หลักธรรมที่สอดคล้องกับ สมุทัย(ธรรมที่ควรรู้)
ได้แก่ ธรรมนิยาม ปฏิจจสมุปปบาท อุปาทาน 4 นิวรณ์ 5
ธรรมนิยาม
ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน (2542 : 554) กล่าวไว้ว่า ธรรมนิยาม หมายถึง ความแน่นอนแห่งธรรมดา คือ พระไตรลักษณ์
ส่วนคำว่า "นิยาม" ในทางพระพุทธศาสนา หมายถึง กำหนดอันแน่นอน, ความเป็นไปอันมีระเบียบแน่นอนของธรรมชาติ, กฎธรรมชาติ ซึ่ง ธรรมนิยาม เป็นหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าได้สอนไว้ว่าสรรพสิ่งทั้งปวงดำเนินไปตามกฎเกณฑ์ที่แน่นอน กฎเกณฑ์เหล่านี้แบ่งเป็น 5 ประเภท ดังนี้ (จรัส พยัคฆราชศักดิ์และกวี อิศริวรรณ. 2548 : 78 ; พระธรรมปิฎก. 2543 : 152-153 ; วิทยา ปานะบุตร. 2548 : 311 ; วิทย์ วิศทเวทย์ และ เสฐียรพงษ์ วรรณปก. 2550 : 73)
1. อุตุนิยาม คือ กฎธรรมชาติที่ครอบคลุม ความเป็นไปของปรากฏการณ์ในธรรมชาติ เกี่ยวกับวัตถุที่ไม่มีชีวิตทุกชนิด เช่น ปรากฏการณ์ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า แม้กระทั่งการเกิดและการดับสลายของโลกก็เป็นไปตามกฎธรรมชาติข้อนี้ ในตำราพุทธศาสนาที่เขียนโดยฝรั่ง มักใช้คำว่า คนอินเดียในสมัยพุทธกาลสงสัยกันว่า อะไรคือสิ่งกำหนดให้มีความสม่ำเสมอคงที่ในธรรมชาติ ส่วนที่เกี่ยวกับวัตถุ เช่นความสม่ำเสมอของฤดูกาล ซึ่งทางพระพุทธศาสนาตอบปัญหานี้ว่า สิ่งที่กำหนด คือ อุตุนิยาม
2. พีชนิยาม คือ กฎธรรมชาติที่ครอบคลุมความเป็นไปของสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ กฎธรรมชาตินี้ เมื่อเรานำเมล็ดข้าวเปลือกไปเพาะ ต้นไม้ที่งอกออกมาจะต้องเป็นต้นข้าวเสมอ หรือ ช้างเมื่อคลอดลูกออกมาแล้วก็ย่อมเป็นลูกช้างเสมอ ความเป็นระเบียบนี้ พุทธศาสนาเชื่อว่าเป็นผลมาจากการควบคุมของพีชนิยาม
3. จิตนิยาม คือ กฎธรรมชาติที่เกี่ยวกับกลไกการทำงานของจิต พระพุทธศาสนาเชื่อว่า คนเราประกอบด้วยส่วนที่สำคัญ 2 ส่วน คือ ร่างกายและจิตใจ จิตมีกฎเกณฑ์ในการทำงาน เปลี่ยนแปลงและแสดงพฤติกรรม เป็นฉบับเฉพาะตัว
4. กรรมนิยาม คือ กฎการให้ผลของกรรม กรรมคือ การกระทำที่ประกอบด้วยความตั้งใจ แบ่งออกเป็น 2 อย่าง คือ กรรมดีและกรรมชั่ว กรรมดีย่อมตอบสนองในทางดี กรรมชั่วย่อมตอบสนองในทางชั่ว นี่คือ กฎแห่งกรรมนั่นเอง
5. ธรรมนิยาม คือ กฎธรรมชาติเกี่ยวกับความเป็นเหตุเป็นผลของสิ่งทั้งหลาย เป็นกฎสากลที่ครอบคลุม ความเป็นไปทั้งฝ่ายจิตและฝ่ายวัตถุ กฎข้อนี้มีขอบเขตครอบคลุมกว้างขวางที่สุด กฎ 4 ข้อข้างต้นสรุปรวมลงในข้อสุดท้ายนี้
พระพุทธเจ้าทรงค้นพบนิยามหรือกฎธรรมชาติทั้ง 5 เหล่านี้ แต่ไม่ทรงสอนทั้งหมดพระองค์ทรงสอนธรรมนิยามเน้นในส่วนที่เกี่ยวกับจิตนิยาม และกรรมนิยาม พระองค์ทรงสอนเรื่องอุตุนิยามและพีชนิยามเพียงเล็กน้อย ในลักษณะกลับกัน นักวิทยาศาสตร์ศึกษาธรรมนิยามเน้นในส่วนที่เกี่ยวกับอุตุนิยาม และพีชนิยามไม่สนใจ กรรมนิยามและสนใจในจิตนิยามเล็กน้อย นี่คือจุดเน้นที่ต่างกันระหว่างพระพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์
ประเด็นสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ ธรรมนิยามเป็นกฎธรรมชาติสากลที่ครอบคลุม 4 กฎย่อยดังที่กล่าวมาแล้ว แม้พระพุทธศาสนาจะศึกษาเน้นเรื่องกรรมนิยาม และจิตนิยามก็จริง ถึงกระนั้นพระพุทธศาสนาก็ไม่ปฏิเสธเรื่องอุตุนิยามและพีชนิยามที่เป็นจุดเน้นของวิทยาศาสตร์ เพราะเหตุนี้เองพระพุทธศาสนาจึงไม่ขัดแย้ง กับวิทยาศาสตร์
จากการค้นพบธรรมะดังกล่าวนี้เอง ทำให้เราทราบว่า ความรู้เรื่องจักรวาลวิทยาเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของธรรมะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบเท่านั้น ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่พระองค์ทรงค้นพบแล้วมิได้นำมาตรัสให้ฟัง และเรื่องที่นำมาตรัสเล่านั้นก็เพียงเพื่อให้พ้นทุกข์ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิต
นอกจากธรรมนิยามแล้วยังมีหลักธรรมอีกประการหนึ่งที่พระพุทธเจ้าได้แสดงให้เห็นว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงย่อมเกิดจากเหตุ ธรรมดังกล่าวเรียกว่า ปฏิจจสมุปปบาท
พระธรรมปิฎก (2543 : 79-150) อธิบายไว้ว่า ปฏิจจสมุปปบาท หมายถึงสิ่งทั้งปวงต้องอาศัยซึ่งกันและกันจึงจะเกิดมีขึ้นได้ หรือสิ่งทั้งปวงย่อมเกิดจากสาเหตุหรือมีความเป็นเหตุเป็นผลกัน ปฏิจสมุปบาทถึงเป็นส่วนหนึ่งของธรรมนิยาม มีองค์ประกอบ 12 ประการดังนี้ รายละเอียดได้กล่าวไว้แล้วในหน่วยที่ 1
ภาพที่ 5.7 แผนภูมิแสดงกฎปฏิจจสมุปบาท
ที่มา: จิตราภรณ์ บัวจำรัส. 2550.
ปฏิจจสมุปปบาทหรือเรียกอีกอย่างกนึ่งว่าอิทัปปัจจยตา มี 12 ประการดังที่กล่าวไว้ในวงจรชีวิต ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 พวกเรียกว่า ไตรวัฏ หรือวัฏฏะ 3
วัฏฏะ มี 3 องค์ประกอบ คือ กิเลส กรรม วิบาก
เมื่อบุคคลทำอะไรลงไป ไม่ว่าทางใด หากทำลงไปด้วยกิเลสที่อยู่ในใจ ก็จะก่อให้เกิดกรรม เมื่อเกิดกรรมก็จะเกิดวิบากกรรมคือผลตามมา วิบากหรือผลอันนี้ก็จะก่อให้เกิดกิเลสขึ้นอีก และกิเลสจะก่อให้เกิดกรรมขึ้นอีก กรรมนี้จะก่อให้เกิดวิบาก หรือผลขึ้นอีก วนเวียนไปอย่างนี้เรื่อยๆ จนกว่าคนจะดับกิเลสหมดสิ้น จึงจะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด
กิเลสหรือกิเลสวัฏฏ์ (Defilements) วงจรของกิเลส เป็นตัวสาเหตุผลักดันให้คิดปรุงแต่งการกระทำต่าง ๆ ซึ่งประกอบด้วย อวิชชา ตัณหา อุปาทาน
กรรมหรือกรรมวัฏฏ์ (Karma or Action) วงจรกรรมเป็นกระบวนการกระทำหรือปรุงแต่งชีวิตให้เป็นไปต่าง ๆ ประกอบด้วยสังขารและกรรมภพ
วิบากหรือวิปากวัฏฏ์ (Results) วงจรวิบาก คือ สภาพชีวิตที่เป็นผลแห่งการปรุงแต่งของการกระทำและกลับเป็นปัจจัยเสริมสร้างให้เกิดกิเลสต่อไปอีก ประกอบด้วยวิญญาณ นามรูป สาฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ซึ่งแสดงออกในรูปปรากฏที่เรียกว่า อุปัตติภพ ชาติ ชรา มรณะ เป็นต้น
วัฏฏะทั้ง 3 หรือไตรวัฏฏ์นี้ หมุนเวียนต่อเนื่องเป็นปัจจัยอุดหนุนแก่กัน ทำให้วงจรแห่งชีวิตดำเนินไปไม่ขาดสาย
แหล่งอ้างอิง
จรัส พยัคฆราชัํกดิ์และกวี อิศริวรรณ. หนังสือเรียนสาระการเรียนรู้พื้นฐาน พระพุทธศาสนา ช่วงชั้นที่ 4 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ : วัฒนาพานิช, 2548.
วิทยา ปานะบุตร. คู่มือเสริมการเรียนรู้ด้วยตนเอง ช่วงชั้นที่ 4 สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์เพิ่มทรัพย์การพิมพ์, 2548.
วิทย์ วิศทเวทย์ และ เสฐียรพงษ์ วรรณปก. พระพุทธศาสนา ม.6. พิมพ์ครั้งที่ 10. กรุงเทพฯ : อักษรเจริญทัศน์, 2550.
พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต). พุทธธรรม. พิมพ์ครั้งที่ 9. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2543.