Embedded Files
ตาที่ 3 : รุ่งอรุณใหม่ (พ.ศ. 2556) เป็นภาคต่อของการถ่ายภาพนามเชิงธรรมและเชิงทดลองโครงการประเภทแรกของผมที่ชื่อ Verve (พ.ศ. 2551) ซึ่งผมได้รวมการถ่ายภาพ พุทธศาสนา และวิทยาศาสตร์เข้าไว้ในโครงการเดียว ผมรู้สึกเชื่อมั่นว่า ผมควรเดินตามแนวทางนี้ต่อไปในการถ่ายภาพ และเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจของผมเพื่อเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อการถ่ายภาพ
โครงการตาที่ 3 ถูกวางแผนไว้ให้เป็นไตรภาค และเป็นโอกาสที่ผมจะได้ดำดิ่งลงไปทดลองเพิ่มเติม เพื่อผลักดันข้อจำกัดของการถ่ายภาพและความเป็นไปได้ โดยการรวมปัจจัยต่าง ๆ ที่กล่าวถึงข้างต้น รวมถึงปัจจัยด้านอื่น ๆ ผมอ้างอิงตาที่ 3 จากพระอิศวร เทพเจ้าแห่งการทำลายล้างในศาสนาฮินดู แนวคิดเรื่องตาที่ 3 แสดงถึงปัญญาและสัญชาตญาณเพื่อการแสวงหาความรู้ ซึ่งสิ่งนี้เหล่าสามารถอธิบายการถ่ายภาพของผม เลนส์และกล้องเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ ที่สามารถนำมาใช้เพื่อรับความรู้และความเข้าใจใหม่ ๆ โครงการนี้ก็เปรียบเป็นการถ่ายภาพเหมือนของการถ่ายภาพนั่นเอง
3rd Eye: The New Dawn (2013) was a continuation of abstract and experimental photography. My first project of this kind was Verve (2008), where I managed to combine photography, Buddhism and science into one project. I felt strongly that I should continue this approach in photography as part of my quest to master the medium.
3rd Eye Project is a planned trilogy, and is an opportunity for me to dive deeper and experiment further. To push photography’s visual boundary and its possibility, by combining different factors mentioned above and more. I referenced 3rd Eye from Shiva, the Hindu god of destruction. The idea of 3rd Eye represents wisdom and intuition as means to obtain knowledge. For me, this can also describe my photography, lens and cameras are learning tools and can be used to acquire new knowledge and understanding. At the same time, the project is a portrait of photography itself.
ปิยทัต เหมทัต เกิดกรุงเทพฯ ประเทศไทย ปี พ.ศ. 2519 เมื่ออายุได้ 14 ปี เขาย้ายไปที่มณฑลเดวอน ประเทศอังกฤษเพื่อศึกษาระดับมัธยมศึกษา ด้วยความหลงใหลในศิลปะเชิงทดลองที่เอ่อล้น เขาได้ศึกษาต่อจนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านวิจิตรศิลป์จากโรงเรียนศิลปะ City & Guilds of London Art School ในปี พ.ศ. 2541 - 2544 ตามด้วยปริญญาโทด้านทัศนศิลป์จาก Chelsea College of Art & Design ในปี พ.ศ. 2545
ปิยทัตได้รับประสบการณ์จริงมากมายขณะทำงานที่สตูดิโอออกแบบแห่งหนึ่งในกรุงลอนดอน ในปี พ.ศ. 2547 - 2550 ต่อมาในปี พ.ศ. 2550 ปิยทัตกลับมายังประเทศไทย ก่อตั้งสตูดิโอ และก่อตั้ง RMA Institute ในปี พ.ศ. 2552 - 2562 ซึ่งเป็นพื้นที่สร้างสรรค์ที่จัดแสดงภาพถ่ายที่น่าสนใจ ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับนานาชาติ ตลอดจนสื่อรูปแบบอื่น ๆ โครงการชุมชนของเขาพัฒนาต่อมาจนกลายเป็น PhotoBangkok เทศกาลภาพถ่ายนานาชาติแห่งแรกที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ โดยมีเขาเป็นผู้ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2558 และดำเนินการมาจนถึงปัจจุบัน เส้นทางการเดินทางสายมัลติมีเดียของปิยทัต ทั้งในด้านการถ่ายภาพ การแกะสลัก และการแสดงศิลปะจัดวางแบบวิดีโอ ครอบคลุมการเล่าเรื่องที่หลากหลาย ตั้งแต่ความคิดเห็นทางสังคมและการเมือง ความเชื่อ จิตวิญญาณ และการทดลองเชิงนามธรรม ไปจนถึงการถ่ายภาพผ่านแนวความคิดที่แปลกใหม่ ซึ่งได้รับการตีพิมพ์และจัดแสดงอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศและต่างประเทศ เขาเป็นที่รู้จักจากผลงานเชิงทดลอง ที่ผสมผสานแนวคิดเรื่องความงาม ธรรมชาติ วัฒนธรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และความลึกลับเข้าด้วยกัน
Piyatat Hemmatat was born in Bangkok, Thailand in 1976. At the age of 14 he moved to Devon, England to complete his secondary education. He then focused his increasing passion for experimental arts by earning a Bachelor’s degree in fine art from City & Guild London art school (1999 – 2001), followed by a Master’s degree in visual art from Chelsea College of Art & Design (2002).
Piyatat gained considerable practical experience while working at a design studio (2004-2007) in London. In 2007 Piyatat returned to Thailand and established his own eponymous studio and founded RMA Institute (2009 – 2019), a creative space exhibiting emerging, regional and international photography as well as other media. His community project eventually evolved into PhotoBangkok, Bangkok’s first home grown International Photography Festival, that he founded (2015 – present). Piyatat’s multimedia explorations in Photography, Sculpting and Video Installation encompass a variety of narratives – from socio-political commentary, faith, spirituality and abstract experimentation to groundbreaking conceptual photography – and have been continually published and exhibited both locally and internationally. He is recognised for his experimental works, combining ideas of beauty, nature, cultures, science, technology and mystery.
Page updated
Google Sites
Report abuse