พระพุทธเจ้า มีพระนามเดิมว่า เจ้าชายสิทธัตถะ เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ และพระนางสิริมหามายา พระพุทธเจ้าประสูติในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ก่อนพุทธศักราช 60 ปี ณ สวนลุมพินีวัน ปัจจุบันอยู่ในประเทศเนปาล เมื่อพระกุมารประสูติได้ 5วันพระเจ้าสุทโธทนะโปรดให้มีพิธีขนานพระนาม และทำนายลักษณะของพระกุมาร โดยเชิญพราหมณ์ 108 คนมาทำพิธี ได้ถวายพระนามว่า สิทธัตถะ และทำนายว่าพระกุมารจะเสด็จออกบวช
หลังจากเจ้าชายสิทธัตถะประสูติได้ 7 วัน พระราชมารดาก็สวรรคต พระองค์จึงได้รับการดูแลจากพระนางปชาบดีโคตมี เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเจริญวัย พระราชบิดาทรง ให้ศึกษาศิลปวิทยาการในสำนักครูวิศวามิตรเจ้าชาย ได้ศึกษาวิชาความรู้ที่ควรจะศึกษา ได้อย่างรวดเร็วเมื่อถึงประเพณีแรกนาขวัญประจำปีเจ้าชายสิทธัตถะ ได้ตามเสด็จพระราชบิดาไปด้วย พระองค์ได้ทรงพิจารณาถึงสิ่งต่างๆ ที่พบเห็น และทรงมีความเห็นว่า "ความทุกข์อันใหญ่หลวงกำลังครอบงำคนและสัตว์จำนวนมากอยู่ตลอดเวลา"พระเจ้าสุทโธทนะทรงทราบว่า พระโอรสทรงเริ่มคิดไปในทางธรรมพระองค์จึงโปรดให้สร้างปราสาทอันสวยงามขึ้น 3 ปราสาท สำหรับให้พระโอรสประทับในแต่ละฤดู เพื่อให้ พระโอรสเกิดความรื่นรมย์ซึ่งเป็นการโน้มน้าว จิตใจของพระโอรสให้เพลิดเพลินในทางโลก
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเข้าสู่วัยหนุ่มพระองค์ได้อภิเษกสมรสกับพระนางพิมพา(ยโสธรา) แต่พระองค์ยังทรงอยากจะทราบความเป็นไปภายนอกพระราชวังว่าประชาชนมีความ เป็นอยู่อย่างไร จึงได้ทูลขอพระราชานุญาต เสด็จประพาสพระนคร ทรงพบเห็นคนแก่ คนเจ็บ ค นตาย และนักบวช ทั้ง 4 นี้ รวมเรียกว่า "เทวทูต 4" เจ้าชายทรงสลดพระทัยที่ทรงเห็น คนแก่ คนเจ็บ และคนตาย ทรงพอพระทัยที่เห็นนักบวช พระองค์ทรงนำสิ่งที่พบเห็นมาพิจารณาไตร่ตรองหาทางแก้ไขให้ตนเองและผู้อื่น ได้พ้นจากความทุกข์และทรงคิดได้ว่ามีทางเดียวเท่านั้นที่ จะคิดค้นหาทางพ้นทุกข์ได้คือ การออกบวช จนกระทั่งเจ้าชายสิทธัตถะพระชนมายุได้ 29 พรรษา พระนางพิมพาประสูติประโอรส นามว่า ราหุล แม้ว่าพระองค์ จะทรงห่วงใยพระโอรส แต่ด้วยมีพระประสงค์ที่จะหาทางช่วยเหลือชาวโลกให้พ้นทุกข์ พระองค์จึงตัดสินพระทัยออกบวชจึงเสด็จออกจากพระนครพร้อมนายฉันนะ มหาดเล็กและม้ากัณฐกะจนกระทั่งเสด็จถึง ริมฝั่งแม่น้ำอโนมา พระองค์จึงทรงเปลื้องเครื่องประดับ เพื่อให้นายฉันนะนำกลับพระนครพร้อมกับม้าทรง พระองค์ทรงใช้พระขรรค์ตัดพระเมาลี และทรงอธิษฐานเป็นนักบวช พระสิทธัตถะได้ทรงศึกษากับอาฬารดาบสและอุททกดาบส แต่พระองค์ไม่ทรงพบหนทางที่จะดับทุกข์ที่แท้จริงได้จึงเลิกเสาะแสวงหาวิชาความรู้จากสำนักลัทธิต่างๆ
หลังจากที่พระสิทธัตถะศึกษาความรู้จากสำนักต่างๆ ไม่ทรงพบหนทางที่จะดับทุกข์ได้พระองค์จึงคิดที่จะศึกษาหาทางพ้นทุกข์ด้วยพระองค์เอง จึงได้ทรงบำเพ็ญ ทุกรกิริยา คือการทรมานกายด้วยวิธีต่างๆ เช่น กัดฟัน กลั้นลมหายใจ อดอาหาร เป็นต้น แต่พระองค์ไม่ทรงค้นพบวิธีพ้นทุกข์ได้ ซ้ำยังทำให้ พระวรกายทรุดโทรมพระองค์จึงเลิก ทรมานพระวรกาย และหันกลับมาบริโภคอาหารจากการบิณฑบาตเช่นเดิมเมื่อมีพระองค์มีพระกำลังอย่างเดิมแล้วพระองค์ทรง เริ่มบำเพ็ญเพียรทางจิตตามหลักการของฌาน หรือสมาธิ โดยทรงยึดทางสายกลางที่เรียกว่า "มัชฌิมาปฏิปทา"
เช้าวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ขณะที่พระสิทธัตถะกำลังประทับอยู่ใต้ต้นไทร ริมแม่น้ำเนรัญชรา นางสุชาดา ได้นำข้าวธุปายาสมาถวายด้วยเข้าใจว่า พระองค์เป็นเทวดา เมื่อพระองค์ฉันข้าวมธุปายาสแล้วทรงนำถาดเปล่า ไปลอยที่แม่น้ำเนรัฐชรา แล้วพระองค์ได้ทรงประทับนั่ง ณ โคนต้นโพธิ์โดยตั้งพระทัย แน่วแน่ว่าถ้าไม่ค้นพบ ทางดับทุกข์แล้ว จะไม่ยอมลุกไปไหนโดยเด็ดขาดเมื่อจิตของพระองค์เป็นสมาธิแล้วจึงเกิดปัญญาในการพิจารณา ถึงความเป็นไป ของธรรมชาติทั้งหลาย พระองค์ทรงเกิดปัญญารู้แจ้ง และตรัสรู้อริยสัจ 4 หรือความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค รวมเวลาตั้งแต่เสด็จออกบวชจนถึงตรัสรู้เป็นเวลา 6 ปี ขณะนั้นพระองค์มีพระชนมายุ 35 พรรษา
หลังจากตรัสรู้แล้วพระพุทธเจ้าทรงตัดสินพระทัยที่จะเผยแผ่พระธรรมที่พระองค์ตรัสรู้ ทรงระลึกถึงอาฬารดาบส และอุททกดาบส ทรงทราบว่าสิ้นชีวิตแล้ว จึงทรงระลึกถึงปัญจวัคคีย์ก็ทรงทราบว่า ขณะนี้อยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน จึงได้เสด็จไปแสดงธรรมโปรดในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงธรรมชื่อ ธัมมจักกัปปวัตนสูตร แก่ปัญจวัคคีย์ การแสดงธรรมครั้งนี้เรียกว่า ปฐมเทศนา ผลของการแสดงปฐมเทศนาส่งผลให้โกณฑัญญะเกิดดวงตาเห็นธรรม และบวชเป็นพระภิกษุรูปแรกในพระพุทธศาสนา ต่อมาวัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ หลังจากได้ฟังธรรมแล้วก็เกิดความเข้าใจธรรม กราบทูลขอบวชกับพระพุทธเจ้าในเวลาต่อมาจากนั้นได้แสดงธรรม อบรมพระภิกษุทั้ง 5 จนได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ และเกิดพระรัตนตรัยทั้ง 3 คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์
ณ ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา มีสำนักของชฎิล 3 พี่น้อง ซึ่งเป็นนักบวชที่บูชาไฟ มีบริวารรวมทั้งสิ้น 1,000 คน พระพุทธเจ้าเสด็จไปยังสำนักของชฎิล 3 พี่น้อง ทั้งนี้ด้วยเห็นว่า ชฎิล 3 พี่น้องเป็นที่เคารพนับถือของพระเจ้าพิมพิสารและประชาชนชาวเมืองราชคฤห์ ถ้าทำให้ชฎิลเหล่านี้นับถือคำสั่งสอนของพระองค์ได้ การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในแคว้นมคธจะทำได้ง่ายขึ้นพระพุทธเจ้าประทับอยู่ในสำนักชฎิล 3 พี่น้องเป็นเวลาประมาณ 2 เดือน ได้ทรงแสดงธรรมแก่ชฎิล 3 พี่น้องและบริวารจนสำเร็จ ทั้งหมดได้เห็นแจ้งว่า สิ่งที่ตนเชื่อ และปฏิบัตินั้นไร้สาระ ได้หันมานับถือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แล้วกราบทูลขอบวชยอมเป็นพระสาวก พระพุทธเจ้าได้แสดงธรรมอบรมจนทั้งหมด ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์
พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยชฎิล 3 พี่น้อง เสด็จเข้าเมืองราชคฤห์ ทรงพักอยู่ที่ลัฏฐิวันหรือสวนตาลหนุ่มพระเจ้าพิมพิสารทรงทราบข่าว จึงได้พาข้าราชบริพารไปเข้าเฝ้า พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ให้ฟังพระเจ้าพิมพิสารพร้อมด้วยข้าราชบริพารและประชาชนที่เข้าเฝ้าเกิดความเลื่อมใสศรัทธาประกาศตนขอนับถือพระพุทธศาสนา และพระเจ้าพิมพิสารได้สำเร็จมรรคผลเป็นโสดาบัน
พระเจ้าพิมพิสารได้กราบทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าให้เสด็จไปฉันอาหารในพระราชนิเวศน์พร้อมด้วยสาวกหลังจากถวายอาหารเสร็จแล้วพระเจ้าพิมพิสารทรงหลั่งน้ำใส่พระหัตถ์พระพุทธเจ้า ยกอุทยานสวนป่าไผ่ที่เรียกว่า พระเวฬุวัน ถวายให้เป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์สาวก พระเวฬุวันจึงเป็นวัดในพระพุทธศาสนาแห่งแรกของโลก
ในเมืองราชคฤห์ มีชายหนุ่ม 2 คน เป็นเพื่อนรักกัน ชื่ออุปติสสะ และโกลิตะ ได้พาพรรคพวกบริวาร 250 คนไปบวชอยู่ในสำนักหนึ่งเพื่อแสวงหาหนทางตรัสรู้ แต่เรียนจบความรู้ ของสำนักแล้ว ก็ยังไม่พบทางตรัสรู้ จึงลาจากสำนักแยกย้ายกันไปแสวงหาหนทางตรัสรู้ด้วยตนเอง แต่ก็ได้สัญญากันว่า ถ้าใครพบหนทางตรัสรู้ก่อนให้มาบอกด้วยอุปติสสะได้พบกับพระอัสสชิ หนึ่งในปัญจวัคคีย์เกิดความเลื่อมใสในอิริยาบทได้เข้าไปหา และขอให้แสดงธรรมให้ฟังพระอัสสชิได้แสดงธรรมให้ฟังจนอุปติสสะเกิดความเข้าใจ ในธรรมบรรลุมรรคผลเป็นโสดาบัน จากนั้นได้ลาพระอัสสชะและกลับไปบอกโกลิตะเพื่อนรัก โกลิตะได้ฟังธรรมที่อุปติสสะนำมาบอกก็ได้บรรลุมรรคผล เป็นโสดาบันเช่นกันจึงได้พาพรรคพวกบริวารไปเข้าเฝ้าขอบวช เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า อุปติสสะเมื่อบวชแล้วได้ชื่อใหม่ว่า สารีบุตร บวชได้ 15 วันจึงบรรลุเป็นพระอรหันต์ ต่อมาได้รับการยกย่องจากพระพุทธองค์ให้เป็น อัครสาวกฝ่ายขวา ผู้มีความเป็นเลิศด้านปัญญา ส่วนโกลิตะได้ชื่อใหม่ว่า โมคคัลลานะ บวชได้ 7 วัน ก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ และได้รับการยกย่องให้เป็น อัครสาวกฝ่ายซ้าย ผู้มีความเป็นเลิศด้านมีฤทธิ์ คือ มีความสามารถพิเศษที่ได้จากการทำสมาธิ เช่น เหาะเหินเดินอากาศได้ เป็นต้น
ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ปีถัดมาหลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ขณะที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่พระเวฬุวัน เมืองราชคฤห์พระสงฆ์สาวกของพระพุทธองค์ที่ออกไปเผยแผ่พระธรรม ยังที่ต่างๆ ได้กลับมาเฝ้าพระพุทธองค์อย่างพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย จำนวน 1,250 รูป พระพุทธเจ้าทรงเห็นเป็นโอกาสเหมาะ จึงทรงให้จัดประชุมพระสาวกขึ้นในวันนั้น และทรงแสดงธรรมที่เรียกว่า "โอวาทปาฏิโมกข์" ซึ่งเป็นธรรมที่ถือว่าเป็นหลักการของพระพุทธศาสนา คือสอน ให้ละเว้นการทำความชั่ว ให้กระทำแต่ความดี และทำจิตใจ ให้บริสุทธิ์ผ่องใส การประชุมพระสาวกครั้งนี้มีลักษณะเด่นเป็นพิเศษ 4 ประการคือ
1. เป็นวันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวง เดือน 3
2. พระสงฆ์ที่มาประชุมล้วนมากันโดยไม่ได้นัดหมาย
3. พระสงฆ์ทั้งหมดเป็นพระอรหันต์
4. พระสงฆ์ทั้งหมดพระพุทธเจ้าทรงบวชให้
ด้วยเหตุนี้การประชุมครั้งนี้จึงเรียกว่า จาตุรงคสันนิบาต พระพุทธเจ้าทรงได้กำลังจากพระสงฆ์สาวกเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปยังเมืองและแคว้นต่างๆ ทั้งแคว้นเล็กแคว้นใระพุทธศาสนาเริ่มเป็นปึกแผ่น มั่นคง โดยมีบุคคลที่เป็นกำลังสำคัญ 4 กลุ่ม ที่เรียนกว่า พุทธบริษัท คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกาพระพุทธเจ้าทรงประกาศพระศาสนา โดยมีพุทธบริษัท 4 ดังกล่าวช่วยเป็นกำลังสำคัญเป็นเวลา ทั้งหมด 45 พรรษา รวมพระชนมายุได้ 80 ปี จึงได้ปรินิพพานที่เมืองกุสินาราในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ก่อนปรินิพพาน ได้เทศนาแก่ สุภัททปริพาชก จนได้สำเร็จอรหันต์และบวชเป็นสาวกองค์สุดท้าย เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว สิ่งหนึ่งที่เป็นเสมือนตัวแทนของพระองค์ คือ พระธรรมวินัย และมี พระสงฆ์ต่างก็เข้ารับหน้าที่สืบทอดพระพุทธศาสนาต่อเนื่องกันมา จนพระพุทธศาสนาได้รับการเผยแผ่ไปยังประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศไทยด้วย
แหล่งอ้างอิง
เหม เวชกร. " สมุดภาพพระพุทธประวัติ," ฉบับอนุรักษ์ภาพเขียนทางพระพุทธศาสนา. 28 ตุลาคม 2545. ที่มา : <http://www.rta.mi.th/23102u/narit/20050928- 0835/tipitaka/picture/f01-f80.htm>. 27 กรกฎาคม 2550.
ภาพที่ 2.2 ประสูติ
ภาพที่ 2.3 ประสูติได้ 5 วัน
ทรงบรรลุปฐมฌานตั้งแต่ทรงพระเยาว์
ภาพที่ 2.4 วัยเด็ก
อภิเษกสมรส
ภาพที่ 2.5 อภิเสกสมรส
เสด็จประพาสสวน ทรงเห็นเทวฑูต 4
ภาพที่ 2.6 พบเห็นเทวทูตทั้ง 4
ทรงเปลื้องเครื่องประดับ ใช้พระขรรค์ตัดพระเมาลี เพื่อถือครองเพศบรรพชิต
ภาพที่ 2.7 ริมฝั่งแม่น้ำอโนมา
เสด็จไปศึกษาลัทธิฤาษีชีป่ากับอาฬารดาบส เห็นว่ามิใช่ทางตรัสรู้
ภาพที่ 2.8 ศึกษาในสำนักฤาษี
ทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยา ปัญจวัคคีย์เฝ้าปฎิบัติ พระอินทร์ดีดพิณถวายข้ออุปมา
ภาพที่ 2.9 ทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยา
เช้าวันตรัสรู้ นางสุชาดากับทาสีมาถวายข้าวมธุปายาส โดยสำคัญว่าเทวดา
ภาพที่ 2.10 รับข้าวมธุปายาสจากนางสุชาดา
แม่พระธรณีบิดพระเกศา เกิดเป็นสมุทรธารา พระยามารก็พ่ายแพ้แก่พระบารมี
ภาพที่ 2.11 มารผจญ
พอรุ่งอรุณก็ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เทวดาฝ่ายฟ้อนร่อนรำถวายเป็นพุทธบูชา
ภาพที่ 2.12 ตรัสรู้
ทรงแสดงปฐมเทศนาธัมมจักกัปปวัตตนสูตรโปรดเบญจวัคคีย์ ให้ได้ดวงตาเห็นธรรม
ภาพที่ 2.13 แสดงปฐมเทศนา
ภาพที่ 2.14 แสดงธรรมโปรดพระเจ้าพิมพิสารและชาวเมือง
พระโมคคัลลานะ สารีบุตร อัครสาวกซ้าย-ขวามาทูลขอบรรพชาเป็นเอหิภิกขุ
ภาพที่ 2.15 แสดงธรรมโปรดพระประยูรยาท
ภาพที่ 2.16 ทรงประทานโอวาทปาฏิโมกข์
เสด็จไปโปรดพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึง
ภาพที่ 2.1 7 แสดงธรรมโปรพระพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
เสด็จดับขันธปรินิพพานแต่ก่อนปรินิพพานทรงแสดงโอวาทครั้งสุดท้ายเรื่องความไม่ประมาท
ภาพที่ 2.18 ทรงประทานปัจฉิมโอวาทแล้วปรินิพพาน