วันที่โพสต์: May 10, 2013 3:40:58 PM
ความเป็นมาของอาคารอนุบาลหลังเก่า
โรงเรียนดาราที่รักของเรา มีอายุครบ 120 ปีแล้ว เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาตามลำดับจากเดิมที่มีนักเรียนไม่กี่คน จนมีมากมายอย่างที่เห็น ๆ กัน อาคารเรียนก็มีไม่กี่หลัง สมัยที่ข้าพเจ้าเป็นนักเรียนอนุบาลเมื่อ 60 กว่าปีมาแล้ว เลขประจำตัว 456 เรียกว่าชั้นคินเดอร์การ์เด้น มีคุณครูแก้วมาลา อินทะพันธุ์ เป็นคุณครูประจำชั้น จำได้ว่าท่านใจดี เกล้าผมมวย นุ่งซิ้นไหม อ้วนขาว เป็นผู้ให้ความรู้ ความรัก ศิลปะต่าง ๆ ห้องเรียนอยู่ใต้ถุนบ้านบี ชั้นบนเป็นที่พักของครู นักเรียนประจำ ตอนนั้นเรียกว่านักเรียนกินนอน ยังมีคนหัวเราะถามว่ากินแล้วก็นอนไม่เรียนหนังสือหรือ รับทั้งนักเรียนทั้งหญิงและชาย เฉพาะนักเรียนชายรับถึงชั้นประถม 1 เท่านั้น แต่ตอนหลังงดรับไปชั่วคราว ปัจจุบันรับตั้งแต่ชันอนุบาล 1 ขึ้นไปเรื่อย ๆ รุ่นแรกกำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
20 กว่าปีต่อมา พ.ศ. 2498 ข้าพเจ้าจบวิชาอนุบาลจากโรงเรียนการเรียนพระนคร (วิทยาลัยครูสวนดุสิตในปัจจุบัน) ได้กลับมาเป็นครูสอนชั้นอนุบาล 2 อยู่ใต้ถุนบ้านบีก็เช่นกัน รู้สึกตื่นเต้นดีใจที่เห็น ตู้ โต๊ะ เก้าอี้ ของเล่น ที่เคยใช้เมื่อเป็นนักเรียนยังอยู่ถึงแม้จะเก่าไปบ้าง ก็ซ่อมแซมใช้มาตลอด
ชั้นอนุบาล 1 ครูจรรยา (ชุติมา) สงวนวงศ์วิจิตร สอนอยู่ใต้ถุนบ้านซี พักอยู่ชั้นบน ส่วนบ้านเอ เป็นห้องเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 บางท่านอาจจะสงสัยว่าบ้านเอ บี ซี คืออะไร ขอเรียนให้ทราบว่าทั้ง 3 หลัง เป็นบ้านไม้ 2 ชั้น แบบเหมือนกัน หลังทรงปั้นหยา ชั้นบนมีหลายห้อง ตั้งเตียงนอน ชั้นล่างใต้ถุนสูง มีไม้ระแนงตีเป็นตารางเฉียง ๆ ที่เป็นในรูปที่ 1 เป็นบ้านเอ เด็ก ๆ กำลังสนุกสนานกับวงล้อหมุน บ้างก็เล่นชิงช้า บาร์โหน กระดานหก กระดานลื่น บ่อทราย ใต้ต้นฉำฉาใหญ่เป็นร่มเงา บางกลุ่มก็เล่นขายของโดยสมมุติเอารากฉำฉาที่เป็นปุ่มปมเป็นครก เด็ดดอกไม้ใบหญ้า มาทำอาหารขายกัน ปัจจุบันเป็นตึกวิทยาศาสตร์ บ้านเอ บี อยู่ติดกัน บ้านซีอยู่ตรงข้ามกันบ้านบี มีอาคารไม้ชั้นประถม 1 ก. ข. อยู่คั่นกลาง ตรงกลางเป็นสนามเด็กเล่น คุณครูจรรยา ปรารถกับข้าพเจ้าว่าห้องเรียนอนุบาลเก่าทรุดโทรม อยากจะย้ายไปสร้างที่อื่น เพราะโรงเรียนของเรายัง มีที่ดินว่างเปล่าอีกมากมาย แต่ไม่มีงบประมาณที่จะสร้างโรงเรียนอนุบาล เราจึงช่วยกันคิดทุกวิถีทางที่จะหาเงินมาช่วยโรงเรียน เช่น ทำขนมขาย มีการแสดงต่าง ๆ โดยเชิญคุณครูนวลฉวี เสนาคำ ซึ่งเป็นครูสอนฟ้อนรำอยู่ที่โรงเรียนอื่น มาช่วยฝึกซ้อมนักเรียนของเราซึ่งมีทั้งหญิงชาย ไปแสดงการเต้นระบำรำฟ้อนที่โรงหนังศรีนครพิงค์ โดยความเอื้อเฟื้อของคุณนายลัดดา พันธาภา ลูกสาวของท่านก็เรียนที่นี่ ขายบัตรได้เงินมาจำนวนหนึ่ง ประกอบกับช่วงนั้นพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์เสด็จมาที่ค่ายกาวิละ เราก็พานักเรียนไปแสดงให้ทอดพระเนตร ท่านประทานเงินให้ 2 หมื่นบาทนับว่ามากพอดูสำหรับเมื่อ 40 ปีก่อน รูปที่เห็นเป็นหนึ่งในชุดการแสดงเพื่อช่วยหาทุนสร้างอาคารอนุบาล ชุดฟ้อนม่านมุ้ยเชียงตา มี ด.ญ.กรวิภา สุกัณศิล, ด.ญ.มาลี จิวขวา กับ คุณครูนวลฉวี เสนาคำ คุณครูจรรยา (ชุติมา) สงวนวงศ์วิจิตร และ ข้าพเจ้าครูพรรณี
ประมาณปี 2501 ทางโรงเรียนจึงอนุมัติให้สร้างอาคารอนุบาลหลังใหม่ เป็นแบบครึ่งตึกครึ่งไม้ ชั้นเดียวใต้ถุนสูง ขนาดผู้ใหญ่เดินเข้าไปต้องก้มหัว เป็นห้องโล่งกว้าง 1 ห้อง มีห้องเก็บของ กับห้องน้ำอีก 3 ห้อง มีระเบียงหน้าหลัง บันได 2 ข้าง ลงทางทิศเหนือ ฝาห้องก่ออิฐ ถือปูน สูงเท่าหัวเด็ก ข้างบนใส่ลวดตาข่ายโปร่ง มี 3 ประตู สร้างถัดจากตึกประถม ซึ่งตอนนี้รื้อไปแล้ว เป็นอาคารเฮเลนในปัจจุบัน ไปทางทิศใต้ด้านทิศตะวันตกติดกับรั้วของโรงพยาบาลแมคคอมิค หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ที่เป็นสวนสนอันร่มเย็น เป็นที่วิ่งเล่นของเราชาวดาราทุกรุ่น ตลอดจนใช้เป็นที่ทำกิจกรรมต่าง ๆ ปัจจุบันสร้างเป็นหอประชุมทีที่กว้างขวาง รูปที่เห็นคือสวนสนและการแต่งกายของครู นักเรียนดาราสมัยนั้น
คุณครูจรรยาสอนชั้นอนุบาล 1 ตั้งโต๊ะทางทิศใต้ใกล้ห้องเก็บของ ข้าพเจ้าสอนอนุบาล 2 ตั้งโต๊ะทางทิศเหนือ มีโต๊ะกลมตั้งให้เด็กนั่งเรียน เล่น ทำกิจกรรมร่วมกัน รวมทั้งเป็นห้องกินข้าว เมื่อกินข้าวเสร็จคนงานหญิงเก็บโต๊ะ เก้าอี้ไปไว้ที่ระเบียง เก็บกวาด เช็ดถู คนงานชายปูเตียงผ้าใบแปรสภาพเป็นห้องนอน
เราย้ายเด็กเข้ามาเรียนที่อาคารใหม่นี้ราวกลางปี 2502 เมื่อต้นปีเขายังเรียนอยู่เก่า ดังจะเห็นในรูปที่กำลังสนุกสนานอยู่กับของเล่น ซึ่งมีทั้งนักเรียนชายและหญิง ศิษย์เก่ารุ่นแรกของอาคารใหม่นี้ รวมตัวกันเหนียวแน่น เวลาโรงเรียนมีงานชุมนุมศิษย์เก่าจะชอบมาเพียบ เรียกว่ารุ่นดอกตะล่อม คือ บานไม่รู้โรย รูปนี้ถ่ายมีหน้าอาคารอนุบาลใหม่ และเป็นรุ่นสุดท้ายที่เรียนอยู่ใต้ถุนบ้านบี ข้างอาคารใหม่นี้เป็นร้านขายขนมให้พี่ชั้นประถมเสียงต่าง ๆ ประสานกันเวลาซื้อสนุกมาก และรบกวนน้องซึ่งกำลังเรียนหรือนอน ที่สำคัญคือน้องมักจะไปยืนอูพี่และขอขนม พี่ก็เดือดร้อน เพราะกินไม่อิ่มทำให้เกิดปัญหา ข้าพเจ้าจึงขอร้องทางโรงเรียนช่วยย้ายร้านไปอยู่อีกด้านหนึ่งของตึกประถม การที่นักเรียนคนละระดับชั้นตั้ง 60 คนมานั่งเรียน เล่น และทำกิจกรรมต่าง ๆ ในห้องเดียวกัน ย่อมไม่สะดวก เสียงก็รบกวนกัน ข้าพเจ้าจึงดัดแปลงร้านค้านี้เป็นห้องเรียน ห้องอาหาร ห้องครัว ลงมากินข้าวรวมกัน ที่นี้แล้วขึ้นไปนอนด้วยกันข้างบน
ต่อมาโรงเรียนสาขาดารา (ดาราใต้) ยุบมารวมกับดาราเหนือ นักเรียนมากขึ้น อาคารอนุบาลก็ขยายเพิ่มอีก 2 ห้องไปทางทิศใต้ และสร้างเพิ่มเติมอีกต่อ ๆ ไปจนเป็นแถวยาวไปชนกันอาคารประถมหนึ่ง ซึ้งย้ายตามมาเมื่อจะสร้างตึกวิทยาศาสตร์เป็นรูปและสร้างห้องอาหารใหญ่กับห้องครัวติดกับระเบียงหลัง แต่ก็ไม่พอกับจำนวนนักเรียนที่เพิ่มขึ้นอีกหลายร้อย เวลากินข้าวก็ให้อนุบาล 3 กินทีหลัง สร้างห้องน้ำเพิ่มอีก 10 ห้อง
กาลเวลาผ่านไป 30 กว่าปี อาคารอนุบาลก็คับแคบเก่าแก่ทรุดโทรมอีก ทางโรงเรียนจึงย้ายไปสร้างตึกใหม่ที่สวยสง่างามกว้างขวาง ทางด้านหลังของสระว่ายน้ำ รับนักเรียนได้เป็นพันกว่าคน อาคารอนุบาลเก่าก็ซ่อมแซมปรับปรุงเป็นห้องทำกิจกรรมของพวกพี่ ๆ
ข้าพเจ้าจึงขอขอบพระคุณทุกท่านที่มีอุปการคุณ ที่ช่วยเสียสละทั้งเวลาและเงินเพื่อสร้างอาคารอนุบาลที่เป็นให้ความรู้ ที่อบรมบ่มนิสัย นักเรียนของเราให้ไปสร้างชื่อเสียงชื่อเสียงคุณงามความดี สมเป็นดารา ดาวที่จรัสฟ้า
***************************************************
ที่มา : หนังสือ 120 ปีดาราวิทยาลัย