>>> หน่วยที่ 1 ประวัติและความสำคัญของพระพุทธศาสนา
สาระการเรียนรู้
เรื่อง พระพุทธศาสนาเน้นความสัมพันธ์ของเหตุปัจจัยและวิธีการแก้ปัญหา
พระพุทธศาสนาเน้นความสัมพันธ์ของเหตุปัจจัย
หลักของเหตุปัจจัย หรือหลักความเป็นเหตุเป็นผล ซึ่งเป็นหลักของเหตุปัจจัยที่อิงอาศัยซึ่งกันและกัน ที่เรียกว่า "กฎปฏิจจสมุปบาท" ซึ่งมีสาระโดยย่อดังนี้
"เมื่ออันนี้มี อันนี้จึงมี เมื่ออันนี้ไม่มี อันนี้ก็ไม่มี เพราะอันนี้เกิด อันนี้จึงเกิด เพราะอันนี้ดับ อันนี้จึงดับ"นี่เป็นหลักความจริงพื้นฐาน ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดจะเกิดขึ้นมาลอย ๆ ไม่ได้ หรือในชีวิตประจำวันของเรา "ปัญหา"ที่เกิดขึ้นกับตัวเราจะเป็นปัญหาลอย ๆ ไม่ได้ จะต้องมีเหตุปัจจัยหลายเหตุที่ก่อให้เกิดปัญหาขึ้นมา หากเราต้องการแก้ไขปัญหาก็ต้องอาศัยเหตุปัจจัยในการแก้ไขหลายเหตุปัจจัย ไม่ใช่มีเพียงปัจจัยเดียวหรือมีเพียงหนทางเดียวในการแก้ไขปัญหา เป็นต้น
คำว่า "เหตุปัจจัย" พุทธศาสนาถือว่า สิ่งที่ทำให้ผลเกิดขึ้นไม่ใช่เหตุอย่างเดียว ต้องมีปัจจัยต่างๆ ด้วยเมื่อมีปัจจัยหลายปัจจัย ผลก็เกิดขึ้น ตัวอย่างเช่น เราปลูกมะม่วง ต้นมะม่วงงอกงามขึ้นมาต้นมะม่วงถือว่าเป็นผลที่เกิดขึ้น ดังนั้นต้นมะม่วงจะเกิดขึ้นเป็นต้นที่สมบูรณ์ได้ต้องอาศัยเหตุปัจจัยหลายปัจจัยที่ก่อให้เกิดเป็นต้นมะม่วงได้ เหตุปัจจัยเหล่านั้นได้แก่ เมล็ดมะม่วง ดิน น้ำ ออกซิเจน แสงแดด อุณหภูมิที่พอเหมาะ ปุ๋ย เป็นต้น ปัจจัยเหล่านี้พรั่งพร้อมจึงก่อให้เกิดต้นมะม่วง ตัวอย่างความสัมพันธ์ของเหตุปัจจัย เช่น ปัญหาการมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ ซึ่งเป็นผลที่เกิดจากการเรียนของนักเรียน มีเหตุปัจจัยหลายเหตุปัจจัยที่ก่อให้เกิดการเรียนอ่อน เช่น ปัจจัยจากครูผู้สอน ปัจจัยจากหลักสูตร ปัจจัยจากกระบวนการเรียนการสอน ปัจจัยจากการวัดผลประเมินผล ปัจจัยจากตัวของนักเรียนเอง เป็นต้น
ความสัมพันธ์ของเหตุปัจจัย หรือหลักปฏิจจสมุปบาท แสดงให้เห็นอาการของสิ่งทั้งหลายสัมพันธ์เนื่องอาศัยเป็นเหตุปัจจัยต่อกันอย่างเป็นกระแส ในภาวะที่เป็นกระแสนี้ ขยายความหมายออกไปให้เห็นแง่ต่าง ๆ ได้คือ
- สิ่งทั้งหลายมีความสัมพันธ์ต่อเนื่องอาศัยเป็นปัจจัยแก่กัน
- สิ่งทั้งหลายมีอยู่โดยความสัมพันธ์กัน
- สิ่งทั้งหลายมีอยู่ด้วยอาศัยปัจจัย
- สิ่งทั้งหลายไม่มีความคงที่อยู่อย่างเดิมแม้แต่ขณะเดียว(มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ไม่อยู่นิ่ง)
- สิ่งทั้งหลายไม่มีอยู่โดยตัวของมันเอง คือ ไม่มีตัวตนที่แท้จริงของมัน
- สิ่งทั้งหลายไม่มีมูลการณ์ หรือต้นกำเนิดเดิมสุด แต่มีความสัมพันธ์แบบวัฏจักร หมุนวนจนไม่ทราบว่าอะไรเป็นต้นกำเนิดที่แท้จริง
หลักคำสอนของพระพุทธศาสนาของพระพุทธศาสนาที่เน้นความสัมพันธ์ของเหตุปัจจัยมีมากมาย ในที่นี้จะกล่าวถึงหลักคำสอน 2 เรื่อง คือ ปฏิจจสมุปบาท และอริยสัจ 4
กฎปฏิจจสมุปบาท
กฎปฏิจสมุปบาท คือกฏแห่งเหตุและผลซึ่งกันและกัน
ภาพที่ 1.1 กฎปฏิจจสมุปบาท
ที่มา: จิตราภรณ์ บัวจำรัส, 2549.
หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ กล่าวว่า ปฏิจจสมุปบาท คือรู้ว่าอะไรเป็นเหตุให้เกิดอะไร อะไรดับแล้ว อะไรมันก็ดับตามลำดับ รู้ความเกิด รู้กระแสของความดับ มองเห็นสิ่งทั้งหลายชัดแจ้งตามสภาพที่เป็นจริง
ปฏิจจสมุปบาท คือ การที่สิ่งทั้งหลายอาศัยซึ่งกันและกันเกิดขึ้น เป็นกฎธรรมชาติที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ การที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบกฎนี้นี่เอง พระองค์จึงได้ชื่อว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า กฏปฏิจจสมุปบาท เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กฏอิทัปปัจจยตา ซึ่งก็คือ กฏแห่งความเป็นเหตุเป็นผลของกันและกันนั่นเอง
กฏปฏิจจสมุปบาท คือ กฏแห่งเหตุผลที่ว่า ถ้าสิ่งนี้มี สิ่งนั้นก็มี ถ้าสิ่งนี้ดับ สิ่งนั้นก้ดับ ปฏิจจสมุปบาทมีองค์ประกอบ 12 ประการคือ อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ และ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาสะ
องค์ประกอบทั้ง 12 ประเภทนี้ พระพุทธเจ้าเรียกว่า องค์ประกอบแห่งชีวิต หรือกระบวนการของชีวิต ซึ่งมีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันทำนองปฏิกิริยาลูกโซ่ เป็นเหตุปัจจัยต่อกัน โยงใยเป็นวงเวียนไม่มีต้นไม่มีปลาย ไม่มีที่สิ้นสุด กล่าวคือ
เพราะมีอวิชชา จึงมี สังขาร
เพราะมีสังขาร จึงมี วิญญาณ
เพราะมีวิญญาณ จึงมี นามรูป
เพราะมีนามรูป จึงมี สฬายตนะ
เพราะมีสฬายตนะ จึงมี ผัสสะ
เพราะมีผัสสะ จึงมี เวทนา
เพราะมีเวทนา จึงมี ตัณหา
เพราะมีตัณหา จึงมี อุปาทาน
เพราะมีอุปาทาน จึงมี ภพ
เพราะมีภพ จึงมี ชาติ
เพราะมีชาติ จึงมี ชรา มรณะ โสกะ
ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาสะ
องค์ประกอบของชีวิตตามกฏปฏิจจสมุปบาทดังกล่าวนี้เป็นสายเกิดเรียกว่า สมุทัยวาร ในทางตรงกันข้าม
ถ้าเราสามารถรู้เท่าทันกระบวนการของชีวิตและกำจัดเหตุเสียได้ ผลก็ย่อมสิ้นสุดลง ปฏิจจสมุปบาทดังกล่าวนี้เป็นสายดับเรียกว่า นิโรธวาร ซึ่งมีลำดับความเป็นเหตุเป็นผลของกันและกันดังนี้
เพราะ อวิชชา ดับ สังขาร จึงดับ
เพราะ เวทนา ดับ ตัณหา จึงดับ
เพราะ สังขาร ดับ วิญญาณ จึงดับ
เพราะ วิญญาณ ดับ นามรูป จึงดับ
เพราะ นามรูป ดับ สฬายตนะ จึงดับ
เพราะ สฬายตนะ ดับ ผัสสะ จึงดับ
เพราะ ผัสสะ ดับ เวทนา จึงดับ
เพราะ ตัณหา ดับ อุปาทาน จึงดับ
เพราะ อุปาทาน ดับ ภพ จึงดับ
เพราะ ภพ ดับ ชาติ จึงดับ
เพราะ ชาติ ดับ ชรา มรณะ โสกะ
ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาสะ จึงดับ
จากกฎนี้จะเห็นชัดว่า ทั้งสายเกิดและสายดับ ทุกสิ่งทุกอย่างหรือที่เรียกว่า สภาวธรรม จะมีอวิชชาเป็นตัวเหตุอันดับแรก กล่าวคือ เพราะมีอวิชชา ทุกสิ่งทุกอย่างจึงมี และเพราะอวิชชาดับคือสิ้นสุดลง ทุกสิ่งทุกอย่างก็ย่อมดับลงด้วย ดังแผนภูมิ
จากกฏปฏิจจสมุปบาทหรือกฎอิทัปปัจจยตาที่ว่าอวิชชาเป็นตัวเหตุของทุกสิ่งทุกอย่าง อวิชชาคือความไม่รู้แจ้งในอริยสัจ 4 ดังนั้น กฎปฏิจจสมุปบาท เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้วก็คือ อริยสัจ 4 นั่นเอง
อริยสัจ หมายถึง หลักความจริงอันประเสริฐหรือหลักความจริงที่ทำให้ผู้เข้าถึงเป็นผู้ประเสริฐ มี 4 ประการ คือ
1) ทุกข์ หมายถึง ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ หรือสภาพที่บีบคั้นจิตใจให้ทนได้ยาก ทุกข์เป็นสภาวะที่จะต้องกำหนดรู้
2) สมุทัย(ทุกขสมุทัย) หมายถึง ต้นเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ได้แก่ ตัณหา 3 ประการ คือ กามตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหา สมุทัยเป็นสภาวะที่จะต้องละหรือทำให้หมดไป
3) นิโรธ (ทุกนิโรธ)หมายถึง ความดับทุกข์ หรือสภาวะที่ปราศจากทุกข์ เป็นสภาวะที่ต้องทำความเข้าใจให้แจ่มแจ้ง
4) มรรค (ทุกขนิโรธคามินีปฎิปทา) หมายถึง ทางดับทุกข์ หรือข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ได้แก่ มัชฌิมาปฏิปทา หรืออริยมรรคมีองค์ 8 ซึ่งสรุปลงในไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา มรรคเป็นสภาวะที่ต้องลงมือปฏิบัติด้วยตนเองจึงจะไปสู่ความดับทุกข์ได้
อริยสัจ 4 นี้ถ้าวิเคราะห์กันในเชิงวิทยาการสมัยใหม่ก็คือ ศาสตร์แห่งเหตุผล เพราะอริยสัจ 4 จัดได้เป็น 2 คู่ แต่ละคู่เป็นเหตุเป็นผลของกันและกัน ดังแผนภูมิ
หลักอริยสัจ4
ภาพที่ 1.2 ความสัมพันธ์ของหลักอริยสัจ 4
ที่มา: จิตราภรณ์ บัวจำรัส, 2549.
เมื่อวิเคราะห์ในทางกลับกัน จากกฏที่ว่า เมื่อมีทุกข์ ก็ต้องมีความดับทุกข์ อริยสัจ คู่ที่สอง (นิโรธและมรรค) กลายเป็นเหตุที่นำไปสู่ผล คือ การดับอริยสัจคู่แรก (ทุกข์และสมุทัย) อันเป็นการย้อนศรอีกรอบหนึ่ง
จะเห็นชัดว่า อริยสัจ 4 เป็นกระบวนการที่เกี่ยวเนื่องกัน เป็นระบบเหตุผล คือ เมื่อมีเหตุเกิดแห่งทุกข์ (สมุทัย) ก็จะทำให้เกิดความทุกข์ (ทุกข์) ในขณะเดียวกัน หากต้องการสภาวะหมดทุกข์ (นิโรธ) ก็ต้องกำจัดเหตุเกิดแห่งทุกข์ คือตัณหาด้วยการปฏิบัติตามมรรค 8 (มรรค)
แหล่งอ้างอิง
จรัส พยัคฆราชศํกดิ์และกวี อิศริวรรณ. หนังสือเรียนสาระการเรียนรู้พื้นฐาน พระพุทธศาสนา ช่วงชั้นที่ 4 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ : วัฒนาพานิช, 2548.
พระธรรมโกศาจารย์(ปัญญานันทภิกข)ุ. พจนานุกรมธรรมของท่านปัญญานันทะ. กรุงเทพฯ : สำนักพิม์ธรรมสภา, 2545.
พระธรรมปิฎก(ป.อ.ปยุตฺโต)ุ. พุทธธรรม ฉบับปรับปรุงและขยายความ . พิมพ์ครั้งที่ 9. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2543.