ภาพที่ 7.1 ฝึกสมาธิเพื่อบริหารจิต
ที่มา : จิตราภรณ์ บัวจำรัส. 2550.
ภาพที่ 7.2 การสวดมนต์เพื่อบริหารจิต
ที่มา : จิตราภรณ์ บัวจำรัส. 2550.
ภาพที่ 7.3 การเดินจงกรมเพื่อบริหารจิต
ที่มา : จิตราภรณ์ บัวจำรัส. 2550.
การบริหารจิต
พระพุทธศาสนาเน้นเรื่องการฝึกจิตเป็นสำคัญ เพราะมนุษย์มีจิตเป็นตัวนำการ กระทำทุกอย่าง จะต้องมีการพิจารณา คิดนึกตรึกตรองเสียก่อน การฝึกจิตหรือการบริหารจิต จึงเป็นการกระทำเพื่อให้จิตมีสภาพตั้งมั่น มีสติระลึกได้ มีสัมปชัญญะรู้สึกตัวทั่วพร้อมตลอดเวลา
การบริหารจิต หมายถึง การฝึกฝนอบรมจิตให้เจริญและประณีตยิ่งขึ้น มีความปลอดโปร่ง มีความหนักแน่นมั่นคง โดยเริ่มจากการฝึกฝนจิตให้เกิดสติและฝึกสมาธิให้เกิดขึ้นในจิต
ในการที่จะให้จิตมีสติได้นั้น ผู้ฝึกต้องมีวิธีการดังนี้คือ การตั้งใจให้มีสติปสัมปชัญญะอยู่เสมอ การคบกับคนผู้มีสติปัญญามั่นคง การไม่คบคนที่มีจิตใจฟุ้งซ่านปั่นป่วนและการมีใจน้อมไปในการมีสติคืออยากจะมีสติมั่นคง กล่าวคือ
1. การตั้งใจให้มีสติสัมปชัญญะอยู่เสมอ คือ ผู้ฝึกจะต้องตั้งใจกำหนดรู้สึกตัวอยู่ทุกขณะไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องใคร่ครวญทำช้าๆ อย่ารวดเร็วเกินไป เช่น ในขณะเดิน ยืน นั่ง นอน จะต้องพยายามให้ตัวสติระลึกอยู่ตลอดเวลาทุกๆ อิริยาบถ และมีสติสัมปชัญญะรู้ตัวอยู่เสมอ เมื่อตั้งใจปฏิบัติตามวิธีดังกล่าวก็จะทำให้ผู้นั้นมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์
2. การคบกับคนผู้มีสติปัญญามั่นคง คือ พยายามเข้าสมาคมกับคนผู้มีสติปัญญามั่นคงด้วยการทำ การพุด และการแสดงออกอื่นๆ ยกตัวอย่าง เช่น การเข้าไปพบปะสนทนากับพระสงฆ์ผู้ฝึกสมาธิมาดีแล้ว โดยพิจารณาจากการพูดและการกระทำ ท่านจะอยู่ในลักษณะสำรวมระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา ซึ่งทำให้เราผู้เข้าร่วมสมาคมด้วยเกิดการตั้งสติและมีสติสัมปชัญญะรู้ตัวสำรวมระมัดระวังตัวเช่นเดียวกับท่าน
3. การไม่คบคนที่มีจิตใจฟุ้งซ่านปั่นป่วน คือ คนใดที่มีสติฟั่นเฟือน หลงๆ ลืมๆ ซึ่งมีการกระทำการพูดผิดๆ ถูกๆ อยู่ตลอดนั้น เราไม่ควรจะไปคบด้วย เพราะการสมาคมกับคนประเภทนี้บ่อยๆ เข้าบางทีจะทำให้เราติดโรคสติฟั่นเฟือนได้ เว้นได้แต่เข้าไปคบด้วยความสงสาร เพื่อจะแนะนำเขาในบางครั้งบางคราวเท่านั้น
4. การมีใจน้อมไปในการมีสติ คืออยากเป็นคนมีสติมั่นคง โดยตัวเราเองต้องพยายามขวนขวายปลุกใจให้เห็นคุณค่าในการมีสติสัมปชัญญะแล้วปฏิบัติธรรมเพื่อนำจิตของตนให้เป็นสมาธิ เมื่อจิตเป็นสมาธิในขั้นต้น แม้เพียงขณิกสมาธิอันเป็นสมาธิชั่วขณะที่เกิดขึ้นกับคนทั่วๆ ไปในการปฏิบัติงานในชีวิตประจำวัน เท่านี้ก็จะทำให้เราเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะดีขึ้นอย่างแน่นอน
นอกจากนี้แล้วพระพุทธเจ้ายังได้ทรงแสดงวิธีการฝึกสติให้สมบูรณ์ไว้ในสติปัฏฐาน 4 อย่าง
กล่าวคือ การดำรงสติไว้ที่ฐานมี 4 อย่าง ได้แก่ กาย เวทนา จิต ธรรม และกำหนดพิจารณาฐานทั้ง ๔ เหล่านั้น เช่น กายานุปัสสนา ตั้งสติกำหนดพิจารณากายเป็นอารมณ์ เวทนานุปัสสนา ตั้งสติกำหนดพิจารณาเวทนาเป็นอารมณ์ จิตตานุปัสสนา ตั้งสติกำหนดพิจารณาจิตเป็นอารมณ์ และธัมมานุปัสสนา ตั้งสติกำหนดพิจารณาธรรมเป็นอารมณ์
สมถวิปัสสนาจำแนกออกเป็น 2 วิธีคือ
1. สมถกัมมัฏฐาน คืออุบายสงบใจหรือวิธีฝึกอบรมจิตให้เป็นสมาธิ เพื่อเป็นการระงับนิวรณ์อันเป็นสิ่งปิดกั้นจิตไว้ไม้ให้บรรลุความดี
2. วิปัสสนากัมมัฏฐาน คือ อุบายเรืองปัญญาหรือวิธีฝึกอบรมปัญญาให้เกิดความรู้ตามที่เป็นจริงโดยการพิจารณาให้เห็นถึงนามรูป ซึ่งจะสามารถทำลายอวิชชาลงได้
สมถะและวิปัสสนาต่างก็เป็นปัจจัยซึ่งกันและกันกล่าวคือ เมื่อปฏิบัติสมาธิจนสงบจิตใจไม่ฟุ้งซ่าน ซึ่งจะเป็นพื้นฐานให้อบรมปัญญาได้ เมื่อเกิดปัญญารู้แจ้งก็จะกำจัดอวิชชาลงได้ ซึ่งจะส่งผลมายังจิตให้สงบ เยือกเย็นมากยิ่งขึ้น
ประโยชน์ของสมถวิปัสสนา
ผู้เจริญสมถกัมมัฏฐาน ย่อมเกิดสมาธิ ส่วนผู้ที่เจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานย่อมเกิดปัญญา ประโยชน์ของสมถวิปัสสนา
แยกได้ 2 ประการคือ
1. ประโยชน์ของสมาธิ ผู้ที่มีสมาธิมั่นคงย่อมมีจิตใจที่พร้อมจะกระทำสิ่งต่าง ๆ ให้สำเร็จได้โดยง่าย เช่น
ทางด้านการศึกษาเล่าเรียน เมื่อมีสมาธิที่ตั้งมั่นการศึกษาย่อมจะได้ผลดีขึ้น นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ในการทำงานการควบคุมกิเลส และที่สำคัญคือ เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิต ทั้งนี้เพราะเมื่อสุขภาพดีแข็งแรงสมบูรณ์ ก็จะส่งผลให้สุขภาพจิตมีคุณภาพดียิ่งขึ้น เช่นเดียวกัน
2. ประโยชน์ของปัญญา จิตที่สงบดีแล้วย่อมเห็นสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง
คือการเกิดปัญญาซึ่งประโยชน์ของปัญญานั้นมีหลายลักษณะด้วยกัน เช่น ก่อให้เกิดความเจริญแก่โลก โดยการสร้างวิทยาการสมัยใหม่ขึ้นมานอกจากนี้ยังก่อให้เกิดความเจริญรุ่งเรือง และความสำเร็จในชีวิตคือสามารถที่จะวิเคราะห์วางแผนเพื่อปฏิบัติให้สำเร็จตามเป้าหมายของชีวิต และ ประการสุดท้าย ปัญญาทำให้เกิดความสุขในชีวิต คือสามารถที่จะรู้ถึงเหตุการณ์ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เมื่อเกิดปัญหาผู้ที่มีปัญญาก็สามรถที่จะแก้ไขให้สำเร็จไปได้ด้วยดี
แหล่งที่มา(เนื้อหา) :
จรัส พยัคฆราชศํกดิ์และกวี อิศริวรรณ. หนังสือเรียนสาระการเรียนรู้พื้นฐาน พระพุทธศาสนา ช่วงชั้นที่ 4 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ : วัฒนาพานิช, 2548
วิทยา ปานะบุตร. คู่มือเสริมการเรียนรู้ด้วยตนเอง ช่วงชั้นที่ 4 สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์เพิ่มทรัพย์การพิมพ์, 2548
วิทย์ วิศทเวทย์ และเสถียรพงษ์ วรรณปก . พระพุทธศาสนา ม.6. พิมพ์ครั้งที่ 10. กรุงเทพฯ : อักษรเจริญทัศน์, 2550.