สายพันธุ์เห็ดฟาง
1. เห็ดฟางสายพันธุ์ TBKH 1 เป็นพันธุ์ที่เหมาะสมสำหรับเพาะในสภาพแวดล้อมเมืองไทย ปรับตัวเข้ากับสภาพการเพาะแบบพื้นดินกลางแจ้งได้ดี และออกดอกเจริญเติบโตได้ดีในฤดูฝน ออกดอกเร็วภายใน 9 วันหลังจากเริ่มเพาะดอกมีขนาดปานกลางถึงใหญ่ หมวกสีเทา รูปร่างมีทั้งรูปไข่ และยอดแหลม เกิดเดี่ยว หรือเป็นกลุ่ม ๆ และ 4-15 ดอก ให้ผลผลิตสูงสม่ำเสมอเฉลี่ย 700 กรัม ต่อกองในช่วงฝนตกหนัก และ1,100 กรัมต่อกองในฝนตกปานกลาง ในขณะที่เห็ดฟางทั่วไปให้ผลผลิต 200-300 กรัมต่อกองเท่านั้น คุณภาพดอกเห็ดที่เก็บได้ตรงตามความต้องการของตลาดเห็ดสด แต่ข้อจำกัดของเห็ดฟางสายพันธุ์นี้ คือไม่เหมาะที่จะใช้เพาะในฤดูร้อนเพาะได้ผลผลิตตกต่ำ
2. เห็ดฟางสายพันธุ์ TBKH 2 ลักษณะประจำพันธุ์ คือ สามารถเจริญได้ดี ให้ผลผลิตสูงสม่ำเสมอในสภาพการเพาะและดูแลรักษาที่แตกต่างกันในแต่ละท้องที่ ปรับตัวเข้าสภาพแวดล้อมที่แปรปรวนได้ดีทำให้สามารถเพาะได้ทุกฤดูกาล ไม่ต้องดูแลรักษามากและทนร้อนได้ดีตลอดทั้งปี ให้ผลผลิตเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 1 กิโลกรัมต่อกองเตี้ยมาตรฐาน ยกเว้นในฤดูฝนผลผลิตจะลดลงบ้าง
3. เห็ดฟางสายพันธุ์ TBKH 3 ในช่วงหลังปี 2530 ภาคเอกชนมีการไหวตัวเพื่อหาดอกเห็ดมาบรรจุ กระป๋องส่งออกขายยังต่างประเทศ ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องมาจาก ประเทศไต้หวันลดการผลิตเห็ดฟางบรรจุกระป๋องลง แต่ตลาดโลกต้องการเห็ดฟางบรรจุกระป๋องที่มีคุณภาพของดอกเห็ดที่แตกต่างจากดอกเห็ดสดที่ตลาดภายในประเทศต้องการ กล่าวคือ ตลาดโลกต้องการดอกเห็ดที่มีขนาดสม่ำเสมอขนาดปานกลางหรือขนาดเล็กสีดำ ในขณะที่ตลาดสดในประเทศต้องการเห็ดดอกใหญ่มีสีขาว จึงได้มีการนำเข้าสายพันธุ์ พันธุ์เห็ดชนิดนี้จากประเทศไต้หวัน ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่เหมาะสำหรับเพาะป้อนโรงงานอุตสาหกรรมกระป๋อง เนื่องจากมีคุณภาพของดอกเห็ดตรงตามความต้องการตลาดโลก อีกทั้งในผลผลิตสูง กรมวิชาการเกษตรได้ทำการเก็บรักษาสายพันธุ์ และจำหน่ายเผยแพร่ให้แก่ผู้ผลิตเชื้อเห็ด นำไปขยายพันธุ์จำหน่ายให้แก่เกษตรกรผู้เพาะเห็ดทั่วไป
การเพาะเลี้ยงเชื้อเห็ดฟาง
การผลิตเชื้อ''เห็ดฟาง''บริสุทธิ์บนอาหารวุ้น
การผลิตเชื้อเห็ดฟางเป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญมาก หากสามารถฝึกปฏิบัติได้จนชำนาญแล้วจะสามารถผลิตเชื้อเห็ดฟางได้เอง แต่เชื้อเห็ดฟางจะมีความแปรปรวนทางพันธุกรรมและเชื้อมีความเสื่อม ค่อนข้างสูง ผู้ผลิตเชื้อจำเป็นต้องรู้จักการคัดเลือกดอกเห็ดและเส้นใยที่จะนำไปทำเป็นหัวเชื้อให้ถูกต้องและไม่ควรต่อเชื้อบ่อยนัก เพราะจะทำให้ผลผลิตของเห็ดที่ได้ลดลง
ส่วนประกอบต่าง ๆ ของเห็ด
1. หมวกเห็ด เป็นส่วนปลายสุดของดอกที่เจริญเติบโตขึ้นไปในอากาศ เมื่อดอกบานเต็มที่จะกางออก มีลักษณะรูปทรงเหมือนร่มกาง ขอบคุ้มลงหรือแบนราบ หรือกลางหมวกเว้าเป็นแอ่งมีรูปเหมือนกรวยปากกว้าง ผิวหมวกเห็ดด้านบนอาจจะเรียบ ขรุขระ มีเกล็ดหรือมีขนแตกต่างกันแล้วแต่ชนิดของเห็ด เนื้อหมวกเห็ดหนา บางต่างกัน อาจจะเหนียวหรือฉีกขาดได้ง่าย เนื้อเยื่อของหมวกเห็ดบางชนิดอาจเปลี่ยนสีได้เมื่อถูกอากาศ
2. ครีบ หรือซี่หมวดเห็ด เรียงเป็นรัศมีรอบก้านดอก ด้านล่างของหมวกเห็ด เห็ดแต่ละชนิดมีจำนวน ครีบหมวกแตกต่างกันและความหนาบางไม่เท่ากัน จำนวนของครีบหมวกจึงใช้เป็นลักษณะประกอบการจำแนก เห็ดด้วย สีของครีบหมวกส่วนมากจะเป็นสีเดียวกับสเปอร์ของเห็ด ซึ่งจัดเป็นลักษณะแตกต่างของเห็ดแต่ละชนิดด้วย
3. ก้านดอก มีขนาดใหญ่และยาวแตกต่างกัน ส่วนมากเป็นรูปทรงกระบอก ตอนบนยึดติดกับหมวกเห็ดหรือครีบหมวกด้านใน ก้านดอกเห็ดมีผิวเรียบขรุขระหรือมีขน หรือมีเกล็ด
4. วงแหวน เป็นเนื้อเยื่อบาง ๆ ยึดก้านดอกและขอบหมวกของเห็ดให้ติดกัน เมื่อหมวกเห็ดกางออก เยื่อจึงจะขาดจากขอบหมวก แต่ยังมีเศษส่วนยึดติดกับก้านดอกให้เห็นรอบก้านดอกเหมือนมีวงแหวนหรือแผ่น เหยื่อบางสวมอยู่
5. เปลือกหุ้ม เป็นเนื้อเยื่อหนาหรือบางชั้นนอกสุดที่หุ้มดอกเห็ดทั้งดอกไว้ ในระยะที่เป็นดอกตูม เปลือกหุ้มจะมีเนื้อเยื่อและสีคล้ายคลึงกับหมวกเห็ด แต่ส่วนมากจะมีสีขาว
6. กลุ่มเส้นใย บริเวณที่ดอกเห็ดจะขึ้นปรากฏเส้นใยราสีขาวขึ้นอยู่ก่อน เส้นใยนี้จะก่อตัวหรือรวมตัวกันเป็นก้อนใหญ่ เห็ดบางชนิดจะมีเส้นใยรวมตัวกันเป็นก้อนแข็งอยู่ที่โคนก้านดอก หรือเป็นเส้นหยาบมองเห็น ด้วยตาเปล่า แต่เห็ดบางชนิดมีเส้นใยละเอียดเล็กมาก มองไม่เห็นลักษณะดังกล่าว โดยปกติเส้นใยของเห็ดจะเป็นสีขาวนวลแทรกซึมอยู่ตามที่บริเวณที่จะเกิดดอกเห็ด
วงจรชีวิตของเห็ดฟาง
วงจรชีวิตของเห็ดฟางก็เหมือนกับวงจรชีวิตของสิ่งที่มีชีวิตทั่ว ๆ ไป เห็ดฟางเป็นพืชชั้นต่ำ ซึ่งเกิดจากเมล็ด (สปอร์) ที่ตกลงในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เช่น มีความชื้น อุณหภูมิและอาหารดีก็จะงอกออกมาเป็น เส้นใยเห็ด แล้วเส้นใยเห็ดจะมารวมตัวกันเป็นดอกเห็ด ดอกเห็ดจะเจริญเติบโตเรื่อย ๆ เป็นหมวก เป็นครีบและ เป็นก้านดอกที่เราเห็นและนำมารับประทาน
สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเพาะเห็ด
อุณหภูมิ อุณหภูมิมีส่วนสำคัญต่อการเจริญเติบโตของเห็ดฟางเป็นอย่างมาก ที่อุณหภูมิ 38-40 องศา เซลเซียส เป็นช่วงที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการงอกของสปอร์เห็ด เส้นใยเจริญดีที่อุณหภูมิ 35-38 องศาเซลเซียส และเกิดดอกได้ที่อุณหภูมิ 30 องศาเซลเซียส ถ้าร้อนเกินไปดอกเห็ดจะเล็กและบานเร็วกว่าธรรมดา ถ้าเย็นเกินไปเส้นใยเจริญช้าลงจนหยุดเจริญก็มี ข้อสังเกตคือ หน้าร้อนเพาะเห็ดฟางราวๆ 7 วันก็เป็นดอก หน้าฝนกิน เวลา 8-12 วัน ส่วนหน้าหนาว 15-18 วัน หรือกว่านั้นหรือไม่ออกดอกเห็ดเลย
ความชื้น ความชื้นจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของเส้นใย การเกิดดอกและการเจริญเติบโตของดอกเห็ด แต่ภายในดอกเห็ดถ้าความชื้นมากเกินไป เส้นใยจะชุ่มน้ำมากและตายได้ ดอกเห็ดเล็ก ๆ ที่ถูกรดน้ำจะไปชุ่มอยู่บริเวณรอยต่อของเส้นใยกับดอกเห็ด ทำให้ส่งอาหารไปยังดอกเห็ดไม่ได้จึงฝ่อและตายลงได้แต่ถ้าแห้งไปดอกเห็ดจะกระด้างหรือมีรอยแตก และดอกเห็ดไม่เจริญเติบโต
แสง แม้ว่าแสงมีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตและการรวมตัวของเส้นใยเห็ดเพื่อเกิดเป็นดอก แต่แสงก็ไม่มีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของดอกเห็ด และในทางตรงกันข้ามแสงจะเป็นตัวทำให้ดอกเห็ด เปลี่ยนสีคล้ำขึ้น ต่างกับเห็ดที่ขึ้นในที่มืดซึ่งจะมีสีขาวเป็นที่นิยมของผู้บริโภค
ความเป็นกรดด่าง (pH) ผลของกรดด่างมีผลที่สำคัญต่อการผลิตเห็ดเช่นกัน เห็ดฟางชอบสภาพเป็นกลางหรือกรดเล็กน้อย ถ้าเป็น กรดมากหรือเปรี้ยวไปจะทำให้บักเตรีในกองฟางไม่เจริญ ไม่ยอมสลายโมเลกุล โตๆ ให้เล็กลงได้ เส้นใยเห็ดฟางก็จะได้รับอาหารน้อยกว่าที่ควร จะเป็นดอกเห็ดก็จะขึ้นน้อยไปด้วย ความเป็นกรดเป็นด่างที่เหมาะสมสำหรับเห็ดฟางควรอยู่ในระดับ 5-8
อากาศ ทุกระยะของการเจริญเติบโตของเห็ดล้วนแต่ต้องการอากาศในการหายใจทั้งสิ้น โดยเฉพาะ อย่างยิ่งในระยะที่กำลังจะเกิดดอกและเกิดดอกแล้ว ถ้าภายในแปลงเห็ดมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากเกินไป เส้นใยจะเจริญเติบโตช้าลงหรือชะงัก ดอกเห็ดจะยืดยาวออกในลักษณะผิดปกติส่วนผิวของดอกเห็ดจะหยาบ ขรุขระ คล้ายหนังคางคก
การผลิตเชื้อเห็ดฟางบริสุทธิ์บนอาหารวุ้น : ควรปฏิบัติตามขั้นตอน ดังนี้
1. การคัดเลือกดอกเห็ดไว้ทำพันธุ์
- ควรคัดเลือกดอกเห็ดที่ขึ้นเองตามธรรมชาติจะดีที่สุด เพราะจะได้เส้นใยเห็ดที่แข็งแรงและให้ผลผลิต สูง หรืออาจจะคัดเลือกเอาจากดอกเห็ดในแปลงเพาะที่มีลักษณะดังนี้แทนก็ได้เช่นกัน
- เลือกดอกเห็ดจากแปลงที่ให้ผลผลิตสูงสุด
- ควรเป็นดอกตูมอาจเป็นรูปทรงกลมหรือทรงรี
- เลือกดอกเห็ดที่มีเปลือกหุ้มดอกเห็ดหนาเพราะจะได้น้ าหนักดีบานช้าและแข็งแรง
- ไม่ควรเลือกดอกที่เล็กหรือใหญ่เกินไปเลือกขนาดเหมาะสมกับความต้อง
- อาจเป็นสีขาวหรือสีเทา เลือกโดยอิงตามความต้องการของตลาดเป็นหลักแต่เห็ดสีเทาเข้ม จะให้ ผลผลิตสูงกว่าดอกเห็ดสีขาว
2. การทดสอบเชื้อเห็ดฟาง ก่อนจะนำเชื้อเห็ดไปขยายพันธุ์ผู้ผลิตหัวเชื้อควรทำการทดสอบเชื้อเห็ดฟางก่อน เพื่อให้ได้หัวเชื้อที่ดี และให้ผลผลิตสูง ให้ปฏิบัติดังนี้ เมื่อแยกเนื้อเยื่อจากดอกเห็ดไปเลี้ยงบนอาหารวุ้นเส้นใยของเห็ดฟางจะเจริญอย่างรวดเร็วหากเส้นใยมี ลักษณะค่อนข้างฟู มีสีขาว แสดงว่า เป็นเส้นใยที่เป็นหมัน หากนำไปขยายพันธุ์จะมีการสร้างดอกน้อยและให้ ผลผลิตต่ำจึงไม่ควรใช้เส้นใยลักษณะดังกล่าวนี้ เส้นใยที่เหมาะสมแก่การนำไปทำหัวเชื้อ ควรเป็นเส้นใยที่เจริญเติบโตเร็วเส้นใยจะเจริญในแนวราบติด กับอาหารวุ้น เส้นใยที่ดีควรมีลักษณะหยาบอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเส้นใยเดินเต็มผิวอาหารวุ้นแล้ว ทิ้งไว้ประมาณ 5-7 วัน เส้นใยจะเปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีน้ำตาลอ่อนและมีการสร้างคลามัยโดสปอร์โดยเส้นใยจะรวมตัวกันเป็นจุดเล็กๆ เห็นได้ชัด แสดงว่าเป็นเชื้อเห็ดฟางที่ดี แข็งแรง ถ้านำไปเพาะในแปลงจะเกิดดอกแน่นอน ถ้าเส้นใยไม่เปลี่ยนสีไม่สร้างคลามัยโดสปอร์ไม่ควรนำไปใช้ ทำพันธุ์
3. สูตรอาหารเลี้ยงเชื้อเห็ดฟาง มีหลายสูตรแต่ที่นิยมมากที่สุด คือสูตร พีดีเอ (Potato Dextrose Agar)และเส้นใยเห็ดฟางจะเจริญ ได้ดีในอาหารที่มี pH 6.8-7.8
4. การเขี่ยเชื้อเห็ดฟาง วิธีการเลี้ยงเชื้อบนอาหารวุ้นที่นิยมใช้มี 2 วิธี คือ การเพาะเลี้ยงสปอร์กับการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ ดอกเห็ด การเพาะเลี้ยงเชื้อเห็ดบริสุทธิ์และการเขี่ยเชื้อ
5. การขยายเชื้อเห็ดฟางหรือการผลิตหัวเชื้อเห็ดฟาง (Spawn production)เพื่อเพิ่มปริมาณของเส้นใยให้มากขึ้นภายหลังจากที่เส้นใยเห็ดฟางเจริญเต็มผิวอาหารวุ้นแล้วควรขยายเชื้อเห็ดฟางลงในเมล็ดธัญพืชซึ่งนิยมใช้ข้าวฟาง และในปุ๋ยหมักสำหรับขยายเชื้อเห็ดฟาง การผลิตหัวเชื้อ เห็ดจากธัญพืชและปุ๋ยหมัก
**การเขี่ยเส้นใยเห็ดฟางจากอาหารวุ้นลงเลี้ยงขยายในเมล็ดธัญพืชต้องเขี่ยในตู้เขี่ยเชื้อประมาณ 5-7 วัน เชื้อ เห็ดฟางจะเดินเต็มเมล็ดในขวด จากนั้นจะนำขยายลงในถุงปุ๋ยหมัก ไม่ควรนำเชื้อเห็ดจากเมล็ดธัญพืชลงในแปลงเพาะ เพราะเมล็ดธัญพืชยังมีอาหารเหลืออีกมากอาจมีจุลินทรีย์อื่น แมลงหรือมดใช้เป็นอาหารและมีการสิ้นเปลืองมาก จึงควรขยายเชื้อเห็ดลงบนปุ๋ยหมักก่อนนำไปเพาะในแปลง
***ข้อควรระวังในการผลิตเชื้อเห็ดฟางคือ การต่อเชื้อหลายๆ ครั้ง เชื้อเห็ดจะอ่อนแอและผลผลิตลดลงได้