ภาพที่ 8.2 นางปาฏาจารากำลังเพ้อเพราะขาดสติ
ที่มา : พจีรจิต ถนอมทรัพย์, 2551.
ประวัติพระปฏาจาราเถรี
ปฏาจารา เป็นธิดาของเศรษฐีชาวเมืองสาวัตถี แคว้นโกศล บิดามารดาเป็นคนมั่งคั่งร่ำรวยนางจึงได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี นางเป็นหญิงรูปร่างงดงามแต่นางหลงรักชายคนใช้ของนางเอง เมื่อบิดามารดาจะหาชายหนึ่งในชนชั้นเดียวกันมาแต่งงานด้วย นางจึงนัดแนะให้คนใช้พาหนีแล้วไปสร้างบ้านเรือนอยู่อาศัยในชนบทอันทุรกันดารแห่งหนึ่ง เริ่มแรกชีวิตในชนบทปฏาจารามีความสุขมากเพราะได้อยู่ใกล้ชิดกับชายคนรัก เวลาผ่านไปไม่นานนางก็ตั้งครรภ์ ในเวลาใกล้คลอดนางมีความกังวลใจเพราะไม่มีบิดามารดาและญาติอยู่ใกล้ นางจึงขอร้องให้สามีพากลับไปหาบิดามารดา เมื่อสามีปฏิเสธการขอร้องเพราะกลัวเกรงบิดามารดาของนางจะเอาโทษ นางจึงตัดสินใจหนีออกจากบ้านเพียงลำพัง นางคลอดบุตรคนแรกในระหว่างทาง เมื่อสามีตามไปพบเข้าได้ชี้แจงเหตุผลต่างๆ จนพานางกลับบ้านได้สำเร็จ ในเวลาต่อมาปฏาจาราตั้งครรภ์อีกเป็นครั้งที่สองและขอร้องสามีเหมือนครั้งก่อน เมื่อสามีปฏิเสธคำขอร้องเหมือนครั้งที่แล้ว นางจึงพาบุตรน้อยผู้กำลังหัดเดินหนีออกจากบ้าน ในระหว่างทางนางปวดท้องอย่างรุนแรงเพราะกำลังจะคลอดบุตรและฝนได้ตกลงมาอย่างหนัก
สามีตามไปพบนางกำลังดิ้นทุรนทุรายอยู่ท่ามกลางสายฝนจึงไปตัดไม้เพื่อมาทำที่กำบังฝนชั่วคราว แต่เขาถูกงูพิษร้ายกัดถึงแก่ความตาย ปฏาจาราคลอดบุตรด้วยความยากลำบาก แล้วนางอุ้มทารกและจูงบุตรน้อยตามไปพบศพสามีจึงมีความเศร้าโศกเสียใจมาก นางตัดสินใจจะพาบุตรไปหาบิดามารดาในเมือง เมื่อมาถึงลำธารใหญ่ที่น้ำกำลังไหลเชี่ยว นางไม่อาจพาบุตรข้ามน้ำพร้อมกันได้ จึงให้บุตรคนโตยืนรอที่ฝั่งข้างหนึ่ง แล้วนางก็อุ้มทารกแรกเกิดเดินข้ามน้ำไปอีกฝั่งหนึ่ง
หลังจากจัดแจงวางทารกน้อยไว้ในที่อันเหมาะสมแล้วนางได้เดินข้ามน้ำเพื่อกลับมารับบุตรคนโต ในขณะที่นางกลับมาถึงกลางน้ำนางเห็นเหยี่ยวตัวหนึ่งกำลังบินโฉบลงเพื่อจิกทารกเพราะมันเข้าใจว่าเป็นก้อนเนื้อ นางจึงยกมือขึ้นไล่เหยี่ยวแต่ก็ไม่อาจช่วยชีวิตทารกน้อยได้เพราะเหยี่ยวมองไม่เห็นอาการที่นางขับไล่จึงเฉี่ยวลูกน้อยไป บุตรคนโตมองเห็นนางยกมือขึ้นทั้งสองข้างเข้าใจว่ามารดาเรียกตนจึงก้าวลงสู่แม่น้ำอันเชี่ยวและถูกน้ำพัดพาหายไป ปฏาจาราสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างในเวลาใกล้กันแต่นางยังยั้งสติได้ นางเดินร้องไห้เข้าสู่เมืองสาวัตถี และได้ทราบข่าวจากชาวเมืองคนหนึ่งในระหว่างทางว่าลมฝนได้พัดเรือนบิดามารดาของนางพังทลายและเจ้าของเรือนก็ตายไปด้วย เมื่อนางทราบข่าวนี้นางไม่อาจตั้งสติได้ นางสลัดผ้านุ่งทิ้งแล้ววิ่งบ่นเพ้อด้วยร่างกายอันเปล่าเปลือยเข้าไปในพระวิหารเชตวัน ในขณะที่พระพุทธเจ้ากำลังทรงแสดงธรรมอยู่ท่ามกลางบริษัท ประชาชนเห็นนางแล้วร้องบอกกันว่า คนบ้าๆ อย่าให้เข้ามา พระพุทธเจ้าตรัสว่า ปล่อยให้นางเข้ามาเถิด แล้วตรัสให้นางได้สติ นางกลับได้สติดังเดิม ใครคนหนึ่งในที่ประชุมนั้นโยนผ้าให้นางนุ่งห่ม แล้วพระพุทธเจ้าทรงดำรัสปลอบโยนนางก็มีกำลังใจขึ้นมาและเข้าใจธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอนโดยสรุป จึงบรรลุมรรคผลชั้นโสดาบันจากนั้น นางได้กราบทูลขอบวชเป็นพระภิกษุณี
หลังจากบวชแล้วไม่นาน พระภิกษุณีปฏาจารา ได้ตักน้ำจากหม้อสำหรับบรรจุน้ำล้างเท้ามาล้างเท้าของตน เมื่อเทน้ำราดเท้าครั้งหนึ่งน้ำไหลจากหลังเท้าลงดิน ซึมแผ่ออกไปแล้วก็หมดลง ตักอีกกระบอกหนึ่งเทล้างเท้า น้ำก็ไหลลงดินแผ่วงกว้างออกไปแล้ว ครั้งที่สามน้ำก็แผ่วงกว้างออกไปแล้วหยุดแผ่ พระภิกษุณีปฏาจาราเทียบกับชีวิตของตนว่า ชีวิตเหมือนน้ำล้างเท้า น้ำแผ่ซึมครั้งแรกเหมือนชีวิตลูกน้อยของตนเกิดและอยู่ในโลกไม่ทันไรก็หยุดเคลื่อนไหวตายจากโลก น้ำแผ่ซึมครั้งที่สองเหมือนอดีตสามีกำลังหนุ่มก็ตายจากโลกเพราะถูกงูกัด และน้ำซึมแผ่ครั้งที่สามเหมือนบิดามารดาและพี่ชายตายเมื่ออายุมาก เมื่อนางพิจารณาเช่นนี้ พระพุทธเจ้า ก็ได้แสดงธรรมให้นางทราบความจริงว่า ความคิดของเธอถูกต้องแล้ว เพราะว่าสัตว์ทั้งหลายมีความตายเป็นธรรมดา ฉะนั้นคนที่เกิดมาแล้วจะต้องพบกับความเสื่อมของชีวิตร่างกาย แม้ว่าชีวิตจะอยู่เพียงขณะหนึ่ง ระยะหนึ่ง ก็คงประสบความเสื่อมอยู่นั่นเอง แต่ว่าค่าของชีวิตคนนั้นไม่ได้อยู่ที่ว่าเกิดมานานหรือว่าเกิดมาน้อย เพราะคนเราแม้มีชีวิตอยู่ตั้ง 100 ปี แต่ถ้าไม่เห็นความเสื่อมของร่างกายแล้ว ก็สู้คนที่มีชีวิตอยู่เพียงวันเดียว แต่เห็นความเสื่อมของร่างกายไม่ได้ นางได้พิจารณาตามไป ก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ในวันนั้นเอง หลังจากบรรลุพระอรหันต์แล้ว ท่านได้นำหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าและประสบการณ์ของท่านมาสอนภิกษุณีและสตรีทั้งหลายที่มีปัญหาในชีวิตอยู่เสมอ
พระปฏาจาราเถรีมีความสนใจในพระวินัยเป็นพิเศษ ตั้งใจศึกษาพระวินัยจนมีความรู้ความเชี่ยวชาญ ได้รับแต่งตั้งในตำแหน่งเอตทัคคะ (เป็นเลิศกว่าผู้อื่น) นางเป็นผู้ทรงพระวินัย เป็นกำลังในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ดำรงอยู่ในภาวะภิกษุณีจนพอสมควรแก่อายุขัยแล้วก็นิพพาน
คุณธรรมที่ควรถือเป็นแบบอย่าง
1. เป็นผู้มีความตั้งใจจริง มนุษย์ยังมีกิเลส ทุกคนย่อมมีความผิดพลาดในชีวิต ถ้าใครผิดพลาดแล้วไม่ยอมแก้ไขปล่อยให้เลยตามเลย เป็นสิ่งไม่ควรทำไม่ดี แต่ถ้าใครกลับตัวและประพฤติตนให้เป็นคนดีได้ ย่อมเป็นบุคคลที่น่านับถือยกย่องเช่นเดียวกับพระปฏาจาราเถรี ซึ่งท่านมีความตั้งใจจริงนำสิ่งที่ผิดพลาดในอดีตมาปรับปรุง ประพฤติปฏิบัติตนจนเป็นที่ยอมรับและได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้า
2. เป็นผู้แนะแนวชีวิต พระปฏาจาราเถรีมีความสามารถในการแก้ปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือแก้ปัญหาให้แก่คนที่ประสบการณ์พลัดพราก การสูญเสียคนอันเป็นที่รัก มักจะมาขอคำแนะนำจากท่าน ซึ่งท่านก็ได้ให้คำแนะนำทีดีและช่วยแก้ปัญหาให้พวกเขาเหล่านั้น จนสามารถนำไปปฏิบัติและแก้ปัญหาเองได้
แหล่งอ้างอิง
จรัส พยัคฆราชศํกดิ์และกวี อิศริวรรณ. หนังสือเรียนสาระการเรียนรู้พื้นฐาน พระพุทธศาสนา ช่วงชั้นที่ 4 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ : วัฒนาพานิช, 2548
วิทยา ปานะบุตร. คู่มือเสริมการเรียนรู้ด้วยตนเอง ช่วงชั้นที่ 4 สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์เพิ่มทรัพย์การพิมพ์, 2548
วิทย์ วิศทเวทย์ และเสถียรพงษ์ วรรณปก . พระพุทธศาสนา ม.6. พิมพ์ครั้งที่ 10. กรุงเทพฯ : อักษรเจริญทัศน์, 2550.
นางปฏาจาราเสียสติ. ที่มา : นางสาวพจีรจิต ถนอมทรัพย์, 2551.