กระบวนการ จิตศึกษา ใช้เวลาประมาณ 15- 20 นาทีก่อนเริ่มการจัดการเรียนการสอนในวิชาการต่างๆ โดยส่วนมากนักเรียนทุกคนจะนั่งล้อมเป็นวงกลมและครูอยู่ในวงกลมนั้นด้วย การนั่งจับกลุ่มเป็นวงกลม ครูไม่ได้นั่งสูงกว่า นักเรียนไม่ได้นั่งต่ำกว่า แต่เป็นวงล้อมรอบที่ทุกคนนั่งเสมอกัน และพูดคุยแสดงความคิดเห็นในประเด็นใดประเด็นหนึ่งอย่างเคารพว่านี่คือ ‘ความคิดของเขา’ ไม่ตัดสิน ไม่เยาะเย้ย ไม่ดูแคลน ไม่ใช่แค่ให้ออกความเห็นอย่างเสมอภาค แต่จิตศึกษาออกแบบกระบวนการเพื่อให้ผู้เรียนแตกยอดความคิดด้วยตัวเอง
กระบวนทัศน์ของจิตศึกษา คือ การ “งอกงามสู่ความไม่มี” จะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยสนามพลังบวก จิตวิทยาเชิงบวก และต้องมีกิจกรรมเพื่อฝึกฝน เพื่อให้เกิดผลกับผู้เรียน 3 ระดับคือ
ระดับต้น (พื้นฐาน) คือการฝึกสติ การใคร่ครวญ การเคารพคุณค่าในตัวเองและคนอื่น และเห็นความเกี่ยวเนื่องกัน
ระดับกลาง คือการทำให้เกิดวิจารณญาณเชิงจริยธรรม และนำตัวเองได้ (leading self)
ระดับสูง ผู้ฝึกจะหลุดจากการตัดสิน รู้และเคารพในการ ‘เป็น’ อย่างนั้นของผู้อื่น
จิตศึกษา จะคุยกันเรื่องจริยธรรมว่าด้วยการเลือกตัดสินอย่างมีจริยธรรม เพราะพื้นฐานของจิตศึกษา ประเด็นส่วนใหญ่ที่หยิบยกมาคุยกันให้ชัดคือหมวด ‘จริยธรรม’ (ไม่ใช่ ‘คุณธรรม’)
ความจำเป็นของการขยายความเรื่อง ‘จริยธรรม’ ก็เพื่อในที่สุดแล้วครูและนักเรียนเข้าใจว่า ทุกการเลือก ทุกความเห็น ย่อมขึ้นกับ ‘สภาวการณ์’ ที่ไม่เหมือนกันในแต่ละครั้ง และนี่คือเหตุผลอ้างอิงเบื้องหลังต่อความเชื่อของแต่ละคน
จริยธรรมของจิตศึกษา คือ ‘คือแนวคิดที่ยืดหยุ่น’ และเป็นไปตามสภาวการณ์ ซึ่งสถานการณ์แต่ละครั้งที่ประเดประดังเข้ามาให้คนคนหนึ่งต้องตัดสินใจกับมัน อาจมีเหตุและปัจจัยไม่เหมือนกัน
ต่างกับ คุณธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่กลุ่มคนยึดไว้ในใจและไม่ยืดหยุ่น
หน้าที่ของจิตศึกษาจึงคือการจำลองสถานการณ์ที่เกี่ยวกับ ‘จริยธรรม’ อย่างชัดเจนที่สุดเพื่อให้ผู้เรียนได้ผ่านประสบการณ์ (จำลองทางความคิดและความรู้สึกนั้น) ได้ใคร่ครวญ ได้เข้าใจ และเคารพเรื่องราวการตัดสินทางจริยธรรมผ่านประสบการณ์ของผู้อื่นได้อย่างเบาที่สุด เจ็บปวดเองน้อยที่สุด
คุณลักษณะของผู้เรียนที่บ่งบอกว่าผู้เรียนได้เกิดการก่อรูปของปัญญาภายในขึ้น จากการจัดกิจกรรมจิตศึกษา สังเกตได้จากสิ่งเหล่านี้
- รู้ตัวไวหรือการมีสติ ผู้เรียนสามารถกลับมารู้ตัวเองได้ด้วยตัวเองอยู่เสมอ รู้เท่าทันความคิดหรือ อารมณ์เพื่อให้รู้ว่าต้องหยุด หรือไปต่อกับสิ่งที่กำลังเป็นอยู่ เมื่อมีภาวะรู้ตัวไวก็จะสามารถจัดการอารมณ์ตนเองได
- การมีสัมมาสมาธิ สามารถตั้งใจมั่น จดจ่อเพื่อกำกับให้การเรียนรู้ของตน หรือการทำภาระงาน ของตนเองให้สำเร็จลุล่วงได้ทั้งมีความอดทนทั้งด้านร่างกายและจิตใจ
- การรับรู้อารมณ์และความรู้สึกของตนเอง (รู้ตัว) และผู้อื่นได้อย่างว่องไว และกลับมาอยู่กับ การใคร่ครวญตัวเองได้เสมอๆ
- การเห็นคุณค่าในตัวเอง คนอื่น และสิ่งต่างๆ เพื่อการดำเนินชีวิตอย่างมีเป้าหมายและมีความหมาย ซึ่งการเห็นคุณค่าก็จะนำมาสู่การเคารพสิ่งนั้น
- การอยู่ด้วยกันอย่างภารดรภาพ ยอมรับในความแตกต่าง เคารพและให้เกียรติกัน การมีวินัย มีความรับผิดชอบต่อตนเองและ ส่วนรวม อยู่อย่างพอดีและพอใจได้ง่าย
- การเห็นความสัมพันธ์และเชื่อมโยงระหว่างตนเองกับสิ่งต่างๆ นอบน้อมต่อสรรพสิ่งที่เกื้อกูลกันอยู่
จิตศึกษา ไม่ได้อ้างอิงหลักการจากพุทธศาสนามาโดยตรง
แต่เมื่อลองมาศึกษาหลักการทางพุทธศาสนา โดยได้เทียบเคียงจากหนังสือพุทธธรรม ของ ท่านพระธรรมปิฎก (ขณะนั้น) ขึ้นมาอ่าน พบหลักการสนทนาจากพุทธพจน์ อ่านดูแล้ว ก็คือ การสนทนาด้วย “จิตศึกษา” นั่นเองครับ
"พุทธพจน์" เกี่ยวกับการสนทนา ประกอบด้วยธรรม 5 ประการ ครับ คือ
1. ไม่นึกหมิ่นเรื่องที่เขาพูด
2. ไม่นึกหมิ่นผู้พูด
3. ไม่นึกหมิ่นตัวเอง
4. ใจไม่ฟุ้งซ่าน ฟังธรรม โดยมีจิตหนึ่งเดียว
5. มนสิการโดยแยบคาย(โยนิโสมนสิการ)
ในข้อ 5 ยังมีขยายผลต่อไปอีกว่า
1. มีปัญญา ไม่โง่เง่า
2. ไม่ฟังโดยมีความรู้สึกลบหลู่
3. ไม่ฟังโดยมีจิตแข่งดี
4. ไม่ฟังโดยคอยจ้องจับผิด มีจิตกระทบต่อผู้แสดง
5. ไม่คิดหมายว่าเข้าใจแล้วในสิ่งที่ยังไม่เข้าใจ
นอกจากนั้นท่านพระธรรมปิฎกยังได้แสดงกระบวนการแห่งความเจริญของปัญญา 5 ขั้นตอน ดังนี้ครับ
1. สร้างทัศนคติที่มีเหตุผล ไม่เชื่อหรือยึดถือสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
2. ยินดีรับฟังหลักการ ความเห็นต่างๆ ของทุกฝ่าย ทุกด้าน ด้วยใจเป็นกลาง ไม่ด่วนตัดสิน ไม่ยืนกรานยึดติดแต่สิ่งที่ตนรู้ว่าถูกต้อง
3. เมื่อรับฟังความเห็นต่างๆของผู้อื่นแล้ว นำมาพิจารณา
4. นำสิ่งที่ใจรับมานั้น มาขบคิดทดสอบด้วยเหตุผล
5. ถ้าสงสัยให้รีบถาม
(ทั้ง 5 ข้อนี้ ก็คือ ฟังโดยไม่ตัดสินนั่นเองครับ หรือ ฟังโดยไม่เอา Mental Model ของตัวเองมาเกี่ยวข้อง เรียกว่า ฟังอย่างเปิดใจ )
ท่านพระธรรมปิฎกได้ให้เหตุผลว่า เมื่อกัลยาณมิตรได้ทำหน้าที่ของตนอย่างดีที่สุดแล้ว ก็จะต้องย้ำหน้าที่ของตัวผู้ศึกษาเอง เตือนให้ผู้ศึกษาทำหน้าที่ของตนเองให้ดี ด้วยการฟัง