ตอนที่ 2 ลักษณะของเพลงและการเลือกเพลง
เรื่องที่ 1 ลักษณะของเพลงสำหรับเด็กปฐมวัย
ธรรมชาติของเด็กปฐมวัยไม่ว่าจะเป็นเพศหญิงหรือเพศชาย จะมีความสนใจในการร้องเพลงหรือการเคลื่อนไหวร่างกายในลักษณะต่างๆ ให้เข้ากับจังหวะเพลง ดังนั้นผู้เลี้ยงดูเด็กจึงควรจัดกิจกรรมโดยใช้เพลงประกอบท่าเป็นสื่อในการเรียนการสอน เพื่อเร่งความสนใจและก่อให้เกิดการเรียนรู้
ความสำคัญของการสอนเพลงสำหรับเด็กปฐมวัย
1. ทำให้การเรียนการสอนในเนื้อหาสนุกสนาน น่าสนใจ และเกิดความเพลิดเพลินในเรื่องที่เรียน
2. ช่วยเสริมสร้างบุคลิกภาพ ทำให้การเคลื่อนไหวดูสง่างาม
3. ผ่อนคลายความตึงเครียดของเด็ก
4. ช่วยให้เกิดพัฒนาการทั้งในด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา
5. ฝึกความเชื่อมั่นในตนเอง กล้าแสดงออก เช่น เมื่อผู้เลี้ยงดูเด็กเรียกให้ร้องเพลง หรือทำกิจกรรมในชั้นเรียนบ่อยๆ จะช่วยให้เด็กกล้าแสดงออก เป็นการปลูกฝังความเชื่อมั่นในตนเอง
6. ส่งเสริมให้เกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เชน ผู้เลี้ยงดูเด็กเปิดโอกาสให้นักเรียนคิดท่าประกอบ
7. ส่งเสริมทักษะในการฟัง เช่น นักเรียนสามารถเคาะจังหวะหรือแสดงท่าทางให้เข้ากับจังหวะของเพลงได้
8. สร้างความสัมพันธ์และความสามัคคีในการทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น ให้นักเรียนทำกิจกรรมประกอบเพลง โดยการจับมือกันเข้าเป็นวงกลม จับมือกันกระโดด ฯลฯ
กิจกรรมสำคัญที่ใช้เพลงเป็นหลักอยู่ 4 ประการ คือ
1. กิจกรรมเน้นจังหวะหรือการเคลื่อนไหวตามจังหวะนั้นๆ
2. กิจกรรมการฟังเพลง
3. กิจกรรมการร้องเพลง
4. กิจกรรมการเคลื่อนไหวประกอบเพลง
(1) กิจกรรมที่เน้นจังหวะหรือการเคลื่อนไหว
เป็นกิจกรรมที่สร้างพื้นฐานที่ดี ช่วยส่งเสริมให้เด็กมีความสามารถในด้านจังหวะ ความคิดสร้างสรรค์ และจินตนาการโดยการเคลื่อนไหวตามผู้เลี้ยงดูเด็ก ย่ำเท้า หรือกระโดดตาม
1. การเคลื่อนไหวเบื้องต้น (Fundamental Movement) เด็กได้เคลื่อนไหวอย่างอิสรเสรี ตามเสียงจังหวะที่ได้ยินในระดับต่างๆ กัน เช่น
- เมื่อได้ยินเสียงจังหวะที่ดังและเน้นหนัก เด็กอาจนึกถึงการเดินแถวแบบทหาร หรือการกระโดดของกบ การควบม้า แล้วแสดงอาการเคลื่อนไหวโดยใช้ส่วนต่างๆ ของร่างกายตามความคิดของเขา
- เมื่อได้ยินเสียงจังหวะที่เบาๆ และช้าๆ เด็กอาจนึกถึงการเคลื่อนไหวของใบไม้ที่ต้องลม นกกำลังบิน ตัวหนอนกำลังคลาน ว่าวกำลังลอย ฯลฯ แล้วแสดงอาการเคลื่อนไหวโดยใช้ส่วนต่างๆ ของร่างกายตามความคิดของเขา
2. การเคลื่อนไหวประกอบเพลง
- การเล่นเกมประกอบเพลง เช่น เล่นเก้าอี้ดนตรี ฯลฯ
- การละเล่นต่างๆ ของไทย เช่น มอญซ่อนผ้า งูกินหาง รีรีข้าวสาร ฯลฯ
- การเคลื่อนไหวประกอบเพลง (การร้องเพลงประกอบท่าทาง) เช่น การเคลื่อนไหวประกอบเพลงกระต่าย ฯลฯ
- การเต้นรำพื้นเมือง เช่น การเต้นรำพื้นเมืองของชาวเดนมาร์ก เพลงช่างทำรองเท้า ฯลฯ
3. เพลงที่มีท่าประกอบและการเล่นประกอบเพลง (Action Songs and Singing game) ช่วยส่งเสริมให้เด็กได้หัดรวบรวมความคิด (Concentration) และสนใจในสิ่งที่กำลังทำอยู่ เด็กรู้จักบังคับการเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น นิ้วมือ แขน ข้อมือ ให้เกิดขึ้นพร้อมๆ กันตามจังหวะ
ตัวอย่างเพลงที่มีท่าประกอบ
เพลงแมงมุมลาย ฉันเห็นมันซมซานเหลือทน
วันหนึ่งมันถูกฝน ไหลหล่นจากบนหลังคา
พระอาทิตย์ส่องแสง ฝนแห้งเหือดไปลับตา
มันรีบไต่ขึ้นฝา หันหลังมาทำตาลุกวาว
(หม่อมดุษฎี บริพัตร ณ อยุธยา)
หรือ เพลงม้าวิ่ง
ม้าวิ่งกับกับ เดี๋ยว เดียวลับตาเราไป
ม้าวิ่งเร็วไว เร็วทันใจวิ่งกับ กับ กับ
ม้าวิ่งเร็วรี่ ดูซิหายไป เร็วทันใจ วิ่ง กับ กับ กับ
(ไม่ปรากฎนามผู้แต่ง)
(2) กิจกรรมการฟังเพลง
เด็กอายุสามขวบสามารถเชื่อมโยงเสียงกับวัตถุที่ใช้ทำเสียงผู้เลี้ยงดูเด็กอาจเล่นเกมทายเสียงกับเด็กเป็นรายบุคคลหรือรายกลุ่ม จัดเวลาให้เด็กได้ฟังเพลงอย่างเพียงพอ เพื่อให้เด็กได้พักผ่อนและมีความสุข
เด็กอายุสี่ถึงห้าขวบจะพัฒนาความสามารถ ทักษะ และความชอบในการฟัง เด็กชอบฟังเพลงเพื่อพักผ่อน จินตนาการและความบันเทิง ให้เด็กฟังเพลงที่ชอบซ้ำๆ เราจะปลูกฝังค่านิยมในการฟังไม่ได้ ถ้าให้เด็กฟังเพลงครั้งเดียวหรือสองครั้งเท่านั้น
ธวัชชัย นาควงษ์ (2534) กล่าวถึงกิจกรรมการฟังเพลงเอาไว้ดังนี้ การฟังเพลงเป็นส่วนประกอบที่สำคัญส่วนหนึ่งในการเรียนการสอนดนตรีระดับประถมต้น ลอยส์ โชคสกี้ (Lois Choksy.1981) นักการศึกษาดนตรีชาวอเมริกัน ได้กล่าวถึงโปรแกรมการสอนดนตรีในระดับอนุบาล หรือ ป.1 ว่าควรจะมีส่วนประกอบดังนี้อยู่ด้วย
1. การร้องเพลงโดยไม่ต้องมีเครื่องดนตรีประกอบ ทั้งนี้เพราะเสียงร้องเป็นเครื่องดนตรีที่ติดมากับตัวเด็กแต่กำเนิด และเด็กสามารถร้องเพลงได้โดยธรรมชาติเช่นเดียวกับการพูดที่ไมใช่เครื่องดนตรีประกอบเพราะเสียงของเครื่องดนตรีมักจะกลบเสียงของเด็กเสีย เด็กจำเป็นจะต้องได้ยินเสียงร้องของตัวเขาเองและเสียงร้องขอเพื่อนๆ ที่อยู่รอบตัวเขา
2. การเคลื่อนไหวร่างกายไปกับเสียงเพลง เริ่มต้นจากการเคลื่อนไหวที่เป็นเพียงการแสดงความรู้สึกหรือความเข้าใจ (เช่น เมื่อร้องเพลงเกี่ยวกับสัตว์ก็ทำท่าสัตว์นั้นๆ เมื่อร้องเพลงเกี่ยวกับลมพัดหรือแสงแดดสองก็โบกมือไปมา หรือเมื่อเอ่ยคำว่า "รัก" ก็โอบมือทั้งสองไขว้แนบกับอก เป็นต้น) การเคลื่อนไหวที่ชับซ้อนขึ้นกว่านั้นก็เช่น การเคลื่อนไหวประกอบการเล่นเกม ซึ่งมีการร้องเพลงคลอไปด้วย และต้องมีการเดิน วิ่ง หรือทำท่าบางอย่างประกอบ (เช่น การเล่นโพงพาง รีรีข้าวสาร เป็นต้น) และในที่สุดก็จะเป็นการเคลื่อนไหวที่ต้องเคลื่อนที่ให้ตรงกับจังหวะ ซึ่งต้องอาศัยทักษะ การตอบสนองต่อจังหวะ ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวที่ยากที่สุด ในกระบวนการการสอนดนตรี
3. การฝึกพัฒนาการของทักษะเกี่ยวกับจังหวะ ซึ่งเกี่ยวโยงกับข้อ 2 จังหวะจากการเล่นเกม ก้าวเดินตามจังหวะ กระทืบเท้าตามจังหวะ เน้นตบมือเป็นจังหวะหลักประกอบเพลง (โดยมีจังหวะคงที่ตลอด ) หรือตบมือตามจังหวะของคำร้อง (ซึ่งมีจังหวะไม่คงที่ คือ ถ้าคำร้องเปลี่ยนพยางค์ก็ต้องตบมือหนึ่งครั้งตามพยางศ์นั้นๆ) การตบมือตามที่ได้ยินจากผู้เลี้ยงดูเด็กหรือเพื่อนนักเรียน (Echo-Clapping) การแต่งจังหวะด้วยการตบมือด้วยตัวเองเพื่อให้คนอื่นเลียนแบบบ้าง เป็นต้น
4. การรู้จักแยกความแตกต่างระหว่างจังหวะเร็วกับจังหวะช้า เสียงเบากับเสียงดัง เสียงสูง กับเสียงต่ำ การรู้จักน้ำเสียงและสีสันของเสียง (different timbres or tone colors) คือ รู้ว่าเสียงไหนเป็นเสียงของอะไรและให้ความรู้สึกอย่างไร เช่น เสียงพูดหรือเสียงร้องแบบนี้เป็นเสียงของเพื่อนฉันชื่อนี้ และเสียงของเขานุ่มหูหรือเสียง "ตุ้ม" แบบนี้คือเสียงกลอง เป็นต้น กล่าวโดยอีกนัยหนึ่ง เป็นการสรุปของข้อนี้คือ การทำตนให้คุ้นเคยกับคุณภาพของเสียงต่างๆ ที่ก่อให้เกิดอารมณ์เคลื่อนไหวทางดนตรี
5. การฝึกโสตประสาทและฝึกจำเพลง อันเป็นการฝึกที่จะทำให้สามารถคิดทำนองเพลงและสามารถที่จะถ่ายทอดสิ่งที่ตนเคยได้ยินได้ฟังออกมาได้
6. การฝึกทักษะการฟังเพลง อันเป็นการพัฒนาการฟังอย่างจิตใจจดจ่อ (focused listening) ต่อเสียงเพลงนั้นๆ
เพลงที่เหมาะสมที่จะให้เด็กได้ฝึกหัดฟังอย่างใจจดจ่อเพื่อให้เรียนรู้และจำเพลงได้นั้น นอกจากจะมีเพลงคลาสสิคซึ่งถูกแต่งโดยคีตกวีเอกของโลกแล้ว ก็ยังมีเพลงพื้นเมืองของชาติต่างๆ และที่สำคัญสำหรับเด็กไทยก็คือเขาควรจะได้ฟังและรู้จักเพลงไทยดีๆ เพื่อความภาคภูมิใจในศิลปะประจำชาติและเพื่อความทรงจำเพลอันจะเป็นการรักษามรดกของชาติไว้ เช่น เพลง "อัศวลีลา" (หรือ "ม้าย่อง")
หลักการที่จะสอนให้เด็กฟังเพลงนั้น ผู้เลี้ยงดูเด็กจะต้องหาอะไรบางอย่างจากเพลงที่จะสอนนั้นออกมาแนะนำให้เด็กได้รู้จัก หรือจะเรียกว่าให้ "ชิม" เสียหน่อยก่อน แล้วจากนั้นจึงให้ฟังเพลงทั้งหมด การสอนการฟังเพลงคลาสสิคบางเพลงที่เป็นเพลงที่มีเรื่องราวประกอบ (program music) ผู้เลี้ยงดูเด็กอาจเล่าเรื่องประกอบ และขณะเปิดเพลงให้ฟังก็อาจบรรยายว่า เสียงเพลงที่กำลังดังอยู่ในขณะนี้นั้นสัมพันธ์กับเรื่องราวอย่างไร แต่วิธีที่เหมาะสมสำหรับเด็กเล็กคือให้เด็กได้เคลื่อนไหวร่างกายหรือเล่นเกมประกอบเพลง เพลงที่เด็กเคลื่อนไหวร่างกายหรือเล่นเกมประกอบนี้ยังไม่ใช่เพลงที่ตั้งใจให้ฟังจริงๆ แต่เป็นเพลงที่ถูกแต่งขึ้นจากส่วนประกอบอะไรบางอย่างที่เป็นลักษณะสำคัญ หรือมีความสัมพันธ์อย่างยิ่งกับเพลงจริงที่เป็นเป้าหมายให้เด็กฟังนั้น
(3) กิจกรรมการร้องเพลง
การร้องเพลงเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างมากในการจัดประสบการณ์ดนตรีสำหรับเด็กปฐมวัย เด็กจำนวนน้อยไม่ชอบร้องเพลง และปรบมือไม่ถูกจังหวะ แต่เขาจะเรียนรู้และนำมาร้องในขณะเล่นหรือทำงาน
เพลงที่เลือกมาร้องกับเด็กอายุ 2-3 ขวบ ควรเป็นเพลงง่ายๆ สั้นๆ และฟังซ้ำบ่อยๆ เวลารวมกลุ่มกันร้องเพลงควรให้อิสระแก่เด็กตามกลุ่มสนใจ
เด็กอายุ 4-5 ขวบ ชอบร้องเพลงในกลุ่มย่อยหรือกลุ่มใหญ่ เวลาการร้องเพลงยังคงเป็นช่วงสั้นๆ และไม่เป็นทางการ พร้อมกับมีการทำท่าประกอบ
การแนะนำเพลง
ผู้เลี้ยงดูเด็กควรทยอยแนะนำเพลงใหม่อย่างช้าๆ และร้องเพลงในหลายๆ ช่วงตลอดวัน อาจใช้หุ่นประกอบ เพื่อกระตุ้นให้เด็กทำท่าทางหรือเคลื่อนไหวประกอบ พร้อมทั้งร้องคลอหรือผู้เลี้ยงดูเด็กอาจหยุด เพื่อให้เด็กช่วยกันร้อง ถ้าหากผู้เลี้ยงดูเด็กไม่แน่ใจในการร้องเพลงอาจจะเริ่มต้นโดย
1. ใช้เทปบันทึกเสียง
2. ฝึกหัดก่อนร้องให้เด็กฟัง
3. สอนให้เด็กที่มีความสามารถหนึ่งคนหรือกลุ่มเล็กร้องก่อนแล้วให้เด็กเหล่านี้เป็นผู้ช่วย
4. หาเครื่องช่วย เช่น เครื่องเคาะจังหวะ
การร้องเพลงเป็นสิ่งที่เกิดโดยธรรมชาติอย่างมีความสุข ดังนั้น การร้องเพลงจึงเป็นกิจกรรมที่ควรมีทุกวัน การเลือกเพลงควรให้เหมาะสมกับระดับเสียงของเด็ก การร้องเพลงอาจทำได้ในช่วงเวลาการเล่น การศึกษานอกสถานที่ หรือระหว่างการแสดงละครมีอุปกรณ์ดนตรีหรือแผ่นเสียงประกอบ
ทักษะทางดนตรีของเต็กปฐมวัย ควรมีดังต่อไปนี้
1. เด็กสามารถตบมือให้เข้าจังหวะตามผู้เลี้ยงดูเด็กได้
2. เด็กสามารถบอกเสียงดัง-เสียงค่อยได้
3. เต็กบอกโน้ตเสียงสูง-เสียงต่ำได้
4. เด็กวิ่งปลายเท้าเมื่อดนตรีเร็ว และเดินช้าๆ เมื่อดนตรีช้าได้
5. เมื่อเด็กฟังนิทานที่มีตัวละครหลายตัวและมีเสียงต่างๆ กัน เด็กบอกตัวละครจากเสียงได้
6. เด็กปฏิบัติตามคำสั่งได้ เช่น เดินเมื่อได้ยินเสียงดนตรี หยุดเมื่อดนตรีหยุด
7. เด็กสามารถบอกเสียงที่ได้ยินจากสิ่งแวดล้อมได้ เช่น เสียงน้ำไหล เสียงประตูปิด
8. เด็กสามารถบอกชนิดของดนตรีที่ผู้เลี้ยงดูเด็กเล่นได้ในขณะที่ถูกปิดตาอยู่
สำหรับเด็กที่มีปัญหาในการร้องเพลง ผู้เลี้ยงดูเด็กอาจช่วยได้ดังนี้
1. กระตุ้นให้เด็กร้องเพลงที่ชอบ
2. ให้เด็กได้ฟังเสียงร้องของตัวเอง
3. ให้เด็กร้องคลอตามเทปบันทึกเสียง
4. เลือกเพลงที่มีเสียงระดับปานกลางหรือค่อนข้างต่ำ
5. ให้เด็กร้องเพลงในระดับเสียงของตนเอง
ดนตรีเป็นการแสดงออกถึงความรู้สึก อารมณ์ จินตนาการและความคิดจากภายในตัวบุคคลออกมาภายนอก เป็นศิลปะการแสดงออกที่ละเมียดละไม มีสุนทรียภาพ เด็กๆ ควรได้รับการสนับสนุนและส่งเสริมให้มีประสบการณ์เบื้องต้น ทั้งทางด้านศิลปะและดนตรีที่มีคุณค่า เพื่อเป็นพื้นฐานอันสำคัญของชีวิตต่อไป
เรื่องที่ 2 การเลือกเพลงที่เหมาะสมในแต่ละกิจกรรม
การเลือกเพลงสำหรับเด็กปฐมวัย ควรน้นในเรื่องของการเลือกเสนอและจัดประสบการณ์ไปควบคู่กัน
2.1 การเลือกเพลง
เด็กๆ จะชอบเพลงที่เกี่ยวกับเรื่องราวของตัวเอง สัตว์ สัตว์เลี้ยง ธรรมชาติ อวกาศ เครื่องยนต์ ของเล่น วันหยุด และฤดูกาล เพลงที่สนุกสนานเมื่อเราเลือกเพลงต้องให้เหมาะกับอายุของเด็ก แรมซี่และเบย์เลส (Ramsey & Bayless. 1980:150) เสนอหลักในการเลือกเพลงสำหรับเด็กเอาไว้ดังนี้
1. มีท่วงทำนองที่ร้องง่าย
2. มีระดับเสียงที่ไม่สูง ไม่ต่ำจนเกินไป
3. มีถ้อยคำและจังหวะที่ซ้ำๆ กัน
4. มีจังหวะที่แตกต่างกัน
5. มีเนื้อหาที่เด็กเข้าใจได้
6. เขียนขึ้นในรูปแบบที่เด็กจะเข้าใจแนวคิดทางดนตรีได้
7. มีช่วงของบทเพลงที่ซ้ำๆ กัน แม้ว่าถ้อยคำอาจจะแตกต่างกัน
8. มีทำนองที่น่าพอใจและมีช่วงที่หยุด
9. ไม่มีการจัดจังหวะดนตรีที่ยุ่งยาก
ที่มาหรือแหล่งของเพลง (Sources of Songs) เด็กคือแหล่งที่มาของเพลง เด็กจะมาโรงเรียนพร้อมกับเพลงที่เขาชอบ เช่น เพลงที่ร้องที่บ้าน เพลงที่เคยได้ยินจากวิทยุ โทรทัศน์ เทปเพลง เพลงที่เรียนจากพี่น้องหรือเพื่อน เพลงจากรายการโทรทัศน์ หรือมิวสิควิดีโอที่เด็กจะสนุกเมื่อได้ยินและเรียน
เด็กวัย 5 ขวบ มักมีโอกาสร้องเพลงที่เขาชอบหรือท่องคำคล้องจองที่เขาชอบ เด็กเล็กๆ จะท่องคำคล้องจองได้โดยไม่รู้ความหมาย และชอบที่จะเคลื่อนไหวประกอบจังหวะ และก็มีนักแต่งเพลงหลายคนที่แต่งทำนองให้เข้ากับบทกลอนหรือคำคล้องจองเหล่านี้
แหล่งที่มาของเพลงอีกแหล่งหนึ่งคือ เพลงพื้นบ้าน ซึ่งเพลงเหล่านี้จะมีความสมบูรณ์สวยงาม และง่ายต่อการจดจำ ซึ่งเพลงพื้นบ้านหรือเพลงพื้นเมืองนี้เป็นสิ่งที่ควรนำมาใช้ให้เด็กร้อง เพราะเป็นการอนุรักษ์วัฒธรรมของประเทศและของพื้นบ้านอีกด้วย ซึ่งบางทีในปัจจุบันนี้เราดูจะละเลยเพลงพื้นบ้าน เพลงไทยเดิม เพลงกล่อมลูกต่างๆ เหล่านี้ไปเสียแล้ว และหันไปรับเอาเพลงที่มีท่วงทำนองเป็นตะวันตกเข้ามามากขึ้น
มัทนี ตุลยาธร (2522 : 60-62) ได้เสนอหลักในการเลือกและแต่งเพลงสำหรับเด็กปฐมวัย เอาไว้ดังนี้
1. ควรเป็นเพลงที่มีเนื้อร้องสั้นๆ ประมาณ 2 วรรค ถึง 4 วรรค ใช้คำที่เข้าใจง่าย ในกรณีที่กลอนพาไปไม่อาจใช้คำที่เด็กคุ้นเคยได้ต้องอธิบายความหมายของคำนั้นให้เด็กเข้าใจ เช่น เนื้อร้องที่ว่า "... .....ผู้งปลาแหวกว่ายไปมาอยู่ในนที" ควรทำความเข้าใจกับเด็กว่า "นที" หมายถึง "แม่น้ำ" เป็นต้น
2. เนื้อร้องของทุกเพลงควรแทรกเนื้อหาที่มีความหมายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม และเสริมประสบการณ์ด้านต่างๆ ให้แก่เด็ก
3. ทำนองเพลงควรเป็นเสียงง่ายๆ
4. จังหวะของเพลงไม่ควรช้าหรือเร็วเกินไป
5. ในกรณีที่ผู้เลี้ยงดูเด็กต้องการแต่งเพลงด้วยตนเองแต่คิดว่าการแต่งทำนองเพลงเป็นเรื่องยาก ไม่ควรท้อใจในขั้นตอนนี้ขอเสนอแนะให้อาศัยทำนองเพลงที่คุ้นเคย
6. ผู้เลี้ยงดูเด็กควรมีสมุดจดเพลง และทำบันทึกไว้ทุกครั้งว่าเพลงใดบ้างที่เด็กสนใจมากน้อยเพียงใด
นอกจากนี้ยังได้เสนอหลักเกณฑ์ในการพิจารณาเลือกเพลงประกอบการเรียนการสอนเอาไว้ดังนี้
1. ควรเป็นเพลงที่มีเนื้อร้องสั้นๆ ประมาณ 2 วรรคถึง 4 วรรค
2. เนื้อเพลงควรมีความหมายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็ก เกี่ยวกับชีวิตประจำวันซึ่งเขาเข้าใจและคุ้นเคยอยู่แล้ว เช่น
เพลงไปโรงเรียน
หนูเล็ก เด็ก เด็กทั้งหลาย อย่านอนตื่นสายเป็นเด็กเกียจคร้าน
ตื่นเข้าหนูจะชื่นบานสดชื่นสำราญ สมองผ่องใส อาบน้ำ ล้างหน้า สีฟัน
รีบเร่งเร็วพลัง แต่งตัวทันใจ รับประทานอาหารเร็วไวเสร็จแล้วจะได้รีบไปโรงเรียน
3. เนื้อเพลงควรมีเนื้อหาสาระและให้ความรู้ เช่น
เพลง ปี เดือน วัน
หนึ่งปีนั้นมี 12 เดือน อย่าลืมเลือนจงจำให้มั่น
หนึ่งสัปดาห์นั้นมี 7 วัน อาทิตย์ จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัส ศุกร์ เสาร์
4. เนื้อเพลงควรเลือกใช้คำที่ง่ายๆ ในกรณีที่มีความหมายยากเกินกว่าเด็กจะเข้าใจ ผู้เลี้ยงดูเด็กควรอธิบายหรือแปลความหมายของเนื้อเพลงให้เด็กฟังก่อนที่จะร้อง เช่น
เจ้านกน้อยคล้อยบินสู่เวหา
เจ้าถลาเล่นลมเริงฤดี
บินบินถลา ถลาเล่นลม
บินล่อง บินลอย บินถลา
ถลาเล่นลม บินล่อง บินลอย
(ไม่ปรากฎนามผู้แต่ง)
ผู้เลี้ยงดูเด็กควรอธิบายความหมายของคำศัพท์ที่ยาก เช่น
เวหา หมายถึง ท้องฟ้า
ถลา หมายถึง เซไป
ฤดี หมายถึง ใจ
5. ทำนองเพลงที่เลือกมาสอนควรเป็นทำนองที่ง่าย สนุกสนาน เร้าใจหรือเป็นทำนองเพลงโฆษณา ซึ่งเด็กคุ้นเคยและได้ยินบ่อยๆ จากวิทยุหรือโทรทัศน์
6. จังหวะของเพลงไม่ควรช้าหรือเร็วมากจนเกินความสามารถของเด็กที่จะร้อง หรือเต้นตามจังหวะได้จังหวะของเพลงถ้าช้ามากเกินไปจะไม่เร้าใจเด็กอาจทำให้เบื่อไม่อยากร้องหรือร่วมกิจกรรมด้วย แต่ถ้าเร็วเกินไปจนเด็กไม่สามารถร้องหรือเต้นทันได้ก็อาจทำให้เกิดความท้อถอยและไม่อยากร่วมกิจกรรม
7. เพลงควรมีเนื้อร้องที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติรอบๆ ตัวเด็ก เช่น ดอกไม้ แมลง ผลไม้ สัตว์เลี้ยงต่างๆ ฯลฯ เพราะเด็กสนใจสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวของเขาอยู่แล้ว เช่น
เพลง ไก่
ไก่ที่บ้านฉัน มันขันได้ไพเราะดี
โก่งคอและขัน เสียงดังลั่นธรณี
ยามมันเยื้องย่างมา สองสายตามองหาคู่ใจ
โดดเดี่ยวเดียวดาย แต่สุขใจจริงนะไก่เอย
2.2 การเสนอเพลงใหม่
แรมซี่และเบย์เลส (Ramsey & Bayless. 1970:151) ได้กล่าวถึงการนำเสนอเพลงใหม่สำหรับเด็กเอาไว้ดังนี้
1. เพลงใหม่ๆ ที่จะใช้สอนเด็ก ควรมีการเตรียมการล่วงหน้า และควรใช้สอนเมื่อสถานการณ์อำนวยหรือในช่วงกิจกรรมวงกลม
2. การแนะนำเพลงใหม่ให้กับเด็ก อาจจะเสนอให้กับเด็กกลุ่มเล็กๆ หรือกลุ่มใหญ่ๆ ก็ได้
3. การแนะนำเพลงให้กับเด็กยังไม่ควรให้มีเครื่องประกอบจังหวะหรือเครื่องดนตรีประกอบ ควรให้เป็นเสียงผู้เลี้ยงดูเด็กร้องเองจะดีกว่า
4. เมื่อเด็กจำเนื้อร้องได้แล้วก็ควรเล่นเครื่องดนตรีประกอบ
5. บางเพลงต้องการคำอธิบายประกอบ บางเพลงก็ไม่จำเป็น
6. บางครั้งการแนะนำเพลงใหม่ อาจจะมีรูปภาพ ภาพหมุน หรือบทร้อยกรองประกอบ
มัทนี ตุลยาธร (2522 : 63) กล่าวถึงการสอนเพลงใหมให้กับเด็กเอาไว้ดังนี้
1. จัดให้เด็กนั่งในท่าสบายๆ อาจนั่งกับพื้นหรือบนเก้าอี้ในลักษณะครึ่งวงกลม ซึ่งผู้เลี้ยงดูเด็กสามารถมองเห็นเด็กทุกคนได้ชัดเจน
2. เริ่มต้นด้วยเพลงที่เด็กทุกคนขอบร้องโดยให้เด็กเป็นผู้เลือกเพลง อาจมีเด็กบางคนไม่สนใจที่จะร่วมร้องด้วย ถ้าผู้เลี้ยงดูเด็กชักชวนเขาแล้วเขายังเฉยอยู่ควรปล่อยให้เขานั่งฟังเงียบๆ อยู่ในกลุ่ม ไม่ควรบังคับให้เขาร่วมร้องกับเพื่อนๆ เพราะอาจทำให้เด็กผู้นั้นเกิดความรู้สึกไม่ชอบการร้องเพลงได้ภายหน้า
เด็กบางคนมีปัญหาเรื่องการปรับตัวในระยะต้นปีการศึกษา จะไม่ร่วมร้องเพลงหรือกิจกรรมอื่นใดในระยะต้นๆ ได้แต่นั่งเฉยๆ ฟังผู้เลี้ยงดูเด็กและเพื่อน ทำให้ผู้เลี้ยงดูเด็กเข้าใจไปว่าเด็กไม่ได้เกิดการเรียนรู้เลยตลอดเวลาที่ผ่านมาจนกระทั่งได้รับฟังการบอกเล่าจากผู้ปกครองว่า เมื่อเด็กผู้นั้นกลับไปบ้านสามารถร้องเพลงให้คุณพ่อคุณแม่ฟังได้แจ้วๆ ทุกวัน ผู้เลี้ยงดูเด็กจึงควรให้เวลาเด็กลักษณะนี้เพื่อให้เขาได้ปรับตัวบ้าง ไม่ควรใช้วิธีบังคับฝืนใจ
3. ผู้เลี้ยงดูเด็กต้องจำเนื้อเพลงและทำนองของเพลงใหม่ที่ต้องการสอนได้แม่นยำ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องพะวงหรือทำท่านึกเนื้อเพลงในขณะที่สอน ซึ่งเป็นการลดความสนใจของเด็ก ผู้เลี้ยงดูเด็กควรพูดเนื้อเพลงให้เด็กฟัง 1 เที่ยว สนทนากับเด็กเกี่ยวกับข้อความในเนื้อเพลงนั้น เด็กจะได้เข้าใจความหมายเนื้อเพลงที่จะร้อง ให้เด็กพูดเนื้อเพลงตามผู้เลี้ยงดูเด็ก บางเพลงมีเสียงเลียนเสียงธรรมชาติ เสียงร้องของสัตว์ เสียงเคลื่อนไหวของสิ่งของ ฯลฯ ผู้เลี้ยงดูเด็กควรให้เด็กทำเสียงเหล่านั้น โดยผู้เลี้ยงดูเด็กไม่ต้องทำเสียงให้เด็กเลียนแบบ เช่น เสียงฝนตก เสียงแมวร้อง เสียงไก่ขัน เสียงรถยนต์เล่น ฯลฯ
5. เด็กบางคนอาจจะร้องเพลงใหม่ไม่ได้ภายในวันนั้น จำเป็นต้องใช้เวลา 2-3 วัน หรือเป็นสัปดาห์ผู้เลี้ยงดูเต็กไม่ควรให้เด็กร้องเพลงใหม่ทบทวนไปมาหลายๆ เที่ยว เด็กจะเกิดความรู้สึกเบื่อและไม่สนุกกับการร้องเพลง เด็กน่าจะเกิดความรู้สึกร่าเริง สนุกสนานเพลิดเพลินในการร้องเพลง มิใช่กังวลว่าต้องท่องจำการร้องเพลง
6. โดยธรรมชาติเสียงของเด็กเป็นเสียงระดับสูง เป็นเรื่องค่อนข้างยากสำหรับเด็กที่จะเลียนแบบเสียงต่ำ ผู้เลี้ยงดูเด็กจึงควรพยายามร้องเพลงในระดับเสียงค่อนข้างสูง ผู้เลี้ยงดูเด็กควรออกเสียงให้ชัดเจน เช่น ร หรือ ล เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเด็กใน การใช้น้ำเสียง ระดับเสียงให้ฟังดูนุ่มนวล ไพเราะ ไม่ใช่กระแทกเสียงหรือตะโกนตะเบ็งเสียงร้องเพลง
7. ระหว่างการร้องเพลงควรฝึกให้เด็กทำจังหวะ อาจใช้วิธีตบมือ แตะสัมผัสส่วนต่างๆ ของร่างกาย เคาะนิ้วหรือเคาะเครื่องดนตรี
8. ให้โอกาสเด็กได้เคลื่อนไหวแสดงท่าทางประกอบเนื้อเพลงนั้นโดยอิสรเสรี เช่น ลมพัด ใบไม้ไหว ดอกไม้บาน ฝนตก น้ำไหล ปลาว่าย กบกระโดด นกบิน เต่าคลาน รถยนต์แล่น ฯลฯ
9. การสอนเพลงทุกครั้งควรสัมพันธ์กับกิจกรรมอื่นๆ ด้วย เช่น
ก. สอนเพลงปลา
- เคลื่อนไหวแสดงท่าประกอบเพลงปลา
- ประกอบการสนทนาเกี่ยวกับธรรมชาติของปลา
- เกมแข่งขันบอกชื่อปลาชนิดต่างๆ
- แต่งประโยคปากเปล่าโดยกำหนดให้ใช้คำ "ปลา"
- วาดภาพปลาตามประสบการณ์และจินตนาการของเด็ก
- พับกระดาษหรือทำหุ่นมือรูปปลา
- เล่นละครหุ่นมือเรื่อง "ปลาน้อยน่ารัก" หรือละครหุ่น ซึ่งเด็กช่วยกันแต่ง ฯลฯ
ข. สอนเพลงฝน
ฝนตก ซุย ซุย เจ้าทุยไปไถนากลางทุ่ง
ตุ๋ง ดึง ตุ๋ง นั้นลุงละเขาจูงไปเอง
ยามนี้แหละทุยเอย ที่เคยเห็นเขาชมว่าเก่ง
เอง เอ็ง เอ็ง เอ็ง เอ็ง เจ้าเองจะรู้ตัวหรือเปล่า
หลักในการบรรจุท่าประกอบเพลงสำหรับเด็กควรมีดังนี้
1. ท่าที่จะนำมาใช้สอนควรเหมาะสมกับวัยเด็ก
- พยายามให้มีการเคลื่อนไหวส่วนต่างๆของร่างกายเพื่อก่อให้เกิดพัฒนาการทางร่างกาย อีกทั้งธรรมชาติของเด็กไม่ชอบอยู่นิ่งชอบการเคลื่อนไหว ผู้เลี้ยงดูเด็กจึงควรเร้าความสนใจตามธรรมชาติของเด็ก โดยการจัดกิจกรรมที่เด็กได้กระโดดโลดเต้นหรืออาจจับมือเป็นวงกลม เป็นคู่เป็นแถวตอนยาว หรือวิ่งวนไปรอบๆ
- มีการใช้ตัวเอียงซ้ายเอียงขวา ก้มตัว ย่อตัว โยกตัวไปมา ท่าที่ต้องใช้มือในการร่ายรำควรเป็นไปตามธรรมชาติและพัฒนาการของเด็ก เช่น กอดอก ชี้มือ เท้าสะเอว หมุนข้อมือไปมา
- การใช้เท้า ก้าวเท้า ย่ำเท้า ซอยเท้า กระโดดไปข้างหน้า ข้างหลัง หมุนตัว ฯลฯ
2. หัดให้ทำท่าเลียนแบบธรรมชาติ เช่น ลมพัด ใบไม้ปสิว หรือกิริยาอาการของสัตว์ เช่น ท่านกบิน ปลาว่ายน้ำ ม้า กวาง กบ ฯลฯ
3. พยายามหลีกเลี่ยงไม่ใช่ท่านาฎศิลป์ซึ่งเป็นแบบแผน ถ้าจำเป็นต้องใช้ควรปูพื้นฐานทางนาฎศิลป์เบื้องต้นให้เด็กเสียก่อน โดยสอนจากง่ายไปหายาก เช่น สอนวิธี จีบมือ ตั้งวง ล่อแก้ว ก้าวเท้า ซอยเท้า ฯลฯ
4. ท่ารำหรือท่าทางประกอบเพลง ไม่ควรมีการแปรแถวหรือสวนแถวบ่อยๆ
5. ในกรณีที่เนื้อเพลงจำเป็นต้องใช้ท่ารำที่ป็นแบบแผน ไม่ควรใส่ท่ารำที่ยากหรือมากเกินไป อีกทั้งไม่จำเป็นต้องเข้มงวดให้สวยงามหรือถูแบบแผนมากนัก เพราะอาจทำให้เด็กเบื่อได้
6. ควรเปิดโอกาสให้เด็กมีอิสระในการคิดท่าประกอบเพลงร่วมกับผู้เลี้ยงดูเด็กด้วย
เรื่องที่ 3 ตัวอย่างเพลงในการจัดกิจกรรมแต่ละวัน
1. เพลงเด็กเอ๋ยเด็กดี ใช้สำหรับกิจกรรมกลางแจ้ง
เด็กเอ๋ยเด็กดี ต้องมีหน้าที่สิบอย่างด้วยกัน (ซ้ำ)
หนึ่ง นับถือศาสนา สอง รักษาคำให้มั่น
สาม ช่วยพ่อแม่ ครู อาจารย์ สี่ วาจานั้นต้องสุภาพอ่อนหวาน
ห้ารักมั่นกตัญญู หก เป็นผู้รู้รักการอ่าน
เจ็ด ต้องศึกษาให้เชี่ยวชาญ ต้องมานะบากบั่นไม่เกียจไม่คร้าน
แปด รู้จักออมประหยัด เก้า ต้องซื่อสัตย์ตลอดกาล
น้ำใจนักกีฬากล้าหาญ ให้เหมาะกับการสมัยชาติพัฒนา
สิบ ทำตนให้เป็นประโยชน์ รู้จักบุญคุณโทษสมบัติชาติต้องรักษา
เด็กสมัยชาติพัฒนา ต้องเป็นเด็กที่พาชาติไทยเจริญ
2. เพลง หนูเอย ใช้สำหรับกิจกรรมกลางแจ้ง
หนูเอยหนูจงฟัง พี่จะสอนพี่จะสั่งหนูจงฟังเอาไว้ให้ดี
หนูเอยสมัยนี้ เป็นสมัยที่เอาดีกันด้วยปัญญา
หนูอย่าซุกซน จงอดและจงทน หนูจะบ่มท่องวิชา
ในภายภาคหน้าจะได้พึ่งวิชา ปัญญาจะเฟื่องฟู
หนูเอยหนูจงเพียร หนูจงเล่า หนูจงเรียน หนูจงเพียรหาความรู้
หนูเอยลองคิดดู หากมีใครลบหลู่แล้วหนูจะโทษใคร
หนูเร่งเร็วพลัน จงบากและจงบั่น หนูจงหมั่นอย่าท้อใจ
บ้านเมืองจะเจริญได้ อยู่ที่เด็กของไทยไม่ใช่ใครอื่นเลย
3. เพลงฟังจังหวะ (กิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ)
ฟังจังหวะ ฟังจังหวะ เธอจงลองฟังดูให้ดี
ฟังจังหวะ ฟังจังหวะ ปรบมือตามกันเลยดีไหม
ฟังจังหวะ ฟังจังหวะ เธอจงลองฟังดูให้ดี
ฟังจังหวะ ฟังจังหวะ โยกตัวตามกันเลยดีไหม
ฟังจังหวะ ฟังจังหวะ เธอจงลองฟังดูให้ดี
ฟังจังหวะ ฟังจังหวะ กระโดดตามกันเลยดีไหม
4. เพลงเปิดดวงใจ
เปิดดวงใจ โอ้ว่าใจดวงงาม เปรียบคุณธรรม
คลายความหมกหมุ่น ขุ่นหมอง สุขกาย สะอาดแจ่มศรี
สว่างดี มิมีเคืองข้อง เพื่อน พี่ น้อง จะเห็นแสงทองเรือง
กระจ่าง สองสวรรค์ ที่เราสรรค์สร้าง พระธรรมนำทางให้ใจเรา
5. ระบำเต่าทอง
1. เต่าทองตัวน้อย เต้นระบำกลางดอกไม้บาน
เต้นกันเป็นวงกลม เต้นกันเป็นวงกลม
แล้วส่ายตัวขึ้นลง โบกสองแขนหมุนไปรอบตัว
เหนื่อยแล้วแปลงร่างเป็นก้อนหิน
2. เต่าทองตัวน้อย เต้นระบำบนหาดทราย
จับคู่เธอและฉัน จับคู่เธอและฉัน
ขยับปีกไปมา ส่ายสะโพกยักเอวกันเถิดหนา
เหนื่อยแล้วแปลงร่างเป็นก้อนหิน
3. เต่าทองตัวน้อย เต้นระบำกลางแสงจันทร์
ทำท่าสร้างสรรค์ ทำท่าสร้างสรรค์
ตามจังหวะทำนองเหนื่อยแล้วแปลงร่างเป็นก้อนหิน
6. มาร์ชเพลงรัก
เราเด็กไทย เรามารวมพลัง ร่วมสร้างสรรค์โลกนี้ให้สวยงามด้วยความรักที่มีในหัวใจ
หนึ่ง สอง สาม สี่ หนึ่ง สอง สาม สี่ หนึ่งสอง สามสี่ หนึ่ง สอง สาม สี่ หนึ่ง สอง สาม สี่ ด้วยความรักที่มีในหัวใจ ก้าวเดินไปพร้อมๆ กัน (ซ้ำ)
7. เพลงดวงจันทร์
มองขึ้นไปบนท้องฟ้า เห็นดวงจันทราสองแสงนวลใย
เมื่อมองขึ้นไป เห็นมีกระต่ายอยู่ในดวงจันทร์ นิทานโบราณเล่า
จริงหรือเปล่า เธอช่วยบอกฉัน บนดวงจันทร์นั้น มีกระต่ายจริงไหมเออ
8. เพลงพบกันใหม่
พบกันใหม่ พบกันใหม่ จากกันไป วันจันทร์ก็กลับมา
โฮ ลันลา วันลันลา หนึ่งสัปดาห์ เราหยุดสองวัน
เสาร์อาทิตย์ ฉันคิดถึงเธอ นอนละเมอหัวใจไหวหวั่น
จากกันไปเมื่อไรจะพบกัน จากกันไปเมื่อไรจะพบกัน
พอถึงวันจันทร์เรามาพบกันใหม่
9. เพลงอบอุ่นใจฉัน
อบอุ่นในใจฉัน มีคุณพ่อ มาเล่นด้วย
วิ่งไปในทุ่งสวย ลมระรวย พัดเย็นใจ
(คุณแม่ คุณครู พี่ น้อง เพื่อนๆ ฯลฯ)
10. เพลงดวงจันทร์ ดวงดาว
ฉันเห็น ดวงจันทร์ ดวงดาว ส่องสกาวบนท้องนภา
สายลมโบกโบยพัดมา เสียงคลื่นเฮฮา กระทบฝั่งครืน ครืน
11. เพลงนกน้อย
เจ้านก ตัวน้อย พี่มีความสุข เกาะบนกิ่งไม้
ร้องเพลง เจ้านก ตัวน้อย อบอุ่น ใต้ปีก แม่เอย
12. เพลงนกพิราบ
ผลับ พรึบ ผลับ ผลับ พรึบ ผลับ ขยับบิน
ฝูงนกพิลาปดำและเทาน่ารักจริงนา บินเวียนวนอยู่บนหลังคา
ไซร้ปีกหางกันอยู่ไปมา แสงแดดจ้าพากันคืนรัง
13. ดนตรีมหาสนุก
ร้องเพลงกันเถอะนะจ๊ะ มาเรามาร้องรำทำเพลง
ฟังเสียงเพลงแล้วชื่นใจ ฟังเสียงเพลงแล้วพาเพลิน
(เสียงตีกลอง)
ชุ่มมา ชุ่มมา ชุมบาซะ ชุมบา ชุมบา ชุมบาซะ
ชุ่มมา ชุ่มมา ชุ่มบาซะ ชุ่มบา ชุ่มบา ชุ่มบาซะ
(เสียงแตร)
แตร่น ตะละแลน ตะละแร่น แตร่น แตร้น แตร่นตะระแลน ตะระแรน แตร่น
แตร่น แตร่นตะระแรน ตะละแรนแตร่นแตร๊น แตร่นตะละแร่น ตะละแรน แตร่น แตร่น
(เสียงปี่พาทย์)
เตง ตะละเลง ตะละเลง เต้ง เต๊ง เตง ตะละเลง เตง ตะละเลง (ซ้ำ)
(เสียงบรรเลงเพลงด้วยวีโอล่า)
วีโอ วีโอ วีโอล้า วีโอ วีโอ วีโอล่า
วีโอ วีโอ วีโอล้า วีโอ วีโอล่า
14. เพลงรำไทย
เกิดมาบนแผ่นดินนี้ พวกเราน้องพี่ เราเป็นคนไทย
มีท่ารำไม่เหมือนใด เป็นแบบไทยๆ ของเรานานมา
มาซิมาฟ้อนรำ มาซิมาฟ้อนรำ พวกเราคนไทยชอบรำไทยเอย
รำไทยไม่ใช่เรื่องยาก จีบหงาย จีบคว่ำ เอาละวา
ตั้งวง ตีไหล่ ยักซ้าย ย้ายขวา ยกเท้าออกไปข้างหน้า
เชิญเพื่อนหญิงชาย รำไทยด้วยกัน
15. เพลงลูกหมูใส่รองเท้า
ในเช้าแจ่มใสวันหนึ่ง ซึ่งเป็นวันน้ำนอง
ลูกหมูก็อยากจะลอง อยากจะลองเล่นโคลน
แต่แล้วก็ต้องคันเท้า พยาธิไชเข้าเท้ามัน
ลูกหมูคิดได้เร็วพลัน จึงรีบป้องกันทันที
จึงทำรองเท้าด้วยไม้ ใช้เชือกเป็นลายชั้นดี
เร็วๆ มาช่วยกันซี จะได้ของดีเสียงดัง
กอบ กิ๊บ กอบ กอบ กิ๊บ กอบ
กอบ กิ๊บ กอบ กอบ กิ๊บ กอบ
กอบ กิ๊บ กอบ กอบ กิ๊บ กอบ
ฟัง ฟัง เสียงฉันเดินซิ กอบ กอบ กอบ
นอกจากนั้นแล้ว ผู้เลี้ยงดูเด็กสามารถนำเพลงไทยเดิมไปใช้ในกิจกรรมหรือในชั่วโมงสอนได้ เช่น
1. เพลงลาวดำเนินทราย
2. เพลงแสนคำนึง
3. เพลงค้างคาวกินกล้วย
4. เพลงรำกลองยาว
5. เพลงแขกมอญบางขุนพรหม
6. เพลงลาวดวงเดือน
7. เพลงลาวเสี่ยงเทียน
8. เพลงแก้วหน้าม้า
9. เพลงลาวช่อย
10. เพลงเขมรพายเรือ