พระรัตนตรัย หมายถึง สิ่งเคารพสูงสุดของชาวพุทธ ได้แก่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รัตนะทั้ง 3 นี้มีคุณความดีอันยิ่งใหญ่ต่อชาวพุทธ ดังนั้นเราจึงควรศึกษาและระลึกถึงด้วยความเคารพเลื่อมใสศรัทธา ซึ่งในหน่วยนี้กล่าวถึงพระสงฆ์หรือสังฆะ ซึ่งเป็นผู้สืบทอดพระศาสนาโดยตรง
ภาพที่ 5.1 พระสงฆ์คือผู้สืบทอดพระพุทธศาสนา
ที่มา: จิตราภรณ์ บัวจำรัส. 2550.
ความหมายของสังฆะ
สังฆะ หมายถึง พระสงฆ์ ตามหลักพระพุทธศาสนา พระสงฆ์หมายถึง พระภิกษุที่ได้บวชถูกต้องตาม พระธรรมวินัย คำว่า พระ มาจากคำภาษาบาลีว่า วร (อ่านว่า วะ-ระ) แปลว่า ประเสริฐ ส่วนคำว่า ภิกษุ แปลว่า ผู้เห็นภัยในการเวียนว่ายตายเกิด คือ เมื่อเห็นภัยก็หนีภัยโดยการออกบวชและประพฤติปฏิบัติธรรมพระสงฆ์ยังมี ความหมายตามพระวินัย อีกประการหนึ่ง ซึ่งหมายถึง พระภิกษุที่อยู่รวมกัน 4 รูปขึ้นไป เรียกว่า สงฆ์ สามารถประกอบสังฆกรรม หรือปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเป็นพระสงฆ์ที่สมบูรณ์ได้ เช่น การลงอุโบสถเพื่อฟังสวดปาติโมกข์ การรับกฐินที่มีคนนำมาถวาย การให้อุปสมบทแก่ผู้ที่ตั้งใจจะเข้ามาสู่ศาสนา เป็นต้น ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้จะต้องกระทำด้วย คณะสงฆ์มีจำนวนไม่น้อยกว่า 4 รูป
พระสงฆ์ตามความหมายปัจจุบันที่ใช้กันบ่อยๆ อาจแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1.อริยสงฆ์ หมายถึง พระสงฆ์ที่ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าจนบรรลุธรรมหรือสำเร็จมรรคผลระดับใดระดับหนึ่ง ตั้งแต่พระโสดาบัน จนถึงพระอรหันต์ ซึ่งเป็นระดับที่หมดสิ้นกิเลสทุกอย่าง
2. สมมติสงฆ์ หมายถึง พระสงฆ์ที่บวชถูกต้องตามพระธรรมวินัยดังได้กล่าวมาแล้ว อย่างไรก็ตามพระสงฆ์ประเภทนี้สามารถเป็นอริยสงฆ์ได้ ถ้าได้ศึกษาและประพฤติปฏิบัติชอบตามพระธรรมวินัยจนสามารถละกิเลสได้มากยิ่งขึ้นตามลำดับ
ผู้ที่จะเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาได้ จะต้องผ่านการบวชที่ถูกต้องสมบูรณ์ตามข้อบัญญัติของพระธรรมวินัย การบวช คือ การละเพศจากผู้ครองเรือน มาดำรงเพศของผู้ไม่ครองเรือน ในปัจจุบันสามารถแยกออกเป็น 2 ลักษณะ คือ บรรพชา และอุปสมบท บรรพชา เป็นการบวชเป็นสามเณร ส่วน อุปสมบท เป็นการบวชเป็นพระภิกษุ
การบวชเป็นสามเณรนิยมบวชกันในประชาชนบางส่วน ส่วนการบวชเป็นพระภิกษุมักนิยมถือปฏิบัติกันทั่วไป ผู้จะบวชเป็นพระภิกษุได้จะต้องผ่านการบวชเป็นสามเณรก่อน ดังนั้นจึงเรียกรวมกันว่า การบรรพชาอุปสมบท
ภาพที่ 5.2 การบวชโดยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา
ที่มา: เหม เวชกร .http://www.rta.mi.th/23102u/narit/20050928-0835/tipitaka/picture/f36.html.
การบวชเป็นพระภิกษุ นั้น ในระยะเริ่มต้นพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรงอุปสมบทให้ด้วยพระวาจาของพระองค์เอง เรียกว่า เอหิภิกขุอุปสัมปทา พระภิกษุรูปแรกที่บวชด้วยวิธีนี้คือ พระอัญญาโกณฑัญญะ
ต่อมาพระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้พระสาวกเป็นผู้อำนวยการบวช ทรงบัญญัติการบวชโดยให้เปล่งวาจาถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ เรียกว่า การบวชวิธีนี้ว่า ติสรณคมนูปสัมปทา
ภาพที่ 5.3 การบวชโดยวิธีญัตติจตุตถกรรมอุปสัมปทา
ที่มา: พูนพรสังฆภัณฑ์.http://www.poonporn.com/stories/story000139.html.
ภายหลังพระพุทธองค์ทรงยกเลิกการบวชทั้ง 2 วิธี แล้วทรงอนุญาตการบวชแบบที่ต้องประชุมสงฆ์ มีการสวดประกาศขอรับความคิดเห็นชอบของสงฆ์ เรียกว่าการบวชวิธีนี้ว่า ญัตติจตุตถกรรมอุปสัมปทา ซึ่งใช้มาจนถึงปัจจุบันนี้ การบวชด้วยวิธีนี้แสดงว่า พระพุทธองค์ทรงมอบอำนาจให้สงฆ์เป็นใหญ่อย่างสมบูรณ์ และทรงบัญญัติให้นำมาบวชวิธีที่ 2 การเปล่งวาจาถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะไปใช้ในการบวชสามเณร
แหล่งอ้างอิง
จรัส พยัคฆราชศํกดิ์และกวี อิศริวรรณ. หนังสือเรียนสาระการเรียนรู้พื้นฐาน พระพุทธศาสนา ช่วงชั้นที่ 4 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ : วัฒนาพานิช, 2548.
เหม เวชกร. " สมุดภาพพระพุทธประวัติ," ฉบับอนุรักษ์ภาพเขียนทางพระพุทธศาสนา. 28 ตุลาคม 2545. ที่มา: http://www.rta.mi.th/23102u/narit/20050928-0835/tipitaka/picture/f36.html. 15 ธันวาคม 2550.
พูนพรสังฆภัณฑ์.งานพิธีในวันอุปสมบท. การบวชแบบต่างๆ. (ม.ป.ป.). ที่มา: http://www.poonporn.com/stories/story000139.html.15 ธันวาคม 2550.