จังหวัดพะเยา
พัฒนาการทางประวัติศาสตร์
นักโบราณคดี และนักประวัติศาสตร์ได้กำหนดพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ไว้ตามบริบทของการศึกษาค้นคว้าและการวิจัย โดยส่วนใหญ่จะมีการกำหนดช่วงสมัยหรือพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ที่ใกล้เคียงกัน ลำดับพัฒนาการทางประวัติศาสตร์เมืองพะเยาในลุ่มน้ำแม่อิงจึงเชื่อมโยงกับพัฒนาการของอาณาจักรล้านนา โดยแบ่งลำดับพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ได้ดังนี้
1. สมัยเริ่มสร้างบ้านแปงเมือง:สู่นครรัฐอิสระ
2. สมัยผนวกเมืองเข้าสู่อาณาจักรล้านนา
3. สมัยพม่าปกครองล้านนา:เมืองร้างและร่วงโรย
4. สมัยกรุงรัตนโกสินทร์:ยุคฟื้นฟู
สมัยเริ่มสร้างบ้านแปงเมือง:สู่นครรัฐอิสระ
ราวจุลศักราช 458 หรือพุทธศักราช 1639 พญาลาวเงินผู้ครองเมืองหิรัญนครเงินยาง (เชียงแสน) ได้ส่งราชบุตรนามขุนจอมธรรม ราชบุตรองค์น้อยไปครองเมืองฝ่ายใต้ตั้งอยู่บนเชิงเขาชมพูหรือดอยด้วนใกล้แม่น้ำสายตาหรือแม่น้ำอิง เรียกเมืองในนั้นว่า ภูกามยาวหรือเมืองพยาว เมืองนั้นเป็นนครเก่าสร้างมาแต่โบราณมีเขื่อนค่าย ปราการกำแพง คูเมืองมีประตูใหญ่ ๘ ช่อง ทิศตะวันตกเป็นที่สูง ทิศตะวันออกเป็นพื้นที่ต่ำ มีสระหรือหนองใหญ่อยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือหรือทิศใต้ ตั้งอยู่สุดเชิงเขาชมพูอันเป็นเนินยาว พบภาชนะสิ่งของทำด้วยศิลา เช่น ครกศิลา หินบดศิลา เป็นต้น อยู่ตามเชิงเขาเป็นอันมาก สันนิษฐานว่าเป็นบ้านเมืองมาตั้งแต่สมัยขอม
การเลือกชัยภูมิสร้างเมืองสมัยนั้นต้องประกอบด้วยชัยมงคล ๓ ประการ คือ ประการแรกมีแม่น้ำสายตาหรือแม่น้ำอิงอยู่ทางใต้ของเมือง และไหลไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ประการที่สองมีแม่น้ำอยู่หลายแห่ง เช่นกว๊านพะเยาหรือหนองเอี้ยงตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองและประการสุดท้ายที่หัวเวียงมีดอยจอมทองที่บรรจุพระบรมธาตุเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองพะเยา เงื่อนไขที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งในการสร้างเมืองคือ ต้องมีแหล่งน้ำที่ราบและภูเขา
ในยุคของขุนจอมธรรม เมื่อแรกเริ่มสร้างเมืองพะเยา ได้จัดระบบของโครงสร้างสังคมเมืองพะเยา โดยจัดเป็นระบบพันนาได้ ๓๖ พันนา คือ พันนาเชียงดี พันนาน้ำเซาะ พันนาแคว้นดง พันนาปั้น พันนามหาด พันนามูล พันนาโคกหลวง พันนาแลง พันนาแหน พันนาพูน พันนาแคว้นนาย พันนาคง พันนาเพ็ง พันนาแพง พันนาแจ้ตาก พันนาตอหวาย พันนาตอใคร้ พันนาดิน พันนาพุงเมือง พันนาฉนาก พันนาแจ้ห่ม พันนาม่วง พันนาครัว พันนาสาน พันนากุลาน้อย พันนาทาน พันนาลงใต้ พันนาแคว้นออบ พันนาเชียงเคี่ยน (เชียงกลึง) พันนาคง พันนาไชย พันนาแก้ว พันนาเชียงเครื่อง พันนาฉางหลวง พันนาริน และพันนาเริง โดยมีศูนย์กลางการบริหารการปกครอง คือ ตัวเวียงพะเยา ตั้งอยู่กลางของหุบเขา ปลายสุดของดอยด้วน ริมฝั่งตะวันออกของกว๊านพะเยา
การแบ่งพื้นที่ของเมืองพะเยาออกเป็น ๓๘ พันนานั้น นับว่ามีจำนวนใกล้เคียงกับการแบ่งเขตตำบลต่าง ๆ ในปัจจุบันซึ่งมีทั้งสิ้น ๓๐ ตำบล ครอบคลุมพื้นที่อำเภอเมืองพะเยา อำเภอดอกคำใต้และอำเภอแม่ใจ เช่นพันนาม่วง คือบริเวณตำบลใหม่และบางส่วนของอำเภอแม่ใจ พันนาริน คือ บริเวณตำบลดงเจนพันนา-แพง คือตำบลแม่นาเรือหรือตำบลแม่ใส พันนาดง คือ บริเวณแม่กา เป็นต้น
สมัยนั้นประชากรส่วนใหญ่ของเมืองพะเยาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านของพันนาต่าง ๆ และมีอาชีพเกษตรกรรม ดังนั้นหน้าที่หลักของพันนาทั่วไป คือ เพาะปลูกผลิตอาหาร และเสียภาษีจากผลผลิตการเกษตรของตนให้แก่ชุมชนหลักที่ทำหน้าที่บริหารและปกครองคือ เวียงพะเยา ประชากรมีฐานะเป็นไพร่ที่ผู้ปกครองในเวียงสามารถเกณฑ์มาใช้ทำงานต่าง ๆได้
ระบบพันนาเป็นหน่วยการปกครอง ในระดับที่เล็กกว่าเมือง การจัดหน่วยการปกครองแบบพันนาก็เพื่อให้จำนวนไพร่มีความสมดุลกับจำนวนปริมาณที่ดิน ดังนั้นพันนาที่มีขนาดใหญ่จะมีจำนวนประชากรมาก ทั้งนี้เพื่อให้ใช้ประโยชน์จากพื้นที่ได้อย่างเหมาะสมกับสภาพภูมิศาสตร์ของรัฐในหุบเขาซึ่งมีที่ราบจำกัด ขนาดของเมืองจะใหญ่หรือเล็กขึ้นอยู่กับจำนวนพันนาที่ขึ้นอยู่กับเมืองนั้น ๆ เช่น เมืองพะเยามี 36 พันนา ผู้ปกครองพันนาจะมียศเป็น “หมื่น” เมืองพะเยามีเจ้าหมื่นดอนแปลนกินพันนาดอนแปลน ภายในพันนาจะมีขุนนางตำแหน่งต่าง ๆ ช่วยเหลือการปกครอง เช่น หมื่นนา ล่ามนา พันนาหลักและแสนนา ส่วนหน่วยการปกครองที่เล็กกว่าแสนนาคือ “ปาก-นา” ผู้ปกครองปากนาจะ มียศเป็น “พัน” ควบคุมขุนนางที่มียศเป็น “ปาก-นา” เช่น ปากมงคล ปากเทพ หน่วยการปกครองที่เล็กกว่าปากนา ซึ่งถือเป็นระดับล่างสุดคือ “หมู่บ้าน” มีแก่บ้านเป็นผู้ปกครอง
เมืองพะเยามีเมืองอื่น ๆอยู่ในอาณาเขตได้แก่ เมืองลอง เมืองเทิง เชียงแรง เมืองคอบจะลาว เมืองออย แจ่เสียง หนองขวาง แจ้หลวง แจ้ห่ม เมืองวัน เขตแว่นแคว้นล้านนาไทย ทิศเหนือและทิศตะวันออกต่อแดนนครคือ เชียงของ (ขรนคร) เมืองพะเยามีประตูรวม ๘ ประตู คือ
๑. ประตูชัย หมายถึงประตูที่ขุนจอมธรรมเสด็จเข้าเมืองเป็นครั้งแรก
๒. ประตูหอกลอง ประชาชนใครมีเหตุการณ์อันใดเกิดขึ้นให้ตีกลองที่ประตูเข้าเมือง
๓. ประตูเหล็ก คือประตูฝังแผ่นเหล็กเครื่องตาดท้าว ๕ ประการลงในประตูชื่อว่า ประตูเหล็ก
๔. ประตูท่านาง คือ ประตูอันนางลงไปอาบน้ำในกว๊าน
๕. ประตูท่าหล้า คือ ประตูอันประชาชนทั้งหลายลงไปท่า เพื่อกินข้าวและเหล้าเวลาเย็น
๖. ประตูปราสาท คือ ประตูอันท่านลงเลขยันต์รปปราสารทฝังลงในประตู
๗. ประตูท่าแป้น คือ ประตูท่านลงเลขยันต์ลงไม้กระดานหรือเรียกแป้นกระดานฝังลงในประตู
๘. ประตูออมปอม คือ ประตูอันลงเลขยันต์ต่างบรรจุลงในขวดออม หรือกระปุกฝังลงที่ประตูแห่งนี้
จากนั้นพ่อขุนจอมธรรมจึงให้ก่อสร้างและบูรณะวัดขึ้นได้ ๑๘ วัด ด้วยอาศัยผู้มีจิตศรัทธาร่วมสร้างวัดในบริเวณตัวเมือง ขุนจอมเมืองครองเมืองพะเยาได้ ๓ ปี มีราชโอรส ๑ พระองค์ ประสูติวันอังคารขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ ปีเถาะ เอกศก จุลศักราช ๔๖๑ (พุทธสักราช ๑๖๔๒) เวลาใกล้รุ่งทรงพระนามว่า ขุนเจื๋ยง ทรงเจริญวัยขึ้นตามลำดับ ต่อมาอีก ๓ ปี ขุนจอมธรรมได้ราชโอรสอีกพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า ขุนชอง เมื่อขุนเจื๋ยงเจริญวัยเต็มที่แล้วทรงสนใจในการศึกษาวิทยายุทธ อาทิเช่น วิชาฟันดาบ มวยปล้ำ วิชาจับช้าง จับม้า และวิชาใช้อาวุธต่าง ๆ ทรงอาสาเข้าไปจับช้างในเมืองต่าง ๆเช่น เมืองน่าน เมืองแพร่ ปรากฏว่าได้ช้างมากมาย มีช้างเชือกพิเศษเรียกว่าช้างพานคำอีกด้วย ขุนจอมธรรมพระราชบิดาครองเมืองพะเยาได้ ๒๑ ปี มีพระชนมายุได้ ๕๙ พรรษา สิ้นพระชนม์ในปีนั้น ขุนเจื๋ยงราชบุตรขึ้นครองเมืองพะเยาสืบทอดแทนพระราชบิดาต่อไป
ครั้นครองเมืองได้ ๖ ปี ข้าศึกแก๋วยกกองทัพเข้ามาประชิดเมืองหิรัญนครเงินยางเชียงแสน มีพลโยธามากกว่า กำลังทัพไม่สามารถต้านข้าศึกได้จึงให้หมื่นกิตติตราไปแจ้งขุนเจื๋ยงเมืองภูกามยาวให้ทรงทราบ เมื่อทราบแล้วก็ทรงรวบรวมกองทัพจากเมืองภูยาว จากหัวเมืองต่าง ๆเช่น เมืองลอ เมืองเทิง เมืองเชียงแลง แจ้หลวง แจ้ห่ม เมืองวัน รวมกำลังพลได้ถึง ๑๓๓,๐๐๐ คน แล้วยกกำลังทัพไปปราบข้าศึกแก๋ว ณ เมืองหิรัญนครเงินยาง
เมื่อยกทัพไปปราบปรามทัพแก๋วจนได้ชัยชนะ ขุนชินทรงพอพระทัยเป็นอย่างยิ่งจึงทรงยกพระราชธิดา “นางอั้วคำคอน” ให้เป็นพระราชชายา ยกราชสมบัติหิรัญนครเงินยางให้ขุนเจื๋ยงครอบครองตั้งแต่นั้นมา เมื่อไปครองเมืองหิรัญนครเงินยางอล้ว ขุนเจื๋ยงจึงสละราชสมบัติให้ราชโอรสคือ “ลาวเงินเรือง” ขึ้นครองเมืองพะเยาแทน ส่วนหิรัญนครเงินยางนั้นแม้ว่าขุนชินสละราชสมบัติถวายแล้ว แต่ขุนเจื๋ยงก็มอบให้ขุนชินครอบครองอยู่อย่างเดิม เพราะขุนเจื๋ยงกระหายต่อการสู้รบกับข้าศึก จึงทรงปราบข้าศึกแถบล้านช้างทั้งหมดติดต่อกันไม่หยุดพัก จนได้รับการยกย่องจากพระยาสามันตราชทั้งหลาย มีพระยาฮ่อชื่อ “พระยาร่มฟ้า เกล้าพิมาน” ทรงเป็นประธานการจัดงานอภิเษกขุนเจื๋ยงขึ้นเป็น “พระยาจักรวรรดิราช” ชื่อ “เจื๋ยงธรรมิกราช” ครองเมืองแก๋ว เมื่อวันอังคาร เดือน ๔ ขึ้น ๙ ค่ำ จุลศักราช ๔๙๖ ขึ้นครองราชย์เมืองแก๋วได้อภิเษกสมรสกับพระนางอู่แก้ว ธิดาพระยาแก๋ว ภายหลังมีพระราชโดรส ๓ องค์ คือ ท้าวอ้ายผาเรือง ท้าวยี่คำหาว ท้าวสามชุมแสง
ส่วนขุนเจื๋ยงเมื่อมอบราชสมบัติให้แก่ราชโอรสเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พระองค์ก็ทรงปราบปรามข้าศึกเมืองต่าง ๆ จนได้ชัยชนะ แล้วขยายอาณาเขตออกไปจนถึงเมืองแกว แมนตาตอกขอบฟ้าตายืน ภายหลังสู้กลศึกของแกวซึ่งมีกำลังมากกว่าไม่ได้ จึงสิ้นพระชนม์ในสมรภูมิ ขุนเจื๋ยงเมื่อแรกครองราชย์สมบัตินั้นพระชนมายุได้ ๒๖ พรรษา ครองล้านนาประเทศ ได้ ๒๔ ปี ไปปราบล้านช้างและเมืองแกวครองเมืองแกวได้ ๑๗ ปี สิริพระชนมายุ ๖๗ ปี
ต่อมาลาวเงินเรือง เจ้าผู้ครองเมืองพะเยาได้ราชสมบัติหิรัญนครเงินยางเชียงแสนฝ่ายเมืองพะเยานั้นรับสั่งให้ท้าวผาเรืองราชโอรส ไปครองได้ ๑๔ ปี ก็ถึงแก่พิราลัย จึงให้ขุนแพงราชบุตรขึ้นครองแทน ภายหลังขุนชองอนุชาของขุนเจื๋ยงในฐานะเป็นปู่เข้าชิงราชสมบัติจากขุนแพงได้แล้ว ครองราชย์ได้ ๒๐ ปีก็ถึงแก่พิราลัย นับตั้งแต่ขุนชองได้ถึงแก่พิราลัยไปแล้ว ปรากฏว่ามีเจ้านายครองราชย์สมบัติสืบ ๆกันมาโดยลำดับ คือขุนแก้วแว่นเมือง ขุนจอมปราสาท ขุนเล่า ขุนพัน ขุนเส้า ขุนมิ่งเมือและขุนพญางำเมือง ส่วนผู้ครองเมืองทั้ง ๖ องค์นั้น ไม่มีรายละเอียดประการใด เพียงแต่มีพระนามเท่านั้น สันนิษฐานว่าเป็นการปกครองเมืองแบบพี่ ๆน้อง ๆช่วยกันดูแลบ้านเมืองให้อยู่ในสภาพปกติสุข
พญางำเมือง เป็นพระราชโอรสพ่อขุนมิ่งเมืองผู้ครองเมืองพะเยา ประสูติปีจุลศักราช ๖๐๐ พุทธศักราช ๑๗๑๘ เมื่อทรงเจริญวัยมีพระชนมายุได้ ๑๔ พรรษา พระราชบิดาทรงนำเข้าไปศึกษาอยู่ในสำนักของเทพอิสิที่ดอยชมพูหรือดอยด้วน (ปัจจุบันดอยหัวง้มอยู่ในเขตอำเอพานและอำเภอป่าแดด จังหวัดเชียงราย) เมื่ออยู่ในสำนักได้ศึกษาศิลปาศาสตร์จบแล้วพระราชบิดาส่งไปศึกษาต่อที่สำนักสุกทันตฤาษี ณ กรุงละโว้ (จังหวัดลพบุรี) เป็นเวลา ๒ ปี
ขณะที่ศึกษาอยู่ในสำนักสุกทันตฤาษีนั้น ได้เป็นศิษย์ร่วมรุ่นกับพระร่วงเจ้าแห่งกรุงสุโขทัย ในฐานะร่วมศิษย์อาจารย์เดียวกัน จึงมีความสนิทคุ้นเคยกัน ในด้านความรู้ความสามารถก็เท่าเทียมกัน จึงผูกสัมพันธไมตรีกันอย่างแน่นแฟ้น เมื่อได้ศึกษาจบหลักสูตรแล้ว พญางำเมืองก็ได้เสด็จกลับเมืองพะเยา ส่วนพระร่วงก็ได้เสด็จกลับเมืองสุโขทัยเช่นกัน พญางำเมืองมีพระชนมายุได้ ๒๐ ปี พระราชบิดาคือพ่อขุนมิ่งเมืองถึงแก่พิราลัย พญางำเมืองได้เป็นเจ้าแผ่นดินครองราชย์สมบัติแคว้นพะเยาในปีจุลศักราช ๖๒๐
ฝ่ายเมืองหิรัญนครเงินยางนั้น ราชบุตรพ่อขุนเจื๋องนามว่า “ลาวเงินเรือง” ครองราชย์สมบัติได้ ๒๖ ปี พระชนมายุได้ ๕๙ ปี ก็ทิวงคตต่อจากนั้นมีพระราชโอรสนัดดา สืบราชสมบัติต่อ ๆกันมาได้ ๔ ชั่วราชวงศ์ มาถึงพญาลาวเมืองได้ครองราชย์สมบัติในนครหิรัญเงินยางเชียงแสน ท้าวเธอมีราชโอรสทรงพระนามว่า “ลาวเมง” เมื่อทรงเจริญวัยวัฒนา พญาลาวเมืองพระราชบิดาก็ทรงจัดหาคู่ครองด้วยการสู่ขอพระนางอั้วมิ่งจอมเมืองราชธิดาของท้าวรุ่งแก่นชาย เจ้าผู้ครองเมืองเชียงรุ้งมาอภิเษกสมรสกับลาวเมง ภายหลังมาทรงพระนามว่า “พระนางเทพคำก๋าย”
หลังจากอภิเษกไม่นานนักพระนางเทพคำก๋ายก็ทรงตั้งครรภ์และทรงสุบินว่า “ได้เห็นดาวประกายหยาดแต่ท้องฟ้าลงมาจากนภากาศลงมาทางทิศทักษิณนางรับดวงดาวนั้นไว้ได้” ทรงทำนายว่า จะมีราชโอรสผู้มีศักดานุภาพมหาศาล สามารถปราบข้าศึกได้ ครั้นถ้วนทศมาสแล้วพระนางก็ประสูติ เมื่อปีจุลศักราช ๖๐๐-๖๐๑ เวลาย่ำรุ่ง วันอาทิตย์ แรม ๙ ค่ำ เดือนอ้าย ปีกุน เอกศก ฝ่ายประยูรญาติทรงเฉลิมขวัญเบิกบายรวายศรีตั้งพระนามว่า “มังราย”
ความสัมพันธ์ระหว่างพญาร่วงกับพญามังรายนั้น เป็นพระญาติสืบสายมาแต่ต้นตระกูลเดียวกันคือ ลวะจักราช และประสูติร่วมศักราชปี ๖๐๐ เดียวกัน เมื่อพญางำเมืองผูกมิตรสัมพันธ์กับพญาร่วง ก็ต้องผูกพันไปถึงพญามังรายด้วย ยิ่งไปกว่านั้นพญาร่วงหรือร่วงเจ้า หลังจากได้ผูกสมัครรักใคร่กับพญางำเมืองแล้ว ถึงคราวเทศกาลสำคัญ ๆเช่น เทศกาลสงกรานต์ พญาร่วงจะต้องพาเอาข้าราชการ บริวารไปสรงสนานที่แม่น้ำโขงเป็นประจำทุก ๆปี พญางำเมืองอาณาจักรพะเยาและพญามังราย อาณาจักรมังราย ก็จะต้องออกต้อนรับอย่างสมพระเกียรติ จึงมีความไว้วางพระทัยกันยิ่งขึ้นโดยลำดับ
พญางำเมืองครองเมืองพะเยา เมื่อพุทธศักราช ๑๘๐๑ มีชายาชื่อนางอั้วแสนเป็นธิดาของเมืองเชียงแสน สายสัมพันธ์ฉันเครือญาติระหว่างเมืองเงินยางและเมืองพะเยาเป็นลักษณะของ การสมรสมาโดยตลอด ดังนั้น กษัตริย์เมืองเงินยางและพะเยาจึงเป็นพระสหายและญาติสิบต่อมาหลายชั่วอายุคน พงศาวดารเมืองเงินยางเชียงแสนจึงอ้างว่า พญางำเมืองกับพญามังรายเป็นพระสหายกันมาแต่รุ่นปู่ และในพงศาวดารโยนกกล่าวถึงพญางำเมืองไว้ว่า “ท่านไป ณ ที่ใด ที่นั้นแดดก็ไม่ร้อน ฝนก็บ่ฮำ ท่านจักใคร่ให้บดก็บด จักใคร่ให้แดดก็แดด เหตุดังนั้น จึงชื่อ “งำเมือง”
ราวจุลศักราช ๖๓๘ พุทธศักราช ๑๘๑๙ พญามังรายครองราชย์สมบัติอยู่เมืองเชียงรายยกทัพมาตีเมืองพะเยา ครั้นพญางำเมืองทราบข่าวพญามังรายจะยกทัพเข้าตีเมือง จึงดำริที่จะรบโดยใช้หลักธรรมยุทธ กล่าวคือได้จัดแต่งที่ประทับรับรองคอยรับอยู่ปลายแดนเมือง ครั้นกองทัพพญามังรายยกทัพมาถึงได้พบกองทัพพญางำเมืองจัดต้อนรับโดยมิได้ต่อสู้แต่อย่างใด พญางำเมืองยอมยกแคว้นบวกน้ำ จำนวน ๕oo หลังคาเรือนถวายแก่พญามังราย แล้วทั้งสองก็ทำสัตย์ปฏิญาณเป็นมิตรไมตรีต่อกัน แล้วเลิกทัพกลับคืนนครของตน สถานที่ทำสัตย์ปฏิญาณเป็นพันธมิตรต่อกันปรากฏชื่อภายหลังว่าตำบลราชบาน เข้าใจว่าความเป็นเครือญาติพระสหายกันและความเข้มแข็งของพญางำเมืองในขณะนั้นเป็นอุปสรรคต่อการยึดครองพะเยา
สัมพันธภาพระหว่างพ่อขุนรามคำแหง พญามังรายและพญางำเมืองสามกษัตริย์รัฐไทยเป็นการป้องกันภัยจากพวกมองโกล ได้อีกทางหนึ่งมีการทำสัญญาสามกษัตริย์ ในพุทธศักราช ๑๘๓o
สัมพันธภาพครั้งนี้ทำให้ทิศทางการขยายอาณาเขตของพญางำเมืองต้องขยายไปทางทิศตะวันนออก โดยพญางำเมืองส่งกองทัพไปยึดเมืองปัว ก่อนพญางำเมืองไปยึดเมืองปัวนั้น พญาเก้าเลื่อนเจ้าเมืองปัวได้ให้ชายาชื่อแม่ท้าวคำพันคอยดูแลเมือง พญางำเมืองอาศัยจังหวะนั้นเข้ายึดเมืองปัว แม่ท้าวคำพันหนีออกจากเมืองไป และระหว่างที่หนีเข้าป่านางคลอดราชบุตรชื่อ “ท้าวผานอง” เมื่อราชบุตรโตได้กินเมืองปราดซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจเมืองพะเยา คร้นหนึ่งนางอั้วสิมและราชบุตรอามป้อมไปเยี่ยมหาพญางำเมืองที่พะเยา เมื่อจะลากลับเมืองปัว นางอั้วสิมแกงถวาย พญางำเมืองกล่าวว่า “แกงถวายก็ยังหวานแก่ เท่าว่าน้ำนักหนาว่าอั้น” นางอั้วสิมโกรธกลับเมืองปัว นางทิ้งพญางำเมืองและไปหาพระสวามีใหม่คือท้าวผานอง ตำนานเมืองน่านได้บันทึกความยากลำบากของกษัตริย์เมืองปัวที่ถูกภัยสงครามจากเมืองพะเยา แสดงว่าในสมัยพญางำเมืองนั้นเมืองพะเยาเข้มแข้งไม่น้อย และยึดเมืองปัวไว้เกือบ ๒๐ ปี จนกระทั่งมีท้าวผานองราชบุตรของแม่ท้าวคำพันเติบโตและสามารถกอบกู้เมืองปัวกลับคืนมาได้ พญางำเมืองยกทัพไปปราบแต่พ่ายกลับมา
ในราวพุทธศักราช ๑๘๓๕ พญางำเมืองและพ่อขุนรามคำแหงได้เสร็จไปร่วมพิธีสร้างเมืองเชียงใหม่ ดังเรื่องสร้างวัดพระเจดีย์เชียงมั่น อันเป็นวัดสำคัญใจกลางเมืองเชียงใหม่ว่า “ศักราช ๖๕๔ ปีระวายสัน เดือนวิสาขะ ออก ๘ ค่ำ วัน ๕ ไทยเมิงเปล้า ยามใกล้รุ่งแล้ว สองลูกนนที ปลายสองบาท นวลัคนา เสวยนวางค์ พฤหัสในมีนราศี พญามังรายเจ้าแลพญางำเมืองพญาร่วง ทั้งสามตนตั้งหอนอนบ้านเชียงมั่น ในขณะยามเดียวกันนั้น ลวดสร้างเป็นวัดหื้อทานแก่แก้วทั้งสาม ใส่ชื่อว่าวัดเชียงมั่น…” และเมื่อจะสร้างเมืองเชียงใหม่ พญามังรายจึงว่า “...กูจักสร้างบ้านแปงเมืองอันใหญ่แท้ควรกูไปเชิญเอาพญางำเมือง พญาร่วงอันเป็นสหายกูมาควรแล ว่าอั้น ก็ใช้ให้ไปเชิญเอาสหายตนคือ พญางำเมือง พญาร่วงมานั้นแล...กันพระยาทั้งสองมาถึงแล้ว ก็เอากันตั้งแบ่งวินิจย คือสนามที่ใกล้แห่งชัยภูมิ เพื่อหื้อเป็นที่พร้อมเพรียงกับด้วยกันแล้วกล่าวว่า ในฐานนะที่นี้มีฟานเผือกสองตัวแม่ลูกในลมหญ้าคา ที่นี้แน่นหนาและคนทั้งหลายบ่อาจจักกระทำร้ายได้ เป็นชัยภูมิอันวิเศษแท้แล ข้าก็มักใคร่สร้างเวียงนี้...” พระสหายต่างร่วมกันพิจารณาชัยภูมิวางผังเมือง และได้ร่วมกันเสนอชัยมงคล ๗ ประการในการสร้างเมืองเชียงใหม่ พญามังรายชื่นชมกษัตริย์พระสหายทั้งสองพระองค์ยิ่งนัก
สมัยผนวกเมืองเข้าสู่อาณาจักรล้านนา
อาณาจักรล้านนาก่อตั้งราว พ.ศ. ๑๘๓๙ โดยพญามังรายทรงเป็นโอรสของพญาลาวเมง และนางอั้วมิ่งจอมเมือง (นางเทพคำข่ายหรือคำขยาย) ธิดาท้าวรุ่งแก่นชายเมืองเชียงรุ่ง พญามังรายครองเมืองเงินยางเมื่อพุทธศักราช ๑๘๐๔ นับเป็นกษัตริย์องค์ที่ ๒๕ แห่งราชวงศ์ลวะจังกราช พระราชกรณียกิจที่ยิ่งใหญ่คือการก่อตั้งอาณาจักรล้านนา เพราะพระองค์ทรงใช้เวลาเกือบตลอดราชกาลเพื่อรวบรวมหัวเมืองใหญ่น้อยมาไว้ที่ศูนย์กลางเดียวกัน และทรงสร้างความเข้มแข็งให้แก่อาณาจักรล้านนา
พญามังรายทรงเริ่มต้นจากการรวบรวมเมืองเล็กเมืองน้อยที่อยู่ใกล้กับเมืองเงินยางไว้ในอำนาจ ปรากฏว่าเมืองต่าง ๆ ในเขตที่ราบลุ่มแม่น้ำกก ซึ่งครั้งหนึ่งเคยรวมกันอยู่กลับแตกแยกกัน มีการแย่งชิงไพร่และรุกรานกันอยู่เสมอ สร้างความเดือดร้อนแก่พลเมือง พญามังรายทรงรวบรวมเมืองต่าง ๆไว้ในอำนาจของเงินยาง โดยอ้างถึงสิทธิกรรมที่พระองค์สืบเชื้อสายโดยตรงจากลาวจก และพระองค์ได้รับน้ำมุรธาภิเษก และได้เครื่องราชาภิเษก เป็นต้นว่า ดาบไชย หอกละมีดสรีกัญไชย สิ่งเหล่านี้เป็นของลาวจก ซึ่งตกมายังราชวงศ์ลาวทุกพระองค์ พญามังรายอ้างว่าเจ้าเมืองอื่น ๆนั้นสืบสายญาติพี่น้องกับราชวงศ์ที่ห่างออกไป ดังนั้นจึงไม่มีโอกาสทำพิธีมุรธาภิเษกและได้เครื่องราชาภิเษกเหมือนพระองคื
วิธีการที่พญามังรายรวบรวมหัวเมืองมีหลายวิธี เช่น ยกทัพไปตี ในกรณีที่เจ้าเมืองนั้นไม่ยอมสวามิภักดิ์ ได้แก่ เมืองมอบ เมืองไล่ เมืองเชียงคำ เมื่อตีเมืองเหล่านี้ได้ พญามังรายจะแต่งตั้งให้ขุนนางของพระองค์ปกครอง ส่วนเมืองที่ยอมสวามิภีกดิ์ พญามังรายจะให้เจ้าเมืองปกครองต่อไป นอกจากนั้นพญามังรายยังทรงใช้วิธีการเป็นพันธมิตร สำหรับเมืองใหญ่ดังเช่น เมืองพะเยาของพญางำเมือง ซึ่งมีกำลังเข้มแข็งและมีความใกล้ชิดกับเมืองสุโขทัย
หลังจากรวบรวมหัวเมืองใกล้เคียงกับเมืองเงินยางได้แล้ว พญามังรายมีนโยบายขยายอำนาจลงมาทางใต้ โดยการย้ายศูนย์กลางลงมาสร้างเมืองเชียงรายในพุทธศักราช ๑๘๐๕ สาเหตุที่พญามังรายตต้องย้ายลงมาทางใต้เพราะทรงหวั่นเกรงกองทัพมองโกล ซึ่งกำลังจะยึดยูนาน พม่าและตังเกี๋ย เมืองเชียงรายมีฐานะเป็นศูนย์กลางของการรวบรวมหัวเมืองต่อมาอีกหลายหัวเมือง ช่วงเวลาที่มีการรวบรวมหัวเมืองอยู่ระหว่างพุทธศักราช ๑๘๐๕-๑๘๑๖ หลังจากนั้นก็ว่างเว้นไปถึงพุทธศักราช ๑๘๑๙ พญามังรายยกทัพไปพะเยา แต่ไม่มีการรบทั้งสองฝ่ายกลับเป็นไมตรีต่อกัน เมืองต่าง ๆที่พญามังรายรวบรวมสำเร็จในราวพุทธศักราช ๑๘๑๖ นั้น รวมตัวกันเป็น กลุ่มแคว้นโยนก หรือโยน มีเมืองสำคัญคือเชียงรายและฝางซึ่งสร้างขึ้นใน พุทธศักราช ๑๘๑๖
เมืองพะเยาก่อนที่จะผนวกเข้าสู่อาณาจักรล้านนานั้น มีพัฒนาการเกี่ยวเนื่องและเชื่อมโยงอยู่กับการสร้างบ้านแปงเมืองของพญามังราย เนื่องจากการเป็นพันธมิตรกันอย่างใกล้ชิด
ดังกล่าวไปแล้ว หลังจากพญามังรายได้รวบรวมหัวเมืองในแคว้นโยน จึงเริ่มวางแผนที่จะยึดแคว้นหริภุญไชย เนื่องจากแคว้นหริภุญไชยเป็นศูนย์กลางความเจริญรุ่งเรืองมาช้านาน และมีความมั่งคั่งทางเศษฐกิจ เป็นที่ตั้งเป็นชุมชนทางการค้า
ในระหว่างรวบรวมหัวเมืองในแคว้นโยน และการวางแผนเข้ายึดเมืองหริภุญไชยเมืองพะเยาอยู่ในฐานะรัฐอิสระ เนื่องจากการทำสัญญามิตรภาพระหว่างพญามังราย พญางำเมืองและพ่อขุนรามคำแหง ในปีพุทธศักราช ๑๘๓๐ ผลของสัญญาทำให้พญามังรายมั่นใจว่า การขยายอำนาจลงสู่แม่ปิงเพื่อผนวกหริภุญไชยจะไม่ถูกขัดขวางจากพญางำเมืองและพ่อขุนรามคำแหง หลังจากนั้นราวพุทธศักราช ๑๘๓๕ พญามังรายนำทัพจากเมืองฝางเข้ายึดเมืองหริภุญไชยได้ และเวลาต่อมายึดเมืองเขลางนคร (ลำปาง) ได้ แคว้นหริภุญไชยจึงถูกผนวกเข้ากับแคว้นโยน การรวมตัวของสองแคว้นใหญ่จึงเริ่มก่อรูปเป็นอาณาจักรล้านนาในเวลาต่อมา
หลังจากอาณาจักรล้านนาเป็นปึกแผ่นมั่นคงตั้งแต่สมัยพญามังรายจนกระทั่งถึงพญาคำฟูราวพุทธศักราช ๑๘๗๗-๑๘๗๙ เป็นกษัตริย์สืบต่อจากพญาแสนฟู พญาคำฟูได้ขยายอาณาเขตไปทางตะวันออก โดยเริ่มทำสงครามกับเมืองพะเยาและได้ร่วมกับพญาผานองกษัตริย์เมืองปัวเข้าปล้นเมืองพะเยา และยึดเมืองพะเยาไว้ได้ในสมัยพญาคำลือ เมืองพะเยาจึงถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรล้านนานับตั้งแต่นั้นมา ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างเชียงใหม่กับปัวไม่ราบรื่นนัก เพราะเมืองปัวไม่พอใจที่ถูกเชียงใหม่เอาเปรียบเรื่องการแย่งชิงทรัพย์จากการปล้นเมืองพะเยา พญาผานองจึงยกกองทัพเข้ารบกับพญาคำฟู๐พญาคำฟูเสียทีหนีกลับไปเชียงแสน กองทัพน่านยกไปตีปล้นเมืองฝางได้ พญาคำฟูยกกองทัพใหญ่ไปตีกองทัพน่านที่เมืองฝาง กองทัพน่านสู้ไม่ได้ ล่าถอยกลับไป นับแต่นั้นมาเมืองพะเยาก็ถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรล้านนา แล้วถูกลดฐานะเป็นเมืองเล็ก ๆที่ขึ้นกับเชียงราย
ตำนานสุวรรณคำแดงกล่าวว่า ขณะที่พระเจ้าคำฟูทำสงครามกับเมืองน่านนั้น พระองค์มีพระสหายคนหนึ่งที่เมืองเชียงคำและเสด็จมาค้างแรม ณ เรือนพระสหายบ่อยครั้ง ครั้งสุดท้ายมีจิตปฏิพัทธิ์ในภรรยาของพระสหายจนถึงเสียสัตย์ละเมิดศีลเป็นชู้แก่กันและกัน ต่อมาพระองค์ลงสรงน้ำในแม่น้ำคำ ถูกจระเข้กัดถึงสิ้นพระชนม์ชีพ (สงวน โชติสุขรัตน์,๒๕๑๕:๒๖๕)
อย่างไรก็ตามเมืองพะเยาในสมัยล้านนามีความสำคัญไม่น้อยเพราะกษัตริย์ มักส่งเชื้อพระวงศ์ระดับสูงมาปกครอง เช่นในสมัยพญาสามฝั่งแกน (พุทธศักราช ๑๙๔๕-๑๙๘๔) ได้ส่งอาว์ผู้ช่วยเหลือให้พระองค์ได้ขึ้นครองราชย์มาปกครองเมืองพะเยา เพื่อเป็นการตอบแทนความชอบในครั้งนั้น และกำหนดให้ตำแหน่งเจ้าเมืองพะเยาเป็น “เจ้าสี่หมื่น” และในสมัยพระเจ้าติโลกราช (พุทธศักราช ๑๙๘๔-๒๐๓๐) ได้ให้ความชอบแก่พระยายุทธิษฐิระอดีตเจ้าเมืองสิงแควซึ่งเข้ามาสวามิภักดิ์ด้วยการยกให้ครองเมืองพะเยา ผู้ครองเมืองพะเยาจึงเป็นเจ้านายหรือขุนนางใกล้ชิดกษัตริย์
ยุทธิษฐิระ จากสุโขทัยครองเมืองพะเยา : ยุครุ่งเรืองเมืองพะเยา
พระเจ้าติโลกราชมหาราชแห่งล้านนา ใช้เมืองพะเยาเป็นฐานกำลังขยายอำนาจเข้าครอบครองเมืองแพร่และเมืองน่าน รวมทั้งทำสงครามกับสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถแห่งกรุงศรีอยุธยา (ครองราชย์พุทธศักราช ๑๙๙๑-๒๐๓๓) เพื่อชิงดินแดนแคว้นสุโขทัย
ยุทธิษฐิระ(หรือยุทธิษเฐียร) เป็นบุตรของพระยาราม (ภายหลังได้เป็นพระยาเชลียง) และเป็นนัดดากษัตริย์แคว้นสุโขทัยพระนามศรีสุริยวงศ์บรมปาลมหาธรรมราชาธิราช นับว่ายุทธิษฐิระมีเชื้อสายราชวงศ์พระร่วง ก่อนที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถจะเสด็จเสวยราชสมบัติเป็นกษัตริย์จะตั้งยุทธิษฐิระเป็นอุปราช แต่เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์แล้วโปรดให้ตั้งเป็นพระยาสองแควครองอยู่ที่เมืองพิษณุโลกเท่านั้น ทั้งนี้อาจจะทรงเห็นว่ากษัตริย์เมืองสุโขทันสมัยหลัง ๆก็ประทับอยู่เมืองนี้ และพระองค์เองเมื่อทรงเป็นอุปราชก็เคยประทับอยู่ที่เมืองนี้ด้วย แต่ยุทธิษฐิระไม่พอใจ ทำให้เกิดความขัดแย้งกับสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถอย่างรุนแรง
ราวพุทธศักราช ๑๙๔๔ ยุทธิษฐิระลอบส่งสาส์นไปทูลพระเจ้าติโลกราชขอขึ้นกับเชียงใหม่ ทั้งนัดหมายให้พระเจ้าติโลกราชยกทัพมาตีเมืองปากยม เมืองสุโขทัย และเมืองชากังราวได้สำเร็จ เมื่อยกทัพกลับยุทธิษฐิระจึงอพยพครอบครัวเมืองพิษณุโลกไปเข้าด้วยกับพระเจ้าติโลกราช และช่วยราชการสงครามทำประโยชน์ให้ฝ่ายล้านนา พระเจ้าติโลกราชจึงให้ยุทธิษฐิระไปครองเมืองภูคา ต่อมาให้ครองเมืองพะเยา และควบคุมเมืองแพร่กับเมืองน่านอันเป็นเขตแดนประชิดแคว้นสุโขทัยทางแม่น้ำยมและแม่น้ำน่าน
การที่ยุทธิษฐิระได้ครองเมืองพะเยาและมีผลประโยชน์เหนือเมืองแพร่ เมืองงาว และแคว้นกาวน่านนั้น เนื่องจากขณะนั้นเพิ่งจะรวมเอาดินแดนทั้งสามมาอยู่กับล้านนาไม่ได้นาน ยุทธิษฐิระจึงเท่ากับเป็นแผนการปกครองที่เพิ่งได้มาใหม่ของพระเจ้าติโลกราชอย่างชาญฉลาด (พิเศษ เจียจันทร์พงษ์ : ๒๕๓๘) เมื่อเป็นเจ้าเมืองพะเยาแล้ว ยุทธิษฐิระได้สร้างเมืองพะเยาแห่งใหม่ สร้างวัดป่าแดดหลวง สร้างพระพุทธรูปแก่นจันทร์มาประดิษฐาน นอกจากนั้นยังเชื่อกันอีกว่าได้อันเชิญรอยพระพุทธบาทมาจากแคว้นสุโขทัยด้วย
สร้างเมืองพะเยาแห่งใหม่และยุทธิษฐิระถูกปลด
เรื่องยุทธิษฐิระครองเมืองพะเยามีศิลาจารึก (ทะเบียน ลพ.๒๔) จารึกขึ้นเมื่อพุทธศักราช ๒๐๑๗ เล่าถึงเจ้าสองแควเก่าซึ่งหมายถึงยุทธิษฐิระได้บรรดาศักดิ์เป็นเจ้าสี่หมื่นเมืองพะเยาและพระเจ้าติโลกราชยกขึ้นเป็นลูกครั้งนั้น จารึกเล่าว่ายุทธิษฐิระมาสร้างบ้านหนองเต่าให้เป็นที่อยู่ใหม่และมีจารึกพะเยาหลักหนึ่ง (ทะเบียน พย.๔๕) บอกศักราชตรงกับพุทธศักราช ๒๐๒๑ เล่าว่าเจ้าพันหลวงได้นิมนต์พระเถระจากที่ต่าง ๆเพื่อบำเพ็ญกุศล “สมเด็จพระราชาอโสกราช” ได้เสด็จมาสดับพระธรรมธรรมเทศนา จึงอนุโมทนาด้วยกับการบุญของเจ้าพันหลวง
พระนาม “สมเด็จพระราชาอโสกราช” ที่พบในจารึกเมืองพะเยาหลักนี้ ไม่น่าจะหมายถึงผู้อื่นใดนอกเหนือไปจากพระยายุทธิษฐิระผู้ครองเมืองพะเยาขณะนั้น (โดยใช้นามที่เจ้านายสุโขทัยนิยมใช้กัน) อาจกล่าวได้ว่าขณะนั้นพระยายุทธิษฐิระมีอำนาจค่อนข้างมากทางฟากตะวันออกของแคว้นล้านนา อำนาจของท่านครอบคลุมตั้งแต่ใต้เมืองเชียงรายลงมาตลอดไปจนสุดแคว้นล้านนาตะวันออก ชนกับเขตแดนของแคว้นสุโขทัยหรืเมืองเหนือของกรุงศรีอยุธยา การเรียกตัวเองว่าเป็นสมเด็จพระราชาอโสกราช จึงเป้นการยกย่องกันเองในกลุ่มของพระยายุทธิษฐิระ และเหล่าบริวารของพระองค์
การยกย่องตัวเองขึ้นเป็นสมเด็จพระราชาอโสกราชของพระยายุทธิษฐิระนั้นไม่น่าจะเป็นผลดีต่อพระองค์ เพราะเรื่องราวที่น่าสนใจในปีถัดมา คือ พุทธสักราช ๒๐๒๒ หนังสือชินกาลมาลีปกรณ์ เล่าว่าในปีนั้นพระเจ้าติโลกราชได้ทราบข่าวเกี่ยวกับพระแก่นจันทร์ ซึ่งพระยายุทธิษฐิระได้มาตั้งแต่ พุทธศักราช ๒๐๐๐ และประดิษฐานอยู่ที่วัดดอนไชย (วัดป่าแดดหลวงดอนไชยบุนนาคปัจจุบัน) จึงโปรดอันเชิญให้มาประดิษฐานที่วัดอโสการามเมืองเชียงใหม่ เหตุการณ์นี้ไม่ควรมองข้ามไปแต่น่าจะมีความหมายอันเป็นนัยสำคัญอยู่ด้วย
ในการอันเชิญพระพุทธรูปแก่นจันทร์มาเมืองเชียงใหม่นั้น พงศาวดารโยนกกล่าวว่าได้นำมาโดยผ่านทางเมืองน่าน เมืองแพร่ เขลางค์ ลำพูน เชียงใหม่ ซึ่งเป็นเส้นทางที่อ้อมลงใต้แล้ววกขึ้นเหนือ ซึ่งมีเส้นทางอื่นที่ตรงกว่าไปน่านกับแพร่ก็ได้ แต่เมื่อพิจารณาว่าเมืองน่าน เมืองแพร่ นั้นคือขอบเขตอำนาจของพระยายุทธิษฐิระแล้วการนำพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองพะเยาออกตระเวนณโดยใช้เส้นทางดังกล่าวนั้น ก็เพื่อประกาศพระราชอำนาจของพระเจ้าติโลกราชแห่งเมืองเชียงใหม่ว่า ทรงมีอำนาจอยู่เหนือพระยายุทธิษฐิระอย่างแท้จริง และศูนย์อำนาจของล้านนานั้นอยู่ที่พระองค์เพียงผู้เดียว
จารึกวัดป่าเหียง (ทะเบียน พย.๕) พุทธศักราช ๒๐๒๖ ที่มีความตอนท้ายกล่าวว่า “ลูกพระเป็นเจ้า” มาดูการฝังฤกษ์เพื่อนำความเจริญสวัสดีมาสู่พระเจ้าแผ่นดิน คำว่า “พระเป็นเจ้า” นั้นหมายถึงกษัตริย์เชียงใหม่คือพระเจ้าติโลกราช ดังนั้นลูกพระเป็นเจ้าจึงหมายถึงยุทธิษฐิระที่พระเจ้าติโลกราชยกขึ้นเป็นลูก และการที่จารึกไม่ใช้คำที่เป็นตำแหน่งหรือนามบรรดาศักดิ์เหมือนที่เคยใช้นั้นแสดงว่าขณะนั้นพระยายุทธิษฐิระถูกปลดจากการเป็นเจ้าเมืองพะเยาแล้ว และถูกคืนนามบรรดาศักดิ์ด้วย ซึ่งนับว่ายังดีที่ไม่ถูกฆ่า
เมืองพะเยาก็เช่นเดียวกับเมืองอื่น ๆในแคว้นล้านนาที่เจริญรุ่งเรืองสูงสุดทางศิลปะและวิทยาการในช่วงเวลาประมาณ ๑๐๐ ปี ระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๒๑ (หรือหลังพุทธศักราช ๒๐๐๐) ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๒ (หรือหลังพุทธศักราช ๒๑๐๐) หรืออาจกล่าวอีกอย่างหนึ่งได้ว่ายุครุ่งเรืองของเมืองพะเยาเริ่มที่ยุคพระยายุทธิษฐิระเป็นเจ้าครองเมือง แล้วสิ้นสุดลงก่อนที่แคว้นล้านนาจะถูกพม่ายึดครองเมื่อพุทธศักราช ๒๑๐๑ ซึ่งมีการรวบรวมลำดับเจ้าเมืองพะเยาจากจารึกพะเยา และตำนานพงศาวดารล้านนาฉบับอื่น ๆที่ได้ตรวจสอบแล้วว่ามิได้ซ้ำกับที่กล่าวในจารึก โดยเริ่มจากพระยายุทธิษฐิระ (ปีพุทธศักราชที่ลงไว้เป็นการประมาณทั้งสิ้น) ดังต่อไปนี้
พุทธศักราช ๑๙๙๔-พ.ศ.๒๐๒๒ พระยายุทธิษฐิระ
พุทธศักราช ๒๐๒๒-พ.ศ.๒๐๓๑ นาง(เจ้า)หมืนหรือนางเมืองพะเยา
พุทธศักราช ๒๐๓๓-พ.ศ.๒๐๓๖ เจ้าหมื่นสี่พะเยา ผู้เป็นปู่เลี้ยงพระเจ้ายอดเชียงราย (เจ้าเมืองยี่) และกลับมากินเมืองพะเยาอีกครั้งใน พ.ศ.๒๐๓๙
พุทธศักราช ๒๐๓๖-พ.ศ.๒๐๓๙ เจ้าหมื่นพะเยา ผู้เป็นราชครูของพระเจ้ายอดเชียงราย
พุทธศักราช ๒๐๔๕-พ.ศ.๒๐๕๒ เจ้าแสนญาณกัลยา
พุทธศักราช ๒๐๕๖-พ.ศ.๒๐๕๘ เจ้าเมืองจิต
พุทธศักราช ๒๐๕๘-พ.ศ.๒๐๕๙ เจ้าเมืองสร้อยพะเยา
พุทธศักราช ๒๐๕๙-พ.ศ.๒๐๖๐ เจ้าเมืองผาง
พุทธศักราช ๒๐๖๐-พ.ศ.๒๐๖๒ เจ้าคำยอดฟ้า
พุทธศักราช ๒๐๖๒-พ.ศ.๒๐๖๔ เจ้าพระยาหน่อเชียงแสน
พุทธศักราช ๒๐๖๔-พ.ศ.๒๐๗๘ เจ้าขุนเชียงคง
พุทธศักราช ๒๐๗๘-พ.ศ.๒๑๐๑ พระยาเมืองตู้
พุทธศักราช ๒๑๐๑ เสียเมืองเชียงใหม่แก่พม่า
สมัยพม่าปกครองล้านนา : เมืองร้างและร่วงโรย
ดังกล่าวข้างต้นแล้วว่าพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของเมืองจะเชื่อมโยงคู่กับอาณาจักรล้านนา ความเสื่อมของอาณาจักรล้านนาเกิดขึ้นในปลายสมัยราชวงศ์มังราย จนกระทั่งตกเป็นเมืองขึ้นของพม่าในปีพุทธศักราช ๒๑๐๑ ทำให้บ้านเมืองทั้งหลายต่างทรุดโทรม รวมถึงเมืองพะเยาด้วย เป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของประวัติศาสตร์ล้านนา เพราะหมายถึงเสียเอกราชล้านนาตลอดไป อาณาจักรล้านนาที่เคยรวบรวมเมืองเล็กเมืองน้อยไว้ด้วยกันอย่างหลวม ๆ โดยอาศัยความผูกพันในระบบเครือญาติและความเชื่อได้แตกสลายลงสิ้นเชิงเมื่อราชวงศ์มังรายสิ้นอิสรภาพลง พม่าปกครองล้านนาถึงสองร้อยปี นับตั้งแต่พระเจ้าบุเรงนองครองอำนาจ (พุทธศักราช ๒๑๐๑-๒๓๑๗)
ในสมัยราชวงศ์มังราย เมืองเชียงรายมีฐานะเป็นเมืองอุปราชและเป็นศูนย์กลางของกลุ่มเมืองในเขตตอนบนของล้านนา (ที่ราบลุ่มแม่น้ำกก) ในสมัยพม่าปกครองเชียงรายมีความสำคัญรองจากเชียงแสน เพราะที่ตั้งเมืองเชียงแสนอยู่ใกล้ด้านพม่ามากกว่าเชียงราย ดังนั้นตั้งแต่พุทธศักราช ๒๒๔๔ เป็นต้นมา พม่าให้เชียงแสนเป็นศูนย์กลางทางตอนบนของล้านนาขึ้นตรงกับพม่า (เชียงใหม่เป็นศูนย์กลางของล้านนาทางตอนล่าง) และในพุทธศักราช ๒๒๗๖ เมืองแพร่ น่าน ลำปาง ฝาง เมืองสาด เมืองเชียงของ และเมืองเทิงทั้งหมดต่างขึ้นต่อเชียงแสน แม้ว่าเมืองเชียงรายมีความสำคัญเป็นรองเมืองเชียงแสน แม้ว่าเมืองเชียงรายมรความสำคัญเป็นรองเชียงแสน แต่เมืองเชียงรายก็ไม่ได้ขึ้นอยู่ต่อเชียงแสน เมืองเชียงรายมีบทบาทสำคัญในสมัยเจ้าฟ้าหลวงเมืองแพนกินเมืองเชียงราย (ประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๒) เพราะกษัตริย์พม่าให้เมืองเชียงรายมี่อำนาจครอบคลุมเมืองพะเยา เมืองพาน เมืองเทิง เมืองชลาว และเมืองลอ หากเชียงรายมีศึกสงคราม จะสามารถเรียกระดมกองทัพจากเมืองดังกล่าวได้
ในช่วงวุ่นวายนี้เอกมารบางเล่มกล่าวว่าชาวเมืองพะเยาถูกกวาดต้อนไปยังหงสาวดีและบางเล่มระบุว่าถูกกวาดต้อนไปยังเมืองเวียงจันทร์ ดังพงศาวดารเมืองเงินยางเชียงแสนเล่าไว้ตอนหนึ่งว่า
“ต่อมาถึงปีจอ ทศศก ลาวอยู่เมืองหงสากบฏ ต่อมาฟ้าอิเม พากันหลบหนีมาถึงลำพูน แล้วมาพบเพื่อนที่แตกกันมาอยู่ตามบ้านน้อยเมืองใหญ่ พากันมาเมืองพะเยามากทั้งสิ้น ถึงเดือน ๖ ขึ้น ๘ ค่ำ ก็พาพวกพะเยาหนีไปเมืองจันมิได้เหลือสักคน พวกที่รักษาวัดศรีโคมคำพระประธานองค์ใหญ่ ก็พาเอาพงศาวดารโบราณวัดศรีโคมคำ ทุ่งเอี้ยง เมืองพะเยา ไปตกอยู่เมืองจันทบุรีได้นานนัก ชาวจันทบุรีก็ได้ถามพวกที่รักษาวัดพระปฏิมากรองค์ใหญ่นั้นยังบริบูรณ์ดีอยู่หรือว่าทรุดโทรมบ้าง พวกเหล่านั้นก็มิได้รู้ร้ายดีสักคน และชาวจันทบุรีได้คัดสำเนาพงศาวดารฉบับนี้แล้ว ให้หมื่นอุตระเชียงของเอามาไว้ให้ปรากฏแก่ฝูงชนทั้งหลายในเมืองพะเยาเพื่อจะใช้กว้างขวางต่อไปข้างหน้า” ด้วยเหตุเองที่ฐานะและความสำคัญของเมืองพะเยาจึงหายจากดินแดนล้านนาราวกับร้างผู้คนไป จนกระทั่งกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าเมื่อพุทธศักราช ๒๓๑๐
ในช่วงล้านนาตกเป็นเมืองขึ้นของพม่าอยู่นั้นได้มีความเคลื่อนไหวเพื่อจะเป็นเมืองอิสระจากพม่า เช่น พระเมืองไชย เมืองลำพูน ฟื้นม่านเบอะเกียะคามุณี (พุทธศักราช ๒๓๐๘) ต่อมากษัตริย์พระพม่ายกมาปราบ ส่วนพะเยาได้ร่วมกับพญามังเชียงรายต่อต้านพม่า แต่ไม่สำเร็จหนีเข้าไปพึ่งเจ้ากาวิละเมืองลำปาง ในพุทธศักราช ๒๓๒๓ ความเคลื่อนไหวของกลุ่มต่าง ๆ จะมีความหลากหลาย และต่างกลุ่มก็กระทำกันไปเองไม่ยึดความร่วมมือกัน และจำเป็นต้องปกป้องท้องถิ่นให้ปลอดภัยเป็นสำคัญ บางครั้งก็สู้รบกันเอง บางครั้งก็สู้รบกับพม่า สภาพล้านนาจึงเกิดจลาจลเป็นศึกอยู่ทั่วไป
เมื่อพระเจ้าบุเรงนองสิ้นพระชนม์ อำนาจของพม่าซึ่งปกครองที่เมืองเชียงใหม่ก็อ่อนแอลง เพราะบ้างครั้งก็ถูกกองทัพจากกรุงศรีอยุธยามารบกวนซ้ำอีก ทำให้บ้ายเมืองต่าง ๆในดินแดนล้านนาคิดตั้งตัวเป็นอิสระแล้วแย่งชิงกันเป็นใหญ่จนเกิดความวุ่นวายทั่วไป
พุทธศักราช ๒๓๑๗สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรียึดเมืองเชียงใหม่สำเร็จ จึงโปรดเล้สให้เจ้ากาวิละเป็นเจ้าเมืองลำปางซึ่งเป็นฐานที่มั่นของฝ่ายไทย เพื่อต่อต้านพม่าที่ยังยึดครองดินแดนล้านนาบางส่วน
พุทธศักราช ๒๓๓๐ ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ครั้งนั้นเมืองเชียงแสน ยังอยู่ในอำนาจพม่าและฝ่ายพม่าส่งกองทัพมาสมทบเข้ามาตีเมืองฝางได้ แล้วให้ปราบปรามบ้านเล็กเมืองน้อยอื่น ๆ ต่อไป เป็นเหตุให้เจ้าเมืองฝ่ายล้านนาต่างลี้ภัยอพยพครัวเรือนหนีไปอยู่เมืองลำปาง เอกสารระบุว่ามีชาวเมืองพะเยาจำนวนหนึ่งได้หนีลงไปเมืองลำปางด้วย ดังพงศาวดารเมืองเงินยางเชียงแสนบันทึกไว้ว่า
“เมื่อศักราช ๑๑๔๙ ปีมะแม นพศก ขณะนั้นเมืองพะเยา เมืองเชียงราย เมืองฝาง เมืองปุ เมืองสาด เมืองปาย ๖ หัวเมืองนี้คิดกบฏต่อพม่า แล้วเมืองพะเยามิสมนึก เมืองพะเยาก็แตก เจ้าฟ้าเมืองผู้ปกครองเมืองพะเยาก็หลบตัวมาอยู่ที่นครลำปาง ได้ไปนอบน้อมรับเอาราชการพระเจ้ากรุงสยาม”
พระธรรมวิมลโมลีอ้างถึงบันทึกของพ่อเจ้าหนานเลาแก้ว ศีติสาร อดีตปลัดธรรมการเมืองพะเยาความตอนหนึ่งว่า ครั้งนั้นครอบครัวชาวเมืองเชียงรายไปตั้งบ้านเรือนอยู่ฝั่งซ้ายของแม่น้ำวัง ตรงบ้านเชียงราย หรือที่เรียกกันว่าบ้านห้าแยกเชียงรายมาจนถึงบัดนี้ และได้ร่วมกันสร้างวัดโดยถือเอาตามนามเมืองเดิมที่มาจากเชียงรายว่า “วัดเชียงราย” มาจนบัดนี้ฝ่ายครอบครัวชาวเมืองปุ เมืองสาด มาตั้งบ้านเรือนอยู่บ้านเมืองสาดหรือวัดเมืองสาดมาจนทุกวันนี้ ส่วนพระยาสุรินทร์ เจ้าเมืองฝางและพระยาเมืองพร้าวตั้งบ้านเรือนอยู่ทางฝั่งขวาของแม่น้ำวัง ตรงบ้านปงสนุกด้านเหนือพะเยาได้อพยพไปตั้งหลักแหล่งอยู่ที่บ้านปงสนุกด้านใต้ ฝั่งขวาของแม่น้ำวัง คือบ้านปงสนุกในปัจจุบันหมายเหตุ พุทธศักราช ๑๘๘๑ พระเจ้าฟู เชียงแสน สมคบกับพระยากาวน่านรวมรี้เข้าตีเมืองพะเยา ในรัชสมัยขุนคำลือ
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์: ยุคฟื้นฟู
การฟื้นฟูเมืองพะเยาในสมัยรัตนโกสินทร์ เข้าใจว่าฟื้นฟูจากสภาพเมืองร้างอันเป็นเมืองที่ติดต่อกับกว๊านพะเยาซึ่งมีสภาพที่ตั้งเหมาะสมหว่าเมืองรูปน้ำเต้าที่อยู่ถัดไป เมืองพะเยาใหม่มีคูน้ำคันดินสามด้าน ด้านตะวันตกที่ติดกับกว๊านคงจะไม่มีคูน้ำคันดิน มี ๘ ประตู คือ ๑.ประตูชัยอยู่ทางทิศตะวันออก ๒.ประตูหอกลวงอยู่ทางทิศเหนือ ๓.ประตูเหล็กอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ๔.ประตูท่านางอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ๕.ประตูสลี ๖.ประตูปราสาทอยู่ทางทิศใต้ ๗.ประตูแป้น ๘.ประตูออมปอม (ประตูปู่ยี่) อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ น่าสังเกตุว่าชื่อประตูเมืองทั้ง ๘ ของเมืองพะเยาใหม่นั้น คล้ายกับประตูเมืองรูปน้ำเต้า
หลังจากพม่ายึดครองเมืองแล้ว เมืองพะเยาก็เป็นเมืองร้างเหมือนกับหลายเมืองในล้านนา การฟื้นฟูเมืองพะเยากระทำขึ้นหลังจาการฟื้นฟูเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง ได้อย่างมั่นคงแล้ว กล่าวคือ ในสมัยรัชกาลที่ ๓ เมืองพะเยา เมืองงาว และเมืองเชียงราย ได้รับการตั้งเมืองขึ้นใหม่ในปีพุทธศักราช ๒๓๘๖ เมืองพะเยาและงาวขึ้นกับเมืองลำปาง ส่วนเมืองเชียงรายขึ้นกับเมืองเชียงใหม่
เจ้าเมืองลำปางได้ส่งเชื้อสายของตนมาปกครองพะเยาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๘๗ เจ้าเมืองพะเยาองค์แรก (สมัยรัตนโกสินทร์) คือ เจ้าพุทธวงศ์ ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเป็น “พระยาประเทศอุดร” เมืองพะเยา และตำแหน่งประจำของเจ้าหลวงเมืองพะเยาในเวลาต่อมา
ในสมัยรัตนโกสินทร์เมืองพะเยาที่อยู่ด้านตะวันออกติดกับกว๊านพะเยา มีรูปผังเมืองเป็นสี่เหลี่ยม การเป็นเมืองหน้าด่านย่อมเกี่ยวข้องกับสงครามเสมอ ๆ โดยเฉพาะสงครามเชียงตุงทั้ง ๓ ครั้ง (ครั้งแรกพุทธศักราช ๒๓๙๒, ครั้งที่ ๒ พุทธศักราช ๒๓๙๕, ครั้งที่ ๓ พุทธศักราช ๒๓๙๗)
ชาวเมืองพะเยาต้องถูกเกณฑ์ไปทำสงครามด้วยทุกครั้ง
เมื่อย้ายจากเมืองลำปางคืนมายังเมืองพะเยา พุทธศักราช ๒๓๘๖ นั้น เมืองพะเยามีสภาพเป็นป่ารกร้าง จึงตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ “บ้านสันเมืองเวียงใหม่” จากนั้นก็เกณฑ์ไพร่พลเมืองช่วยกันแผ้วถางบริเวณตัวเมืองพะเยาเก่าเพื่อก่อบ้านสร้างเมืองใหม่ แล้วบูรณะวัดวาอารามเก่า โดยนิมนต์พระสงฆ์มาจากเมืองลำปางมาจำพรรษาด้วย
ลำดับเจ้าเมืองพะเยาที่ได้รับการแต่งตั้งจากกรุงเทพฯ ในพงศาวดารเมืองเงินยาง เชียงแสนมีดังต่อไปนี้
พุทธศักราช ๒๓๘๖ เจ้าหลวงวงศ์ เป็นผู้นำชาวเมืองพะเยามาจากเมืองลำปางแล้วฟื้นฟูเมืองพะเยาขึ้นใหม่ เมื่อพุทธศักราช ๒๓๘๗ เป็นเจ้าเมืองพะเยาจนถึงแก่กรรมเมื่อพุทธศักราช ๒๓๙๑ (ตรงกับรัชกาลที่ ๓)
พุทธศักราช ๒๓๙๒ เจ้าหลวงยศ เป็นเจ้าเมืองพะเยา ถึงแก่กรรมเมื่อพุทธศักราช ๒๓๙๘ (ตรงกับรัชกาลที่ ๓-๔)
พุทธศักราช ๒๓๙๘ เจ้าหลวงบุรีรัตน์ขัตติยวงศา เป็นเจ้าเมืองผู้ครองพะเยา ถึงแก่กรรมเมื่อพุทธศักราช ๒๔๐๓ (ตรงกับรัชกาลที่ ๔)
พุทธศักราช ๒๔๐๓ เจ้าหลวงอริยะ เป็นเจ้าผู้ครองเมืองพะเยาถึงแก่กรรมเมื่อพุทธศักราช๒๔๓๖ (ตรงกับรัชกาลที่ ๕)
พุทธศักราช ๒๔๓๖ เจ้าหลวงมหาชัยเป็นเจ้าผู้ครองเมืองพะเยา ถึงแก่กรรมเมื่อพุทธศักราช ๒๔๔๘ (ตรงกัลป์รัชกาลที่ ๕)
ระยะที่เจ้าหลวงมหาชัยเป็นเจ้าผู้ครองเมืองพะเยานี้ เป็นช่วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้มีการปฏิรูปการปกครองจากแบบเดิมให้เป็นการปกครองแบบ “มณฑลเทศาภิบาล” (เริ่มตั้งแต่ พุทธศักราช ๒๔๓๗ ถึงพุทธศักราช ๒๔๔๙) เมืองพะเยาจึงถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของมณฑลลาวเฉียง ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นมณฑลพายัพ มีที่ว่าการมณฑลอยู่เชียงใหม่ การจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลส่งผลให้มีการต่อต้านทั่วไปซึ่งเรียกกันภายหลังว่า “ขบถ ร.ศ. ๑๒๑” (พุทธศักราช ๒๔๔๕) รวมทั้งเมืองพะเยาก็ได้รับผลกระทบด้วยในเหตุการณ์ “ขบถเงี้ยวเมืองแพร่”
เงี้ยวปล้นเมือง
พวกเงี้ยว (ไทยใหญ่กลุ่มหนึ่ง) ก่อความวุ่นวายขึ้นเมื่อเวลาเช้าตรู่วันที่ ๒๕ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๔๔๕ พกาหม่องนำพรรคพวกเงี้ยวประมาณ ๓๐-๔๐ คน เข้าปล้นเมืองแพร่ก่อน แล้วลุกลามถึงเมืองน่านกับเมืองพะเยา เมื่อเงี้ยวจะเข้าปล้นเมืองพะเยานั้นเจ้าเมืองพะเยารู้ตัวก่อน จึงเก็บกวาดทรัพย์สินไปไว้ในที่ปลอดภัย แล้วอพยพผู้คนไปอยู่นอกเมืองให้ห่างไกลจากความวุ่นวาย พระยาประเทศอุดร (เจ้าหนานไชยวงศ์ ศีติสาร) เจ้าผู้ครองเมืองครั้งนั้นเห็นว่ากำลังตำรวจไม่เพียงพอป้องกันเมือง จึงเร่งไปขอกำลังทหารจากเจ้าผู้ครองเมืองลำปางให้ขึ้นมาปรายปรามพวกเงี้ยวที่กำลังเข้าปล้นเมืองพะเยา
เจ้าผู้ครองเมืองลำปางส่งกองทหารขึ้นมาปราบเงี้ยวจนราบคาบ แต่ผู้นำกองทหารชื่อกัปตันเจนเซ่นถูกพวกเงี้ยวซุ่มยิงตายตรงห้วยเกี๋ยงเหนือบ้านแม่กาโทกหวาก ทางการจึงสร้างอนุสาวรีย์ไว้เป็นอนุสรณ์ เมื่อเงี้ยวหนีไปแล้ว ชาวเมืองพะเยากับมาอยู่ในเมืองตามเดิม แต่ยังหวาดกลัวพวกเงี้ยวอยู่จึงพากันคิดก่อกำแพงไว้ป้องกัน ครั้นจะรอปั้นดินกี่หรืออิฐใหม่ก็เกรงจะไม่ทันการณ์ จึงปรึกษาเห็นพ้องต้องกันว่าให้เอาดินจี่ตามวัดร้างที่อยู่รอบเมืองไปก่อเป็นกำแพงเมือง