พระพุทธรูปหินทราย (พระสีชมพู)

ศิลปะสกุลช่างพะเยา ปางสมาธินั่งบนฐานราบ อายุประมาณพุทธศตวรรษที่ ๒๑-๒๒ ขนาดหน้าตักกว้าง ๔๒ เซนติเมตร สูง ๕๘ เซนติเมตร ขุดพบได้ในตัวเวียงเก่า (เวียงรูปน้ำเต้า) ใกล้กับบริเวณโรงฆ่าสัตว์เก่าของเทศบาลเมืองพะเยา หรือศูนย์กองช่างเทศบาลเมืองพะเยาปัจจุบัน ห่างจากวัดลีประมาณ ๕๐๐ เมตร เป็นสถานที่เดียวกันกับที่พบศิลาจารึกวัดกลาง ระบุปีศักราช พ.ศ.๒๐๓๘

ตามประวัติ พระพุทธรูปหินทราย (สีชมพู) ได้ขุดค้นพบในวัดร้าง ชื่อวัดกลาง ในปี พ.ศ. ๒๕๐๒ นำโดยท่านพระวิมลญาณมุนี เจ้าอาวาสวัดลี พร้อมกับลูกศิษย์ และชาวบ้านจำนวนหนึ่งได้พากันออกสำรวจแหล่งโบราณวัถตุตามเขตตัวเมืองเก่า และได้มาพบซากวัดร้างวัดหนึ่ง ภายในวัดพบพระพุทธรูปหินทรายองค์เล็กจำนวนมาก ส่วนมากจะแตกหักเสียหาย เมื่อทำการสำรวจบริเวณรอบๆ ก็พบพระพุทธรูปฝังอยู่ใต้ดินองค์หนึ่ง จึงพากันขุดขึ้นมา และหลักศิลาจารึกอีกหนึ่งชิ้น จึงนำมาเก็บรักษาไว้ที่วัดลี จากการสังเกตพบว่า เป็นพระพุทธรูปบางสมาธิ พระเกศาเป็นแบบหนามขนุนมนไม่มีโมลี นั่งขัดสมาธิยกเข่าขึ้นเล็กน้อยบนฐานราบ ปลายพระสังฆาฏิตัดตรง เนื้อหินทรายสีปูนขาวธรรมดา มีสีทองติดอยู่ประปราย เมื่อเวลาผ่านไปกลับมีสีชมพูขึ้นมา หลวงพ่อพระวิมลญาณมุนี (ครูบาชื่น) รองเจ้าคณะจังหวัดพะเยา เจ้าอาวาสวัดลี ต.เวียง อ.เมือง จ.พะเยา ได้เก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์เวียงพยาว พระพุทธรูปหินทรายสีชมพูองค์นี้ มีรูปลักษณะสวยงามเนื้อละเอียดและเย็นเมื่อสัมผัส เมื่อดูแสงจะออกเป็นสีชมพู

พระพุทธรูปหินทราย (พระยิ้ม)

เป็นพระพุทธรูปหินทรายปางมารวิชัย ศิลปะสกุลช่างพะเยาอายุประมาณพุทธศตวรรษที่ ๒๑-๒๒ ขนาดหน้าตักกว้าง ๔๖ เซนติเมตร สูง ๖๒ เซนติเมตร มีพระเกสาเป็นแบบหนามขนุน พระโมลีเป็นเปลวเพลิง ประทับนั่งบนฐานราบ เดิมประดิษฐานอยู่ข้างพระธาตุวัดลี ตรงบริเวณด้านทิศตะวันออก เคยมีประวัติว่ามีโจรมาขโมยเอาองค์พระท่านไป แต่ไม่สามารถนำไปได้ไกลเพราะมีน้ำหนักมาก และเกิดความกลัวจึงนำไปวางไว้ บริเวณหน้าสำนักปฏิบัติธรรมดรุณีวิเวกาศรม ซึ่งในตอนนั้นยังเป็นป่ารกร้าง บริเวณใต้ต้นไม่ใหญ่ ชาวบ้านเดินทางมาหาของป่ามาพบเข้า จึงนิมนต์ท่านพระวิมลญาณมุนี เจ้าอาวาสวัดลี ไปดูและอัญเชิญมาประดิฐานไว้ที่เดิมรอบพระธาตุวัดลี ก่อนจะนำมาเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์เวียงพยาววัดลี จากการสังเกตพบว่าเป็นพระพุทธรูปหินทรายแกะสลักปางมารวิชัย ศิลปะล้านนาสกุลช่างพะเยา มีลักษณะสวยงาม

ใบหน้าและปากจะมีลักษณะรูปร่างสวยงามใบหน้าและปากจะมีลักษณะยิ้มอย่างสงบ จมูกโด่ง คิ้วตา ได้รูปแบบสง่างาม และที่สำคัญพบว่าดวงตาที่เป็นมีสีดำมักจะเหลียวมองตามผู้คนที่มาดูชมหลังจากเดินจากไป เมื่อลองพิสูจน์ ก็พบว่า มองตามตัวเราจริงเมื่อเดินจากไปด้านทิศขวามือขององค์พระท่าน นอกจากนั้นเมื่อเดินข้างๆ ก็สังเกตเห็นพระโอษฐ์ (ปาก) ของท่านจะค่อยๆ เปิดออกสร้างความแปลกใจ จนผู้คนที่มาดูเที่ยวชมในพิพิธภัณฑ์ ต่างงงไปตามๆกัน พระวิมลญาณมุนี (ครูบาชื่น) รองเจ้าคณะจังหวัดพะเยา เจ้าอาวาสวัดลี กล่าวว่า พระพุทธรูปองค์นี้ได้เก็บรักษาไว้ที่วัดมาหลายร้อยปีแล้วจนกระทั้งปี พ.ศ.๒๕๕๐ ทางวัดกับนาย ธนเษก อัศวานุวัตร อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยาและหน่วยงานหอจดหมายเหตุ,สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด,ลูกศิษย์ลูกหา,คณะศัทธาชุมชนในเมืองพะเยาและชุมชนวัดลี,ศรีจอมเรือง,เมืองชุม ตลอดจนญาติโยมได้ร่วมแรงร่วมใจ ช่วยกันสร้สงพิพิธภัณฑ์เวียงพยาว ขึ้นมา ภายในวัดลี เพื่อรวบรวมเก็บเอาวัตถุ ศิลปะ วัตถุโบราณที่มีจำนวนมากมายที่ได้รวบรวมเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์เพื่อให้ นักเรียน นิสิต นักศึกษาตลอดจนผู้คนทั่วไปทั้งในและต่างจังหวัดมาเที่ยวดูชมกันจนถึงปัจจุบันโดยไม่มีการเก็บค่าดูชมแต่อย่างใด