สับประรดหวาน น้ำตาลขาว มะพร้าวน้ำหอม น้ำผึ้งเดือนห้า น้ำปลากลมกล่อม น้ำทะเลใส น้ำใจโอบอ้อมอารี
คำขวัญประจำจังหวัด
ธงชาติประจำจังหวัด
ชื่อภาษาไทย : ประจวบคีรีขันธ์
ชื่อภาษาอังกฤษ : prachuap khiri khan
ตราสัญลักษณ์ประจำจังหวัด
ศาลามณฑป เป็นสถานที่สำคัญของในจังหวัดและยังมีความเกี่ยวข้องกับทางด้านที่ ประวัติศาสตร์และภูมิประเทศในพื้นที่ โดยรูปศาลามณฑปในตราสัญลักษณ์นี้หมายถึงพระที่นั่งคูหาคฤหาสน์ และยังเป็นศาลาของทรงไทยจะตั้งอยู่ในถ้ำของพระยานครอำเภอสามร้อยยอด พระที่นั่งแห่งนี้ก็สร้างขึ้นในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 และยังถือเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของจังหวัด
นายสิทธิชัย สวัสดิ์แสน
การปกครอง
ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
แบ่งการปกครองออกเป็น 8 อำเภอ ดังนี้
1. อำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์
2. อำเภอกุยบุรี
3. อำเภอทับสะแก
4. อำเภอบางสะพาน
5. อำเภอบางสะพานน้อย
6. อำเภอปราณบุรี
7. อำเภอสามร้อยยอด
8. อำเภอหัวหิน
จังหวัดประจวบคีรีขันธ์เป็นอีกหนึ่งใน 25 จังหวัดภาคกลาง ในประเทศไทย โดยจะมีความยาวจากทิศเหนือจรดทิศใต้ประมาณ 212 กิโลเมตร และชายฝั่งทะเลยาวประมาณ 224.8 กิโลเมตร มีส่วนที่แคบที่สุดของประเทศอยู่ในเขตตำบลคลองวาฬ อำเภอเมือง จากในอ่าวไทยถึงเขตของในแดนพม่าประมาณ 12 กิโลเมตร ระยะทางจากกรุงเทพฯ ตามทางหลวงของแผ่นดินสายเอเชียหมายเลข 4 ถนนในเพชรเกษม ประมาณ 323 กิโลเมตร ใช้เวลาการเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมงเศษ และตามเส้นทางรถไฟสายใต้ ประมาณ 318 กิโลเมตร ใช้เวลาการเดินทางประมาณ 6 ชั่วโมง มีเนื้อที่อยู่ประมาณ 6,367.620 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 3,979,762.5 ไร่ มีอาณาเขต ติดต่อกับจังหวัดใกล้เคียง ทิศเหนือติดจังหวัดเพชรบุรี, ทิศใต้ติดจังหวัดชุมพร, ทิศตะวันตกติดเมียนมาและทิศตะวันออกจะติดอยู่อ่าวไทยมีประชากรประมาณ 560,000 คน แบ่งออกเป็นทั้งหมด 8 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ อำเภอกุยบุรี อำเภอทับสะแก อำเภอบางสะพาน อำเภอบางสะพานน้อย อำเภอปราณบุรี อำเภอหัวหิน อำเภอสามร้อยยอด
ต้นเกด เริ่มต้นขึ้นในเนื่องจากโครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องโอกาสครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี ในปี พ.ศ. 2539 รัฐบาลจึงได้มีจัดกิจกรรมรณรงค์ โครงการขึ้นในวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2537 ณ ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ของในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์จึงได้ทำการเริ่มกำหนดพระราชทานต้นเกดให้เป็นพันธุ์ไม้มงคลแห่งประจำจังหวัด
ภาพโดย ศุภกิจ (2561)
ภาพโดย ปิ่น บุตรี, 2561
สมัยก่อนประวัติศาสตร์
จากการศึกษาค้นคว้าของอาจารย์ชิน อยู่ดี ผู้เชี่ยวชาญด้านโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ พบว่า จังหวัดประจวบคีรีขันธ์เป็นดินแดนซึ่งเคยเป็นที่อยู่อาศัยของชุมชนมาแต่โบราณ และมี ความสำคัญทางด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดีอย่างต่อเนื่องมาหลายยุคสมัย โดยเฉพาะ การค้นพบเครื่องมือเครื่องใช้สมัยหินใหม่ ลักษณะเป็นหินทุบเปลือกไม้ ณ อำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
สมัยประวัติศาสตร์
นับตั้งแต่พุทธศตวรรษที่เป็นต้นมา ความก้าวหน้าในการเดินเรือและการติดต่อทางการค้าระหว่างอินเดียกับจีนเริ่มขยายตัว มากขึ้น ความต้องการสินค้าประเภท ทองคำ เครื่องเทศและของป่า เป็นผลให้ชาวอินเดีย เริ่มเดินทางเข้ามาทำการค้ากับชนพื้นเมือง ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนชาวจีนก็ได้ รับการสนับสนุนจากชนชั้นปกครองให้ติดต่อค้าขายกับชาวต่างชาติ ส่งผลให้คาบสมุทร อินโดจีนและคาบสมุทรมลายูกลายเป็น เส้นทางผ่านและเป็นจุดแลกเปลี่ยนสินค้า อย่างกว้างขวางระหว่างชาวจีน อินเดีย ลังกา อาหรับ เปอร์เซีย กรีกและโรมัน เป็นผลให้ ชุมชนในบริเวณดังกล่าว มีการรวมกลุ่มและ พัฒนาขึ้น
ภาพโดย หน้ากลม, 2565
ภาพโดย หอ มรดก ไทย, (2557)
สมัยอธุยา
ในสมัยอยุธยา จังหวัดประจวบคีรีขันธ์เป็นหัวเมืองปักษ์ใต้ที่อยู่ภายใต้การปกครองของกรุงศรีอยุธยา ประกอบด้วยเมืองสำคัญ ได้แก่ เมืองกุยบุรี เมืองปราณบุรี เมืองบางสะพาน เมืองสิงขร (สิงคอง) เมืองคลองวาฬ และเมืองบางตะพานน้อย ซึ่งมีบทบาทสำคัญทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้า และการทหาร แต่ช่วงปลายสมัยอยุธยา หัวเมืองในประจวบคีรีขันธ์ได้รับผลกระทบจากการศึกกับพม่า โดยเฉพาะในช่วง พ.ศ. 2310 ที่กรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า ทำให้เมืองหลายแห่งกลายเป็นเมืองร้าง เนื่องจากประชาชนต้องหลบหนีการปล้นสะดมของกองทัพพม่าที่ด่านสิงขรเป็นเส้นทางเข้าออก
สมัยธนบุรี
พ.ศ. 2317 มีใบบอกจากเมืองคลองวาฬว่า มีกองทัพพม่าจำนวน 500 คน ยกผ่านเข้ามาทางด่านสิงขร เข้าปล้นบ้านทับสะแก แขวงเมืองกำเนิดนพคุณ เกรงว่าจะขึ้นมาตี ถึงเมืองคลองวาฬ ขอให้ส่งกองกำลังนำไปช่วย แต่ขณะนั้นทางกรุงธนบุรีก็กำลังมีศึกติดพันอยู่ที่ เมืองราชบุรี จึงออกมาช่วยมิได้ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ซึ่งทรงบัญชาการทัพอยู่ ณ เมืองราชบุรี มีรับสั่งให้เมืองกุยและเมืองคลองวาฬทำลายแหล่งน้ำกินน้ำใช้ตามระยะทางที่จะขึ้น มายังเมืองเพชรบุรีเสียทุกแห่ง ต่อมากองทัพพม่าตีได้บ้านทับสะแกและเผาเมืองกำเนิดนพคุณ จากนั้นไปดีเมืองปะทิวตามลำดับ นับตั้งแต่กองทัพพม่าเคลื่อนผ่านด่านสิงขรเข้ามาในครั้งนั้นแล้ว ก็มิได้ใช้เส้นทางนี้อีกเลย
ภาพโดย หอ มรดก ไทย, (2557)
ภาพโดย หอ มรดก ไทย, (2557)
สมัยรัตนโกสินทร์
ในสมัยรัตนโกสินทร์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์มีการเปลี่ยนแปลงด้านการปกครองและยุทธศาสตร์อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การแบ่งหัวเมืองใหม่ การตั้งเมือง การเปลี่ยนชื่อเมือง และการเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญในสงคราม และในพื้นที่ประวัติศาสตร์ที่มีบทบาทในสงครามเพื่อปกป้องเอกราชของชาติซึ่งสะท้อนถึงบทบาททางประวัติศาสตร์และความกล้าหาญของประชาชนในพื้นที่
เมืองประจวบคีรีขันธ์แต่เดิมมีชื่อว่าเมืองนารังแต่หลังจากที่ได้เสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าเมื่อครั้งที่ 2 เมืองนารังได้ถูกทิ้งร้างจนถึงรัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ จึงได้มีการสร้างเมืองใหม่ที่คลองบางนางรมและต่อมาได้ย้ายเมืองไปตั้งใหม่ที่ เมืองกุย ในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้เปลี่ยนชื่อเมืองกุยเป็น เมืองประจวบคีรีขันธ์ แต่ศาลาที่ว่าการเมืองยังคงตั้งอยู่ที่อำเภอกุยบุรีและต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการรวม เมืองปราณบุรี , เมืองประจวบ , และเมืองที่กำเนิดนพคุณเข้าด้วยกันจึงกลายเป็นเมืองเดียวกันและได้พระราชทานนามว่าเมืองปราณบุรี โดยตั้งที่ว่าการเมืองอยู่ที่อ่าวเกาะหลัก ส่วนเมืองปราณบุรีเดิมยังคงมีฐานะเป็นอำเภอภายใต้ชื่อนั้นว่า อำเภอปราณและในสมัยรัชกาลที่ 6 ทรงเห็นว่าชาวบ้านมักเรียกชื่อเมืองปราณสับสนกับเมืองปราณบุรีจึงโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อเมืองปราณบุรีเป็นเมืองประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน
จังหวัดประจวบคีรีขันธ์จะมีรูปแบบการปกครองแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ ดังนี้
1.การปกครองส่วนของภูมิภาค แบ่งการปกครองออกเป็น 7 อำเภอ และ 1 กิ่งอำเภอ
2.การปกครองในส่วนของท้อง แบ่งการปกครองออกเป็น 45 ตำบล และ 419 หมู่บ้าน
3.การปกครองแบบส่วนท้องถิ่น แบ่งการปกครองออกเป็น 1 องค์ การบริหารของส่วนในจังหวัด 15 เทศบาล และ 45 องค์การบริหารในส่วนตำบล
ภายโดย มิตรเอิร์ธ, (2565)
ภาพโดย กรมอุตุนิยมวิทยา, (2563)
จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ตั้งอยู่ระหว่างเส้นรุ้งที่ 10 องศา 59 ลิปดาเหนือ ถึง 12 องศา 18 ลิปดาเหนือ และเส้นแวงที่ 99 องศา 08 ลิปดาตะวันออก ถึง 100 องศา 02 ลิปดาตะวันออก โดยมีอาณาเขตติดต่อ ดังนี้
1.ทิศเหนือ จดเขตอำเภอชะอำและอำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี
2.ทิศใต้ จดเขตอำเภอปะทิว และอำเภอท่าแซะจังหวัดชุมพร
3.ทิศตะวันออก จดอ่าวไทย
4.ทิศตะวันตก จดประเทศสหภาพม่า
จังหวัดประจวบคีรีขันธ์จะมีพื้นที่รวมกันอยู่ทั้งหมด 6,357.62 ตารางกิโลเมตร และมีลักษณะภูมิประเทศเด่นชัด ดังนี้
ด้านทิศตะวันตกมีแนวเทือกเขาตะนาวศรีทอดยาวประมาณ 180 กิโลเมตร
ด้านทิศตะวันออกมีชายฝั่งทะเลติดกับอ่าวไทยยาประมาณ224.8กิโลเมตร
ลักษณะภูมิประเทศของจังหวัดมีลักษณะยาวจากทิศเหนือไปสู่ทิศใต้
พื้นที่กว้างที่สุดอยู่ในเขตอำเภอหัวหินมีความกว้างประมาณ9กิโลเมตร
พื้นที่แคบสุดอยู่เขตอำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์โดยจะมีความกว้าเพียง 10.96 กิโลเมตร
ภาพโดย ช้างชมพูออนทัวร์, (2562)
จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จะมีลักษณะพื้นที่ที่ลาดเอียงจากตะวันตกไปตะวันออก โดยมีเทือกเขาตะนาวศรีทอดยาวจากด้านตะวันตกลงสู่ชายฝั่งอ่าวไทย ฝั่งทางด้านตะวันออกพื้นที่ของจังหวัดมีทั้งเทือกเขาและมีภูเขาที่ตั้งอยู่ตามในชายฝั่งทะเลและตอนกลาง ซึ่งมีความสูงจากระดับน้ำทะเลจะอยู่ระหว่าง 306 เมตร ไปถึง 1215 เมตร พื้นที่ชายฝั่งทะเลมีความสูงเฉลี่ยประมาณ 1-5 เมตร จังหวัดมีเกาะเล็กๆ รวม 24 เกาะ ที่กระจายอยู่ในหลายอำเภอ โดยมีเกาะที่มีประชาชนอาศัยอยู่ เช่น เกาะจาน และเกาะทะลุ พื้นที่ตะวันตกของจังหวัดเป็นป่าที่มีไม้สำคัญ เช่น ไม้ยาง ยูง ตะแบก ตะเคียน จำปา และนาคบุศย์ แหล่งน้ำธรรมชาติที่สำคัญของจังหวัดจะมี 5 สายหลัก ได้แก่ แม่น้ำปราณบุรี , แม่น้ำกุยบุรี , แม่น้ำบางสะพาน , คลองบางนางรม , และคลองกรูด
อ่าวมะนาว
ภาพโดย ถึงไหนถึงกัน, (2558)
อ่าวประจวบ
ภาพโดย นัทชิณา (2564)
แม้จะมีแหล่งน้ำอยู่หลายสายแต่ว่าแหล่งน้ำเหล่านี้โดยส่วนใหญ่ทค่อนข้างตื้นเขิน โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่จะทำให้เกิดปัญหาด้านการเกษตรกรรมพื้นที่ของจังหวัดส่วนใหญ่จะเป็นดินร่วนปนดินทราย เนื่องจากว่าในพื้นที่ติดกับชายทะเลในพื้นที่ตอนใต้นั้นจะมีความอุดมสมบูรณ์มากกว่าพื้นที่ตอนเหนือจนทำให้พื้นที่ตอนใต้เหมาะกับการทำสวนส่วนของพื้นที่ตอนเหนือเหมาะกับการทำไร่
จังหวัดประจวบคีรีขันธ์มีลักษณะอากาศที่ค่อนข้างอบอุ่นและชื้น โดยเฉลี่ยความชื้นอยู่ที่ 77% เนื่องจากใกล้ทะเล อุณหภูมิจะสูงสุดที่ประมาณ 37°C และต่ำสุดในประมาณ 16°C บางปีอาจจะได้รับผลกระทบ จากพายุโซนร้อนที่ก่อตัวในทะเลจีนใต้และรวมถึงการแผ่ของความกดอากาศสูงจากจีนที่ทำให้เกิดฝนตกหนักชองช่วงเดือนตุลาคม ฤดูกาลในจังหวัดมี 3 ฤดู ดังนี้
ฤดูร้อน : กุมภาพันธ์ – พฤษภาคม
ฤดูฝน: มิถุนายน ตุลาคม
ฤดูหนาว: พฤศจิกายน – มกราคม
ปริมาณน้ำฝนในจังหวัดมีความแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ และเดือนที่จะมีฝนตกมากที่สุดคือเดือนตุลาคม โดยจะมีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยอยู่ที่ 406.4 มิลลิเมตร และในเดือนที่มีฝนตกน้อยที่สุดคือ เดือนสิงหาคม ซึ่งมีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยเพียง 47.5 มิลลิเมตร พื้นที่ที่มีโอกาสฝนตกมากกว่า 120 วันต่อช่วงปี ได้แก่ อำเภอทับสะแก , บางสะพาน , และบางสะพานน้อย ส่วนพื้นที่ที่มีฝนตกระหว่าง 80-120 วันต่อปี ได้แก่ อำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ , กุยบุรี , ปราณบุรี , หัวหิน , และสามร้อยยอด
เอกสารอ้างอิง
สำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดประจวบคีรีขันธ์. (2525). โบราณสถานในรอบ 200 ปี แห่งกรุงรัตนโกสินทร์จังหวัดประจวบคีรีขันธ์. เรือนแก้วการพิมพ์
สถาบันราชภัฎบ้านสมเด็จเจ้าพระยา. (2542). หนังสือวัฒนธรรมพัฒนาการทางประวัติศาสตร์เอกลักษณ์
และปัญญา จังหวัดประจวบคีรีขันธ์. สถาบันราชภัฎบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
สำนักงานจังหวัดประจวบคีรีขันธ์. (2557). คู่มือท่องเที่ยวจังหวัดประจวบคีรีขันธ์. จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
กองบรรณาธิการ. (2555). "นายรอบรู้"ประจวบศีรีขันธ์. เอส ทาวเวอร์, กรุงเทพมหานคร
อำนวย ไทยานนท์. ม.ป.ป. ประจวบคีรีขันธ์. องค์การบริหารส่วนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
สมาน บุญเหาะ. (2525). แหล่งสารสนเทศชุมชนในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์. วิทยาลัยครู เพชรบุรี
ข้อมูลท้องถิ่น จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี
38 ม.8 ต.นาวุ้ง อ.เมือง จ.เพชรบุรี 76000
เบอร์โทร : 032-708609