งอเมริกา ASTM)
2. กำลังอัดของคอนกรีตรูปทรงลูกบาศก์ (Cube) มีค่าเป็น กิโลกรัมต่อตารางเซนติเมตร (ksc) (อ้างอิงตามมาตรฐานของฝั่งอังกฤษ BS)
***แต่สำหรับประเทศไทยแล้วจะนิยมใช้กำลังอัดของคอนกรีตรูปทรงกระบอก (Cylinder)***
ภาพจากhttp://www.scgbuildingmaterials.com