ประวัติสังเขป โรงเรียนดาราวิทยาลัย
โรงเรียนดาราวิทยาลัยเป็นโรงเรียนแบบตะวันตกแห่งแรกในเชียงใหม่และในล้านนา กำเนิดของโรงเรียนแห่งนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากการที่นางโซเฟีย แมคกิลวารี ภรรยาของศาสนาจารย์ดาเนียล แมคกิลวารี มิชชันนารีนิกายโปรเตสแตนต์ของคณะอเมริกันเพสไบทีเรียนผู้เข้ามาบุกเบิกการประกาศเผยแพร่คริสต์ศาสนาในเชียงใหม่ ตั้งเต่ ค.ศ ๑๘๗๕ เป็นครอบครัวแรก ซึ่งเมื่อถึง ค,ศ ๑๘๗๕ นางโซเฟีย แมคกิลวารีได้รวบรวมเด็กหญิงในละแวกใกล้เคียงบ้านพักของมิสชันนารี มาหัดอ่านเขียนเรียนหนังสือ และเรียนการเย็บปักถักร้อย ภายหลังต่อมามิชชันนารีเห็นว่าควรจะมีการเปิดโรงเรียนสำหรับเด็กหญิงเป็นการถาวรขึ้น จึงมีการเสนอขอให้มีมิชชันนารีเข้ามาจักการเรื่องนี้โดยเฉพาะ โดยในต้น ค.ศ ๑๘๗๙ ( ตรงกับพ.ศ ๒๔๒๑ ) กรรมการมิชชั่นฝ่ายต่างประเทศของคณะอเมริกันเพรสไบทีเรียน ได้ส่งนางสาวแมรี แคมป์เบลและนางสาวเอ็ดน่า ซาราห์ โคล์ มารับผิดชอบจัดตั้งโรงเรียนอย่างมั่นคงขึ้น แต่ในสองปีต่อมา คือ ค.ศ ๑๘๘๑ นางสาวแคมป์เบลจมน้ำเสียชีวิตในแม่น้ำเจ้าพระยา ( เมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๑๘๘๑ ) ขณะที่แหม่มโคล์รับผิดชอบในการจัดตั้งโรงเรียนซึ่งอยู่บริเวณบ้านพักของมิชชันนารีฝั่งตะวันออกของแม่น้ำปิง ( ที่ตั้งโบถส์คริสตจักรที่ ๑ เชียงใหม่ ปัจจุบัน ) มีชื่อตามรายงานของมิชชันนารีว่า “ โรงเรียนสตรีอเมริกัน “ ( American Girl’School ) กระทั่งถึง ค.ศ ๑๘๘๕ แหม่มโคล์ได้ออกไปรับผิดชอบงานที่โรงเรียนกุลสตรีวังหลัง กรุงเทพฯ นางสาวอิสเบลลา กริฟฟิน ครูมิชชันนารีที่สำคัญคนหนึ่งเป็นผู้รับผิดชอบต่อมา
โรงเรียนสตรีอเมริกัน แต่เดิมมีมิชชันนารีเป็นครูและผู้นำเป็นหลัก ภายหลังมีนักเรียนคนเมืองที่จบจากโรงเรียนนี้เข้าเป็นครูช่วยสอนด้วย เช่น ครูยอดเรือน มณีศักดิ์ ครูบัวคำ สินันตา และครูคำติ๊บอินทะพันธ์ เมื่อถึง ค.ศ ๑๘๙๒ ปรากฎหลักฐานว่าครูยอดเรือนได้เป็นหัวหน้าครูคนเมืองคนแรก ในระบบโรงเรียนของมิชันนารี แสดงว่าคงมีครูคนเมืองเป็นครูในโรงเรียนนี้มากขึ้นจึงต้องมีหัวหน้าฝ่ายครูคนเมือง อย่างไรก็ดี มีงานเขียนหลายแห่งกล่าวว่า ครูยอดเรือนเป็นครูใหญ่ชาวพื้นเมืองคนแรกของโรงเรียนนี้ ซึ่งตามระบบของโรงเรียนมิชชัน ก่อนที่จะมีพระราชบัญญัติโรงเรียนราษฎร์ ( ค.ศ ๑๙๑๘ ) ยังไม่เปิดโอกาสให้คนเมืองรับผิดชอบในตำแหน่งดังกล่าว และตำแหน่งครูใหญ่ที่กล่าวถึง คงไม่ตรงกับความเข้าใจในปัจจุบัน
การเปิดโรงเรียนสมัยใหม่สำหรับสตรี นับเป็นที่สนใจของเจ้านายในเชียงใหม่ และได้ให้การสนับสนุนอยู่ไม่น้อย ดังที่พระเจ้าอินทวิชยานนท์เจ้าหลวงเชียงใหม่องค์ที่ ๗ ได้ประทานที่ดินทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำปิงแก่มิชชันนารีให้เป็นที่ตั้งบ้านพักและโรงเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าดารารัศมี ( พระธิดาของเจ้าอินทวิชยานนท์กับเจ้าแม่ทิพไกรสร ) ที่ได้เป็นเจ้าจอมในราชสำนักพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ โดยเมื่อครั้งเสด็จกลับจากกรุงเทพฯ มาเยือนเชียงใหม่ ใน ค.ศ ๑๙๐๙ มีความสนพระทัยในกิจการของโรงเรียนสตรีอเมริกันเป็นอย่างมาก และยังทรงเป็นผู้ขอพระราชทานนามของโรงเรียน จากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อให้โรงเรียนสตรีอเมริกันมีชื่ออย่างเป็นหลักฐาน เช่นเดียวกับที่สมเด็จฯ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ ได้พระราชทานนาม “ The Prince Royol’s College “ สำหรับโรงเรียนชายวังสิงห์คำ เมื่อต้นเดือนมกราคม คศ ๑๙๖๐มาแล้ว
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานนามสำหรับโรงเรียนสตรีอเมริกันแห่งนี้ ตามพระราชทานโทรเลข ลงวันที่ ๖ พฤศจิกายน ค.ศ ๑๙๐๙ ว่า “โรงเรียนพระราชายา “ ซึ่งเป็นชื่อตามนามพระอิสริยยศพระราชายา ( มีเพียงพระองค์เดียว ) เมื่อต้น ค.ศ ๑๙๐๖ นี้เอง
ใน ค.ศ ๑๙๑๘ ทางรัฐบาลสยาม ได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติโรงเรียนราษฏร์ เพื่อให้มีการควบคุมดูแลการจัดการศึกษา ที่ดำเนินการโดยเอกชนให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย นางสุดา ไชยวัณณ์ ได้เป็นครูใหญ่ซึ่งเป็นชาวไทยคนแรกของโรงเรียนพระราชชายาตามพระราชบัญญัตินี้ ต่อมาภายหลังเมื่อนักเรียนได้รับความนิยม มีความเจริญและขยายตัวมากขึ้น ทำให้สถานที่แห่งเดิมไม่เพียงพอสำหรับการจัดโรงเรียนแบบประจำ จึงได้มีการสร้างอาคารเรียนเพิ่มขึ้นในที่แห่งใหม่ เมื่อ ค.ศ ๑๙๒๓ รับนักเรียนทั้งประจำและไป-กลับ ทั้งยังขอประทานนามจากเจ้าดารารัศมีมาตั้งชื่อโรงเรียน ที่แยกออกมานี้ว่า “ โรงเรียนดาราวิทยาลัย “ ส่วนในโรงเรียนพระราชชายายังคงมีอยู่ โดยสอนถึงระดับชั้นมัธยมปีที่ ๒ เฉพาะแบบไป-กลับ ซึ่งเป็นที่รู้จักในนาม “ ดาราไต้ “ โดยมีครูศิริเลิศ วสันตสิงห์ เป็นครูใหญ่ ขณะที่ “โรงเรียนดาราวิทยาลัย” โดยเรียกขานกันในนาม “ดาราเหนือ”มีนางสาวจูเลีย แฮทช์ เป็นผู้จัดการ และมีครูไฝคำ พันธุพงศ์ เป็นครูใหญ่ จนกระทั่งถึง ค.ศ ๑๙๓๓ โรงเรียนพระราชชายาจึงได้เข้าเป็นสาขาหนึ่ง ของโรงเรียนดาราวิทยาลัย
ในปี ค.ศ ๑๙๓๖ โรงเรียนดาราวิทยาลัยได้จัดตั้งกองเนตรนารีขึ้นซึ่งเป็นหน่วยแรกของส่วนภูมิภาค และเป็นที่กล่าวขานกันว่า เป็นกิจกรรมที่ได้ทำให้โรงเรียนมีชื่อเสียงโดดเด่นมาก ในครั้งที่เดินสวนสนามงานฉลองรัฐธรรมนูญในปีเดียวกัน ต่อมาใน ค.ศ ๑๙๔๐ โรงเรียนดาราวิทยาลัยได้รับรองวิทยฐานะจากทางรัฐบาล
ช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ ( ค.ศ ๑๙๔๑–๑๙๔๕ ) โรงเรียนดาราวิทยาลัยถูกปิดและรัฐบาลยึดครองในฐานะเป็นทรัพย์สินของสหรัฐอเมริกา ที่เป็นชาติศัตรูสงครามกับไทย โดยทางรัฐบาลได้ใช้โรงเรียนดาราวิทยาลัย และโรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย โดยเปิดทำการสอนระดับชั้นเตรียมอุดมหรือชั้นมัธยมปลายเรียกว่า ” โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาภาคพายัพ “ ขณะที่คุณครูไฝคำ พันธุพงศ์ ครูใหญ่โรงเรียนพระราชชายา ( ดาราไต้ ) ขณะนั้น ยังคงเปิดทำการสอนตามปกติ แต่ต่อมาต้องย้ายไปเปิดการเรียนการสอนที่บ้านพัก เมื่อภายหลังสงครามยุติลง มิชชันนารีอเมริกันเพรสไบทีเรียนกลับมารับทรัพย์สินคืนจากรัฐบาลไทย ในค.ศ ๑๙๔๖ โรงเรียนดาราวิทยาลัยและโรงเรียนพระราชชายา จึงได้เปิดทำการสอนในสถานที่เดิมของตนเองอีกครั้งหนึ่ง และในปีเดียวกันนี้เองได้มีการจัดตั้งสมาคมศิษย์เก่าโรงเรียนดาราวิทยาลัย โดยมีนางบุญปั๋น สิงหเนตร เป็นนายกสมาคม คนแรก นับเป็นสมาคมของสตรีสมาคมแรกในจังหวัดเชียงใหม่
อนึ่ง ในด้านการเรียนการสอนนั้น การจัดหลักสูตรของโรงเรียนในสมัยก่อน ยังไม่มีระบบชั้นเรียน แต่ได้จัดแบ่งเป็น ๖ หมู่ เรียนตั้งแต่หมู่ที่ ๖ จนถึงหมู่ที่ ๑ ( ถือเป็นชั้นสูงสุด ) มีการเรียนการสอนทั้งภาษาล้านนา ( คำเมือง ) ภาษาอังกฤษ เลขคณิต การบ้านการเรือน และอื่นๆ ภายหลังจึงจัดการเรียนการสอนตามระบบของกระทรวงธรรมการ ( ภายหลังเปลี่ยนเป็นกระทรวงศึกษาธิการ ) เมื่อถึง ค.ศ ๑๙๔๗ ได้จัดการเรียนการสอน ตั้งแต่ชั้นอนุบาลถึงชั้นมัธยมปลายหรือเตรียมอุดมศึกษา ต่อมาในปี ค.ศ ๑๙๕๒ได้จัดตั้ง “ สหเตรียนอุดมศึกษา “ ร่วมกับโรงเรียนปริ้นส์รอยแยลส์วิทยาลัย และเมื่อมีการสร้าง “ ตึกสหเตรียม “ สำหรับโรงเรียนสหเตรียมอุดมศึกษา ( ปริ้นส์-ดารา ) ในปี ค.ศ ๑๙๕๘ ได้จัดให้นักเรียนชั้นมัธยมปลาย ( เตรียมอุดมศึกษา ) ของโรงเรียนปริ้นส์รอยแยลวิทยาลัย แต่เมื่อถึง ค.ศ ๑๙๖๑ โครงการนี้ได้ยุติลง เนื่องจากรัฐบาลไม่อนุญาตให้จัดการเรียนการสอน ในลักษณะดังกล่าว โรงเรียนดาราวิทยาลัยจึงได้สร้างอาคารเรียนเตรียมอุดมศึกษาของตนเอง ในปีค.ศ๑๙๖๑ และต่อมา ในปี ค.ศ ๑๙๗๖ โรงเรียนพระราชชายาหรือดาราไต้ จึงได้ยกเลิกกิจการและหลวมรวมกับโรงเรียนดาราวิทยาลัยโดยสมบูรณ์ตั้งแต่นั้นมา
นับแต่อดีตถึงปัจจุบัน โรงเรียนสตรีแห่งนี้มีบทบาทสำคัญในการถ่ายทอดความรู้วิทยาการและในการผลิตครูสตรี ผู้มีความรู้ความสามารถออกไปรับใช้รับผิดชอบด้านการเรียนการสอน ทั้งในโรงเรียนของมิชชันนารีและของรัฐบาล เพื่อตอบสนองทางด้านการศึกษา ในยุคที่กำลังมีการปฏิรูปการศึกษาซึ่งเป็นการปฏิรูปการศึกษาสมัยใหม่ในเวลานั้น และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการออกพระราชบัญญัติโรงเรียนราษฎร์ ( ค.ศ ๑๙๑๘ ) และพระราชบัญญัติประถมศึกษา ( ค.ศ ๑๙๒๑ ) ซึ่งเป็นการกำหนดแผนการศึกษาแห่งชาติ ครั้งแรกจำเป็นต้องมีครูสอนที่ได้รับการฝึกฝนวิชาชีพครูอย่างแท้จริง โรงเรียนดาราวิทยาลัยจึงได้จัดเตรียมการด้านนี้โดยเฉพาะ โดยมีนางสาวมากาเร็ต นีเบอร์ เป็นผู้รับผิดชอบ นับเป็นการส่งเสริมให้สตรีมีความสำคัญในฐานะเป็นครูผู้สอนซึ่งตอบสนองต่อระบบการศึกษาสมัยใหม่
ในยุคปัจจุบัน โรงเรียนดาราวิทยาลัยนับเป็นโรงเรียนเอกชนชั้นนำโรงเรียนหนึ่ง ของจังหวัดเชียงใหม่และของประเทศ มีเกียรติประวัติดีเด่นสร้างชื่อเสียงกับทางจังหวัด และประเทศชาติหลายประการ ดังตัวอย่างที่โดดเด่น เช่น ในปีค.ศ ๑๙๙๖ โรงเรียนดาราวิทยาลัยได้รับรางวัลชนะเลิศวงโยทวาธิตระดับโลก ในการประกวดที่ประเทศแคนนาดา เป็นต้น
การถือกำเนิดของโรงเรียนสตรีอเมริกัน และได้รับพระราชทานนามเป็นโรงเรียนพระราชชายา สืบทอดต่อมาสู่โรงเรียนดาราวิทยาลัย ถือเป็นปรากฏการณ์อันสำคัญทางประวัติศาสตร์ในดินแดนล้านนา โดยในที่นี้จะเห็นได้ว่า มิชชันนารีในล้านนา ได้จัดตั้งโรงเรียนสำหรับสตรีขึ้น ก่อนที่จะมีการจัดตั้งโรงเรียนชาย เนื่องด้วยได้มองเห็นถึงลักษณะทางสังคมของคนเมืองในขณะนั้นว่า สตรีล้านนาไม่เพียงแค่เป็นแม่บ้านเท่านั้น แต่ยังเป็นใหญ่หรือมีอำนาจในครัวเรือนไทยด้วย
นอกจากนี้ ศาสนาจารย์แมคกิลวารีมีแนวคิดว่า การจัดตั้งโรงเรียนที่มั่นคงจะเป็นพื้นฐานอันสำคัญของการสร้างคริสตจักรที่เข็มแข็ง และได้มองถึงสภาพสังคมล้านนาทั่วไปในขณะนั้นว่า ธรรมเนียมประเพณีและฮีตเมืองที่ถือคติเรื่องผู้หญิงอ่านหนังสือได้ เป็น “ บาป “ เป็นธรรมเนียมที่ไม่ดี แท้ที่จริงแล้วผู้หญิงควรอ่านหนังสือได้เหมือนผู้ชาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สตรีคนเมืองที่สนใจคริสต์ศาสนาและเข้าหามิชชันนารี ควรจะอ่านหนังสือได้ เพื่อจะสามารถอ่านพระคัมภีร์และเข้าใจคำสอนของคริสต์ศาสนา ดังที่ ศาสนาจารย์แมคกิลวารีได้ความเห็นอย่างแข็งขัน กับการจัดตั้งโรงเรียนแบบตะวันตก ขณะที่ท่านมาถึงเชียงใหม่ว่า “ สิ่งแรกที่ต้องจัดทำคือการจัดตั้งโรงเรียนสำหรับสตรี “โรงเรียนดาราวิทยาลัยจึงนับว่ามีบทบาทสำคัญ ในการเปิดโอกาสด้านการศึกษาสำหรับสตรี ซึ่งในสมัยก่อนถูกปิดกั้นโดยจารีตทางสังคม ดั้งนั้น การจัดตั้งโรงเรียนสำหรับเด็กผู้หญิงในเชียงใหม่ เป็นการเปิดพื้นที่ทางการศึกษาสมัยใหม่ สำหรับสตรีในยุคที่สังคมสงวนพื้นที่นี้สำหรับเฉพาะบุรุษเป็นสำคัญ
การจัดการศึกษาสำหรับสตรีโดยมิชชันนารี อันเป็นที่มาของโรงเรียนดาราวิทยาลัย ยังแสดงในทางความคิดเกี่ยวกับการกอบกู้ศักดิ์ศรีและความเสมอภาคของมนุษย์ชาติ โดยมีความเข้าใจว่า เป็นการปลดปล่อยสตรีจากการเป็นทาสของสังคม และยกฐานะสตรีให้สูงขึ้นทัดเทียมชาย ให้เป็นผู้มีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ตามฉายาของพระผู้เป็นเจ้า ประวัติศาสตร์ของโรงเรียนดาราวิทยาลัย จึงเป็นประวัติศาสตร์แห่งการสร้างศักดิ์ศรีของมนุษย์ การปลดเปลื้องพันธนาการแห่งความไม่เสมอภาคของสตรีการสร้างสตรีให้มีปัญญาความรู้ความสามารถที่จะก้าวไปอย่างเท่าเทียมและรู้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก ตามยุคสมัยรวมถึงการวางรากฐานสำหรับลูกหลานในสังคมไทย ให้เป็นผู้มีความรู้และคุณธรรม ที่จะเป็นทรัพยากรอันล้ำค่าของประเทศชาติในอนาคต
บรรณานุกรม
ประสิทธิ์ พงศ์อุดม. “ มิชชันนารีโปรเตสแตนต์กับการศึกษา
บาทผู้ปฏิรูปและการจัดการศึกษาในสังคมไทย. “ ใน ๑๗๕ ปีพันธ กิ กิจคริสต์ศาสนาในประเทศไทย ( ค.ศ. ๑๘๒๘ - ๑๙๒๘ ) นันทชัย
มีชูธน.
บรรณาธิการ. กรุงเทพฯ :ประชุมทอง พริ้นติ้ง กร๊ป,๒๐๐๐๔. (หน้า ๑ ๑ ๒๔ - ๑๖๔ )
โรงเรียนดาราวิทยาลัย. อนุสรณ์ ๗๕ ปี. เชียงใหม่: ลานนาการ
พิมพ์, ๒๔๙๗
โรงเรียนดาราวิทยาลัย. อนุสรณ์ ๑๐๐ ปี.เชียงใหม่:โรงพิมพ์ส่ง
เสริมธุรกิจ,๒๕๒๑
โรงเรียนดาราวิทยาลัย. ดาราวิทยาลัย’ ๔๖. เชียงใหม่:๒๖๔๖
หมวก ไชยลังการณ์. “ รายงานเรื่องโรงเรียนสหเตรียมอุดมศึกษา
เชียงใหม่. “ ข่าวคริสตจักร. ๑๑ ๑๕ (กรกฎาคม ๑๙๕๘ ) : ๘–
๑๐
Mcfarland,Goerge B. The Hiistorical Sketch of Protestant
Missions in Siam, 1828 – 1928
Bangkok: Bangkok Times Press, 1982
McGilvary, Damiel. A Half Century among the the Siamese
And Lao” New York : Fleming H Revell, 1912.
โรงเรียนสาขาดาราวิทยาลัย( ดาราไต้ )
โรงเรียนสาขาดาราทยาลัยเป็นโรงเรียนเริ่มแรกของโรงเรียนดาราวิทยาลัย ตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ ๒๔๒๑ โดยคณะมิชชันนารีชาวอเมริกันที่เข้ามาสอนศาสนาในประเทศไทย มิชชันนารีรุ่นแรกคนหนึ่ง คนสมัยนั้นเรียกพ่อครูหลวง* เมื่อมาถึงเชียงใหม่ก็ชอบภูมิประเทศและสภาพดินฟ้าอากาศของเมืองเชียงใหม่ ก็อยากจะมีที่พักอยู่ที่เมืองเชียงใหม่ จึงไปขอที่ดินต่อเจ้าเมืองเชียงใหม่ บอกพ่อเจ้าว่า ขอแผ่นดินเท่าผืนหนังควาย เจ้าเมืองก็อนุญาต พ่อครูหลวงก็เอาผืนหนังควายเท่าผืนเสื่อ มาตัดเป็นเส้นๆ แล้วต่อกันวัดที่ดินจดถนนเจริญเมือง เรียงตามถนนเจริญราษฏร์ขึ้นไปทางทิศเหนือจนถึงโรงพยาบาลจินดาปัจจุบันนี้
ต่อจากนั้นก็ปลูกบ้านสามหลัง เป็นบ้านพักของครอบครัวมิชชันนารี ที่เข้ามาสอนศาสนาในประเทศไทย เวลานั้นคนไทยยังอ่านหนังสือไม่ได้ นอกจากพระสงฆ์ที่เรียนอยู่ในวัดเท่านั้น มิชชันนารีพวกนี้จึงมีความคิดที่จะให้คนไทยอ่านหนังสือได้ จึงไปบอกให้ชาวบ้านมาเรียนหนังสือที่บ้านของเขา คนที่มาเรียนไม่ใช่เด็กเล็กๆ เป็นวัยรุ่นบ้าง อายุ ๒๐ กว่าบ้าง คนที่แต่งงานแล้วก็ได้ถ้าอยากเรียน ครั้งแรกที่มาเรียนประมาณ ๖ - ๗ คนเท่านั้น เขาจะสอนการฝีมือ เย็บปักถักร้อย และจ้างครูไทยจากกรุงเทพฯมาสอนภาษาไทย ไม่ทราบว่ามีการจ้างสอนให้มาเรียนหนังสือหรือเปล่า แต่ที่โรงเรียนวังสิงห์คำของโรงเรียนปรินส์รอยฯ เขาจ้างให้ผู้ชายมาเรียนด้วย
เมื่อมีนักเรียนมาเรียนมากขึ้น จึงได้รับพระราชทานนามว่า “ โรงเรียนพระราชชายา “ สถานที่เรียนก็คือบ้านพักมิชชันนารีนั่นเอง ต่อมามีนักเรียนมากขึ้น จึงย้ายไปตั้งที่หมู่บ้านหนองเส้ง มิชชันนารีก็ไปซื้อที่ดินที่นั่น ๗๔ ไร่ ๘ ตารางวา สร้างโรงเรียนที่นั่น ได้รับพระราชทานนามว่า “ โรงเรียนดาราวิทยาลัย “ เพื่อเป็นที่ระลึกถึงพระราชชายาเจ้าดารารัศมี โดยโรงเรียนสาขาดาราก็คงมีอยู่อย่างเดิมเรียกว่าโรงเรียนสาขาดารา หรือโรงเรียนดาราไต้ ต่อมาเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ โรงเรียนถูกยึดเอาไว้ใช้เป็นที่พักทหารญี่ปุ่น โรงเรียนถูกปิด นักเรียนไปเรียนต่อที่โรงเรียนรัฐบาล บ้างก็ไม่เรียนที่ไหนเลย แต่ครูไฝคำ พันธุพงศ์ เป็นครูใหญ่ดาราไต้เวลานั้น ได้พานักเรียนไปเรียนที่บ้านของครูเอง โดยทำห้องติดกับพื้นดิน กั้นเป็นห้องๆ ให้นักเรียนเรียนตอนนั้นอยู่ระหว่างสงครามเวลาได้ยินเสียงหวอ ก็พากันวิ่งเข้าหลุมหลบภัยกัน ที่บ้านฟ้าฮ่ามนั้น ชาวบ้านต่างก็พาลูกหลานไปฝากเรียนอยู่เสมอ ครูไฝคำให้ชื่อโรงเรียนว่า “ โรงเรียนดาราวิทยา “ ส่วนคำว่า “ ลัย “ นั้นหายไปไหนไม่รู้ ครูบอกว่า “ ลัย “ ตกน้ำปิงไปแล้ว และเรียนอยู่ที่นั้นจนสงครามเลิก รัฐบาลก็คืนโรงเรียนให้ พวกมิชชันนารีทั้งหลายก็กลับมายังที่เดิม โรงเรียนก็ค่อยๆ เจริญขึ้นมาจนกระทั่งบัดนี้ สมัยสงครามนั้นครูที่มาสมัครใหม่วุฒิ ม. ๖ จะได้เงินเดือน ๒๐ บาทเท่านั้น
โรงเรียนสาขาดารา อาคารที่ใช้เรียนก็คือ บ้านพักมิชชันนารีนั่นเอง คงเป็นหลังแรกเพราะใกล้สะพานนวรัฐ อาคารเรียนนี้เป็นเรือนไม้ใต้ถุนเป็นดิน ภายหลังทางโรงเรียนก็ดัดแปลง ทำชั้นล่างเป็นห้องลาดซีเมนต์ทำเป็นห้องเรียน ชั้นล่างเป็นห้องอนุบาลและชั้นประถมปีที่ ๑ ชั้นอนุบาลถึงชั้นประถมปีที่ ๒ มีนักเรียนชายและหญิงปนกัน มีทั้งหมดถึงชั้นประถมปีที่ ๔ ไม่มีครูฝรั่งสอน เพียงแต่มาเยี่ยมเยียน และแนะนำการสอน มีแต่ภาษาอังกฤษ ต้องทำบันทึกการสอนส่งอาจารย์แมคแคนซี เมื่อเราสอนจบบทที่กำหนดให้เสร็จแล้ว อาจารย์จะมาสอบเด็กอีกที โรงเรียนนี้ไม่มีนักเรียนประจำมีแต่นักเรียนไป-กลับทั้งนั้น และเด็กที่ไปเรียนก็เป็นเด็กแถวสันป่าข่อย ท่าสะต๋อย บ้านเด่น และเด็กที่อยู่ในตลาด มีลูกคนจีน และคนอินเดียไปเรียนที่นั่น ถ้าจะย้ายไปเรียนที่โรงเรียนดาราเหนือก็ไม่ต้องสอบเข้า ข้อสอบของเราจะแต่งเอง เพียงแต่เราเอาไปให้ดาราเหนือโรเนียวเท่านั้น นักเรียนทั้งหมดมีประมาณสองร้อยกว่าเกือบสามร้อยกว่าคน ครูมีทั้งหมด ๘ คน รวมทั้งครูใหญ่ เมื่อจบชั้น ป. ๔ จากดาราไต้ ทางโรงเรียนจะออกใบรับรองสีเหลืองเพี่อส่งตัวให้มาเรียนต่อที่ดาราหนองเส้ง ( ดาราเหนือ ) ครูประจำชั้นจะเป็นผู้สอนประจำในห้องเรียน นักเรียนจะเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่ ป.๒ เป็นแบบหนังสือเรียนที่มีรูปภาพประกอบ มีการสอนเย็บปักทักร้อย สอนวิชาพลศึกษาโดยจ้างครูพิเศษมาสอน
โรงเเรียนนี้ไม่มีโรงอาหารและขายอาหาร มีแต่ภรรยาของภารโรงจะขายขนมตอนเช้า มีขนมเพียงเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น นักเรียนและครูต้องเอาอาหารมาจากบ้านมากินรวมกัน ถึงเวลาพักกลางวันให้นักเรียนนำอาหารมาเปิดที่ระเบียงยาวที่ใช้เป็นที่นมัสการตอนเช้า แล้วไห้ร้องเพลงโมทนามีอาหารพร้อมกัน แล้วจึงรับประทานอาหาร ครูก็รับประทานอาหารที่ห้องพักครูรวมกันเป็นกิจวัตร พวกเราอยู่ด้วยกันด้วยความรักใคร่กลมเกลียวไม่ถือเขาถือเรา บางทีครูไพฑูรย์ก็เอาปิ่นโตเถาใหญ่ใส่อาหารหลายอย่างมาให้เรากินพร้อมกันอย่างเอร็ดอร่อย บางครั้งเราก็สั่งก๋วยเตี๋ยวข้างนอกมากินกัน
มีสิ่งที่น่าประทับใจอย่างหนึ่งคือ สมัยนั้นเงินเดือนน้อย ครูจะได้เงินเดือนคนละประมาณ ๒๐,๔๐ และ ๑๐๐บาท อยากจะซื้อจักรยานสักคันก็มีเงินไม่พอ เราก็เอาเงินมารวมกันแล้วจับสลากว่าคนไหนจะได้ บางทีคนที่เขายังไม่ต้องการใช้ เมื่อจับได้เขาก็จะเอาให้คนที่ต้องการก่อนไปซื้อของที่เขาต้องการนั้น แล้วก็ใช้ให้ในเดือนต่อไปโดยไม่เสียดอกเบี้ยอะไรเลย เป็นการช่วยเหลือกันด้วยจิตใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าประทับใจมาก นี่คือน้ำใจของครูโรงเรียนดาราไต้สมัยก่อน ต่อมารุ่นหลังนี้ไม่ได้ทำกัน
โรงเรียนนี้ตั้งอยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำปิง ถ้าอยู่บนระเบียงมองไปที่แม่น้ำปิง จะเห็นคนถ่อแพ ล่องมาที่หน้าโรงเรียน ในหน้าแล้งนั้นเขาจะมีฟักปฟงแตงกวา และผลไม้หลายอย่างมาด้วย เรามักจะซื้อของของเขา และถ้าเรามองข้ามแม่น้ำปิงไป ก็จะเห็นดอยสุเทพสูงตระหง่านอยู่ด้านหน้าเป็นที่สวยงามอย่างมาก
ดาราไต้อยู่ใกล้เชิงสะพานนวรัฐ ซึ่งบางครั้งเวลาจังหวัดเชียงใหม่จัดงานยิ่งใหญ่ประจำปี เช่นงานลอยกระทง ทางโรงเรียนก็จะออกร้านขายของ โดยมีครูจากดาราเหนือไปตั้งร้านอาหาร ขายของ ได้เงินเข้าโรงเรียนปีละมากๆ และเป็นที่ประทับใจในฝีมือของอาหารและสินค้าที่นักเรียนออกจำหน่าย เช่น ขนมถุง ขนมโก๋ เนื้อสวรรค์ ซึ่งครูทำขึ้นบรรจุในถุงกระดาษสีสวยๆ จูงใจให้คนมาเลือกซื้อ
รู้สึกขอบพระคุณพระเจ้ามากจริงๆ ที่ให้เราได้มีโรงเรียนนี้ ให้เราได้ใช้เป็นสถานสึกาาแก่เยาวชนของไทยเรา
คุณครูจันทร์นวล สุวรรณกูล
*พ่อครูหลวง คือ ศาสนาจารย์ดานิเอล แมคกิลวารี
ผู้พรัราชทานนามคือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
สิบเอ็ดปีที่ใช้ชีวิตในโรงเรียนสาขาดาราวิทยาลัย ( ดาราไต้ )
โรงเรียนดาราไต้ คือโรงเรียนดาราวิทยาลัยที่ตั้งอยู่ในสถานที่ก่อตั้งเดิม ซึ่งเป็นที่ดินที่มิชชันนารี ดร. แดเนียล แมคกิลวารี ได้รับบริจาคจากเจ้าหลวงเชียงใหม่ เจ้า… ซึ่งเป็นบิดาของพระราชชายาเจ้าดารารัศมี เรื่องของโรงเรียนดารไต้นี้ได้รับความกรุณาจาก คุณครูสมศรี กัณฑมิตร เป็นผู้เขียนไว้เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ทราบ เมื่อมีนักเรียนเพิ่มมากขึ้น จึงด้ย้ายโรงเรียนมาอยู่ที่หนองเส้ง โรงเรียนดาราไต้ยังคงดำเนินกิจการไปได้อีกระยะหนึ่ง จึงปิดและมารวมกันอยู่ที่หนองเส้งที่เดียว โรงเรียนเดิมจึงกลายเป็นที่ตั้งของคริสตจักร ที่ ๑ มาจนกระทั่งปัจจุบันนี้
โรงเรียนดาราไต้มีบริเวณกว้างขวางมาก มีอาคาร ๑ หลัง ๒ชั้น มีห้องเรียนชั้นล่างคือชั้นอนุบาลหนึ่ง อนุบาลสอง และประถมปีที่ / แต่ละห้องจะกว้างขวางมาก ห้องโปร่ง โล่ง พื้นที่กว้าง เนื่องจากมีนักเรียนประมาณ ๒๕ - ๓๗ คนเท่านั้น บริเวณรอบอาคารจะมีต้นหางนกยูงใหญ่ ๑ ต้น มีเครื่องเล่นของเด็กไม่กี่ชิ้น มีต้นมะตูมใหญ่กลางสนาม ซึ่งมีประโยชน์ในการให้ร่มเงามาก ด้านหลังอาคารมีห้องน้ำห้องส้วมนักเรียน และมีบ้านคนงานภารโรง มีรั้วเป็นต้นข่อยหนาทึบสูงด้วย
ดาราไต้ไม่มีครูพิเศษ มีเฉพาะครูประจำชั้นเท่านั้น จะมีครูพิเศษมาจากดาราเหนือหรือดาราหนองเส้ง คือคุณครูนารี สุภารัตน์ จะมาสอนร้องเพลง ฟ้อนรำ ทำท่าตามเพลง ๑ วัน ใน ๑ อาทิตย์เท่านั้น ดิฉันอยู่ดาราไต้นี้ ๑๑ ปี มีครูใหญ่ ๒ สมัย สมัยที่ ๑ คือ อาจารย์ประนอม เนตรโยธิน ( สัจจะเวทะ ) สมัยที่ ๒ คือ อาจารย์สุขเกษม แสนมโนวงศ์ ครูใหญ่และครูน้อยปกครองกันแบบพี่แบบน้อง แบบถ้อยทีถ้อยอาศัยไม่มีเรื่องบาดหมาง หรืมีเรื่องขุ่นเคืองอะไรกันเลยสักครั้ง จะมีแต่ก็คำกล่าวตักเตือน สั่งสอน แนะนำและให้คำปรึกษาเท่านั้น ดิฉันเริ่มทำงานวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๐๐ เริ่มสอนชั้นประถมปีที่ ๑ ซึ่งมีทั้งนักเรียนชายและหญิง นักเรียนชายจะมีตั้งแตอนุบาล ๑ ,อนุบาล ๒ และประถม ๑ เท่านั้น เขาก็จะแยกย้ายไปเข้าที่อื่น ดิฉันมีลูกศิษย์มากมาย ซึ่งเป็นใหญ่เป็นโตไปกันหมดแล้ว ที่เจอกันบ่อยก็มี อมร ไชยลังการณ์,อิศราภรณ์ เจตะภัย (เทพรัตน์) นันทวัน,พันธ์ศักดิ์,สุพจน์ ตรีประลำ เป็นต้น และหลายคนจะมีข่าวที่ดีมีเกียรติในหนังสือพิมพ์ ก็จะดีใจกับลูกศิษย์ด้วยเมื่ออ่านข่าว
ดาราไต้ไม่มีห้องประชุม จะใช้ระเบียงด้านหน้าซึ่งขนานกับถนนและแม่น้ำปิงเป็นที่ประชุม จะเป็นลักษณะแคบยาว ให้นักเรียนนั่งข้างหน้าเข้าหากัน หลังจะติดฝากับแนวระเบียง ทุกวันจันทร์จะมีประชุม ๑ ครั้ง ตอนเช้าก่อนเข้าเรียน
ครูที่เป็นเวรนำนมัสการจะยืนตรงที่ประตูห้อง ป.๔ หันหน้าไปทางถนนแม่น้ำปิง จะร้องเพลงหรือเล่านิทานที่เป็นคติ ครูก็จะหันหน้าไปทางเหนือที ทางใต้ทีหนึ่ง เพื่อเด็กจะได้ยินที่เราพูด ไม่มีไมโครโฟน เด็กที่ได้ยินชัดคือ เด็กที่นั่งตรงหน้าเราเท่านั้น บางครั้งเมื่อเป็นเวรที่ดิฉันนำนมัสการ ได้หันหน้าไปทางถนน มักจะเจอคนที่รู้จักเดินผ่าน หรือขี่จักรยานผ่านเขา ก็หัวเราะบ้าง โบกไม้โบกมือให้บ้าง เขามองไม่เห็นนักเรียน เขาคงนึกว่าเรายืนพูดอยู่คนเดียวก็ได้
ดิฉันเป็นน้องนุชสุดท้อง ในจำนวนครูทั้งหมด ๘ คน แต่เมื่อครูไพพรรณย้ายไปสอนที่ลำปาง ทางโรงดเรียนรับครูมาใหม่คือ คุณครูอัมพร ณ เชียงใหม่ ( วสุวัต ) ครูอัมพรเลยได้เป็นน้องนุชสุดท้องแทน
ดิฉันได้ลงมาสอนอนุบาล ๒ คุณครูมณีสอนอนุบาล ๑ การสอนในสมัยนั้นไม่มีตรายางปั๊มรูปหรือตัวหนังสือเหมือนสมัยนี้ จะใช้มือเขียนทั้งรูป ทั้งตัวหนังสือให้นักเรียนทุกคน ซึ่งสมัยนี้สะดวกสบายไปทุกอย่าง มีตรายางปั๊ม มีหนังสือรูปภาพระบายสีนิทานพร้อมรูปภาพ ทำให้เด็กได้รับความรู้ได้เร็วและสนุกสนานรื่นเริงไปกับ รูปภาพ นิทานจากเทป เพลง วีดีโอต่างๆ ซึ่งแตกต่างจากสมัยก่อนมาก
ทุกวันศุกร์ดิฉัน กับครูมณีจะพาเด็กออกมาเล่นที่สนาม มีเล่นเกมส์ ร้องเพลง เล่นเก้าอี้ดนตรี วิ่งแข่งกัน วันศุกร์บางศุกร์ก็จะพาเด็กข้ามถนนลงน้ำปิง สมัยก่อนจะมีเกาะกลางน้ำเล็กๆ น้ำตื้นเขิน น้ำใสใหลเย็น มองเห็นตัวปลาเล็กๆ ว่ายไป มา เด็กก็จะเก็บเปลือกหอย เม็ดทราย หิน นำมาเล่นซึ่งทำให้เด็กได้เปิดหูเปิดตาบ้าง
ที่จะลืมเสียมิได้ ก็คือโรงเรียนดาราสาขา ใช้เป็นที่ออกร้านขายของ ร้านอาหารทั้งคาวหวาน เมื่อถึงเดือนยี่เป็งอันเป็นวันลอยกระทง ผู้คนมากหน้าหลายตา จะพากันเข้ามาอุดหนุนอาหาร และนั่งพักผ่อนหย่อนใจด้วย งานนี้มีติดต่อกันหลายปี แต่มาภายหลังบ้านเมืองไม่ค่อยสงบ มีแต่โจรผู้ร้าย พวกดื่มสุรายาเมา มีการทะเลาะกัน ไม่สงบ วุ่นวาย ทางโรงเรียนจึงเลิกใช้สถานที่นี้ไป และเลิกออกร้านวันลอยกระทง
ดาราไต้อยู่ใกล้กับถนนใหญ่และสะพานนวรัฐ ซึ่งใช้สัญจรไป-มาของผู้คนประชาชนเดินถนน เดินสะพาน ดังนั้นเส้นทางนี้จึงใช้ในกิจกรรมสำคัญต่างๆ เช่น ใช้เป็นทางผ่านของขบวนประกวดนางงามในช่วงฤดูหนาวของทุกปี เขาจะแห่นางงามจากสถานีรถไฟผ่านสะพานนวรัฐด้วย เวลาขบวนผ่านดิฉันและเพื่อนครูจะพากันวิ่งไปดูที่สะพาน เพื่อจะได้เห็นชัด และสนุกสนานไปกับผู้คนจำนวนมาก หากวันใดที่ครูเป็นเวรตรงกับขบวนผ่าน ก็จะพาเด็กก็จะพาเด็กไปดูที่ระเบียง เพื่อชมขบวนประกวดนางงาม ก็พอให้รู้ว่าแต่ละคันรถ มีนางงามนั่งอยู่ก็ยังดี
ช่วงน้ำท่วม น้ำนอง เราจะสนุกกันมาก ได้เห็นวิวสวยๆ น้ำไหลเต็มตลิ่ง ช่างสมกับเพลงลอยกระทงที่สุด
ที่ดาราไต้ไม่มีเลี้ยงอาหารกลางวันของครู จะมีแต่ของเด็กอนุบาลเท่านั้น ส่วนเด็กโตก็จะห่อข้าวมาทาน และมีแม่ค้าขายขนมไม่กี่เจ้า ดังนั้นครูจึงทานอาหารจากข้างนอกโรงเรียน โดยเมื่อถึงเวลา ๑๑ โมง ลุงแก้วหรือลูกหลานของลุงแก้วจะนำกระดาษมาหาครูแต่ละห้องว่าใครจะทานอะไร ลุงแก้วก็จะออกไปซื้อตามที่ครูจดให้ จะเป็นอย่างนี้ทุกวัน แต่ส่วนใหญ่จะกินก๋วยเตียวของซิ้ม แม่ของนวลฉวีที่อยู่หลังโรงเรียน
ทุกวันนี้ดิฉันยังเป็นห่วงและนึกถึงนักเรียนอยู่เสมอ โดยเฉพาะเวลาฝนตก ก่อนช่วงเช้าโรงเรียนเข้า ช่วงบ่ายก่อนโรงเรียนเลิกเล็กน้อย และมักตกช่วงจะซื้อขนมเวลา ๑๐ โมง และเวลาเที่ยง เด็กลำบาก บางคนอาจไม่ทันได้ทานขนม หรือทานยังไม่ทันเสร็จ โรงเรียนก็เข้าแล้ว แต่ก็นั่นทุกสิ่งทุกอย่าง จะต้องปรับปรุงตัวเองและเป็นไปตามธรรมชาติที่เกิดขึ้น