วันที่โพสต์: May 10, 2013 3:40:24 PM
ครั้งหนึ่งที่ดาราฯ
อาจารย์รัชนี ลังการ์พินธุ์ ผู้บันทึก
ดิฉันเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนดาราวิทยาลัย เมื่อปี พ.ศ. 2490 และพ.ศ. 2493-2494
ครั้งแรกที่ดิฉันมาเรียนชั้นมัธยมปีที่ 4 โดยบังเอิญ เพราะอาของดิฉันต้องการให้ดิฉันมาอยู่เป็นเพื่อน เนื่องจากบุตรชายของอาถึงแก่กรรมด้วยอุบัติเหตุตกน้ำตาย ที่แม่น้ำกก จังหวัดเชียงราย ท่านมีบุตรชายคนเดียวอายุ 18 ปี เตรียมจะมาเรียนที่โรงเรียนปริ้นส์รอยแยลส์อยู่แล้ว พี่เผ่าพันธุ์เป็นครูสอนว่ายน้ำนักเรียน แต่ช่วยนักเรียนจมน้ำไม่ได้ ตายทั้งคู่ ดิฉันยังจำติดตาไม่หาย เศร้าโศกกันทั้งโรงเรียน เมื่อเอาศพมาไว้ที่ห้องประชุมโรงเรียนเชียงรายวิทยาคม จังหวัดเชียงราย
ดิฉัน ได้พักที่บ้านพักมิชชันนารี ซึ่งเป็นโบสถ์คริสตจักรที่ 1 เชียงใหม่ในปัจจุบัน อาเป็นเพื่อนกับมิชชิสแบลคแทลส์ ดิฉันนั่งรถม้าไปโรงเรียนดาราฯทุกวัน ห่อข้าวไปรับประทาน อาให้สตางค์วันละ50 สตางค์ หรือ 1 บาท จำไม่ได้ สมัยนั้น เด็กๆ จะประหยัดไม่ฟุ่มเฟือยเช่นปัจจุบัน ไม่ร้องขออะไร มีเท่าไหร่ก็เท่านั้น เชื่อฟังและเคารพผู้ใหญ่เสมอ
เพื่อนร่วมรุนในสมัยนั้นเท่าที่จำได้ ก็มีคุณหญิงชีวันต์ ( ชวชาติ) เสนาณรงค์ ถึงแก่อนิจกรรม บุญนำ สุกัณฑศีล, มณเฑียร ( สุทธวิชาต์)ยาสมุทร, จิระพันธ์ (คำปัน) พลประอินทร์ และบัวผัด สุขเสริฐ ดิฉันได้เป็นนักกีฬากับเขาด้วย เช่น วิ่ง ลัเนตบอลล์ สมัยนี้เป็นบาสเกตบอล เป็นเบอร์ชู้ดด้วย แต่ก็ไม่ชนะสักที คุณครูที่สอนประจำชั้นจำได้แม่นคือ คุณครูศรีวัย คุณารัตน์ ดุมาก สำหรับดิฉัน ท่านดีมากเพราะเป็นชาวเชียงรายด้วยกัน
ดิฉันเรียนได้ปีเดียวก็กลับไปอยู่เชียงราย เพราะคิดถึงบ้านเหลือเกิน คิดถึงพ่อแม่พี่น้องมาก ดิฉันเป็นลูกสาวคนเดียวของพ่อแม่ ทำไมใจแข็งมาอยู่เชียงใหม่ได้ถึง 1 ปี แปลกจริงๆ ทั้งๆที่ไม่เคยจากบ้านเลย
ดิฉันกลับมาเรียนอีกครั้งเมื่อปี พ.ศ. 2493 เข้าเรียนชั้นมัธยมปีที่ 7-8 (เตรียมอุดมศึกษาปีที่ 1,2) ได้มาพักกับเสาวนีย์ บันสิทธิ์ ลูกสาวคนเดียวของน้ามาลัย น้าแสงดา บันสิทธิ์ ที่ฟ้าฮ่าม ใกล้กับโรงเรียนพระคริสตธรรม และเดินผ่านไปกลับโรงเรียนทุกวัน น้ามาลัยเป็นทหารเคยไปพักที่บ้ายสมัยที่ท่านไปรบที่เมืองเชียงตุง สนิทกับครอบครัวเรามาก ดิฉันมาพักที่นั่นเพียง 1 เทอม ก็ย้ายเข้าไปเป็นนักเรียนประจำ ปัจจุบันน้ามาลัยและน้าแสงดาได้ถึงแก่กรรมแล้ว ปึ่ง (เสาวนีย์) ยังดูแลรักษามรดก คือ การทอผ้า ที่น้าแสงดาให้ไว้เป็นมรดก น้าแสงดาเป็นศิลปินแห่งชาติที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก
ชั้นเตรียมอุดมศึกษาปีที่ 1 มีนักเรียนแผนกวิทย์ 4 คน คือ คุณหญิงชีวันต์ (ชวชาติ) เสนาณรงค์ , มรเฑียร (สุทธจิตต์) ยาสมุทร , บุญมี ภักดี, ทองใบ ดวงจิตร พี่วิรัช ดุชฎินธร เข้าเรียนทีหลัง รวมเป็น 5คน
แผนกอักษรมี 4 คนคือ จำเนียร สายปริญโญ, รุจิรา (ชีวกานต์) จิตปรารพ, พะยอม โพธิกุล, รัชนี (ดวงเนตร) ลังการ์พินธุ์
พวกเราเรียนด้วยกันอย่างมีความสุข มีอาจารย์ไม่กี่คนที่มาสอน เช่นอาจารย์นิ่มนวล สินันตา , อาจารย์พรรณี กฤษณเศรณี, อาจารย์สุภาพ สุจินดา ,อาจารย์ยรรยง อนุมานราชธน, อาจารย์ภักดี คุณารักษ์, อาจารย์บันเทิง ศรีกาฬสินธุ์ ฯลฯ อาจารย์ฝรั่งก็มีอาจารย์บาบารา แม๊คคีนเลย์, อาจารย์ลูซี่ นิบล็อค ฯลฯ เป็นต้น
ถึงจะมีนักเรียนน้อย และอาจารย์ก็น้อย ทำให้การเรียนไม่ค่อยจะดีนัก เมื่อสอบชั้นมัธยมปีที่ 8 แผนกวิทย์สอบผ่านได้ 2 คน คือ บุญมี ภักดี และมณเฑียร สุทธจิตต์ แผนกอักษรฯ สอบได้ 1 คน คือ จำเนียร สายปริญโญ
ชีวิตนักเรียนประจำมีทุกข์และสุข ที่ว่าทุกข์นั้นเพราะนักเรียนต้องมีเวรทุกคนช่วยกันทำความสะอาด กวาด ถูพื้น ทำความสะอาดห้องน้ำ ห้องส้วม จัดโต๊ะอาหาร เก็บโต๊ะ ล้างจาน ทั้ง 3 เวลา บางครั้งเรียนหนังสือมาเหนื่อยๆต้องมาจัดโต๊ะอาหารกลางวัน กว่าจะเสร็จคนอื่นก็รับประทานไปก่อน ไอ้เราหิวแทบตายยังไม่ได้กิน ทั้งเหนื่อย ทั้งหิว อดน้อยใจไม่ได้ก็ร้องไห้ว่าทำไมเราต้องมาทำอย่างนี้ อยู่บ้านแสนสุขสบายไม่เคยทำอะไรเลย เพราะเป็นลูกสาวคนเดียว พี่เลี้ยงทำให้ทุกอย่าง เคยตัว แต่มารู้ทีหลังว่า นั่นแหละเขาต้องการให้เราหัดทำงานช่วยตัวเองเพื่ออนาคต เป็นบทเรียนที่มีค่ามาก
เราต้องอยู่ใรกฎข้อบังคับ ทำอะไรตามใจไม่ได้ ตื่นเช้า ทำเตียงให้เรียบร้อย ทำงานในหน้าที่ของตัวเอง รับประทานอาหารเช้า แต่งตัวเสื้อขาว กระโปรงสีแดง ไม่ผูกเนคไท เว้นแต่ไปโบสถ์ และงานอื่นๆ ถุงเท้า รองเท้าขาวไปเรียนหนังสือ ตอนเที่ยงกลับมารับประทานอาหาร โดยมีเวร (กรรม) ก็จัดโต๊ะไป ร้องไห้ไป เสร็จแล้วก็ล้างชามตอนเย็น รีบอาบน้ำตามเวลาที่กำหนด รับประทานอาหารเย็น ลงไปเดินเล่น (ห้ามล้ำเส้นตรงสามแยก) ค่ำก็มีนมัสการ อ่านหนังสือ ทำการบ้าน เข้านอนตามลำดับขั้น ม. 7- ม.8 ก็เข้านอนดึกกว่าชั้นอื่น
กิจกรรรมพิเศษที่เราต้องทำคือ การไปโบสถ์วันอาทิตย์ ส่วนวันเสาร์ ตื่นเช้ารีบลงไปจองเตารีด สมัยนั้นรีดด้วยถ่าน ต้องมีผ้าปูรีด ใบตอง น้ำสำหรับพรม ต้องหัดชงแป้งมันสำหรับใส่เสื้อ กระโปรง (ซักก่อนวันเสาร์) เมื่อรับประทานข้าวเช้าเสร็จ ก็รีบไปโรงซักรีด เอาถ่านแดงๆใส่เตารีด พรมน้ำบนเสื้อ กระโปรง ค่อยๆรีดไป ดีบ้าง ไหม้บ้าง รีดใบตองเพื่อลดไม่ให้ร้อนจัด เมื่อใหม่ๆเสื้อกระโปรงแข็งโป๊ก เพราะชงแป้งมันมากไป เสื้อผ้าดังกรอบแกรบ กระโปรงตั้งกับพี้นได้ เมื่อนานไปก็ใช้ได้ แต่ก็ภูมิใจมากที่ซักรีดได้ (เก่งมาก) ด้วยตัวเอง บางคนเขาก็ว่าเราถูกส่งมาให้หัดทำงาน เพื่อเป็นแม่บ้านในอนาคต
วันเสาร์มีผู้ปกครองมาเยี่ยม คนที่ฝากเงินไว้ ก็ไปเบิกกับครูผู้ปกครองอาทิตย์ละ 5 บาท ครั้งหนึ่งดิฉันก็เบิกมาแล้ว เก็บไว้ในกระป๋อง มีคนขโมยเงินไป อาทิตย์นี้ก็เลยอดขนม หน้าแห้งไปตลอดอาทิตย์ เงิน 5 บาทมีค่าสำหรับดิฉันมาก แต่ก็จับใครไม่ได้ ต้องระมัดระวังเอาเอง
ดิฉันไม่มีใครมาเยี่ยม นานๆพี่ชายที่เรียนโรงเรียนปรินรอยส์ฯก็มาบ้าง พ่อ แม่ ไม่ได้มา เพราะอยู่จังหวัดเชียงราย ไกล มาก เราก็ไม่รู้สึกน้อยใจ เสียใจ อะไร เพราะมีความสุขอยู่กับเพื่อนๆ คุยกัน เล่นกันอยู่แล้ว
วันอาทิตย์ รับประทานอาหารเช้า เตรียมไปโบสถ์ แต่งตัวเรียบร้อย รองเท้าขัดจนมัน กระโปรงแข็งโป๊ก เดินคู่กันเพียงสองคน ดิฉันและพี่สว่าง ชัยมงคล นำขบวนเดินไปโบสถ์คริสตจักร ที่ 1เชียงใหม่ ขอย้ำว่าเดินไปจริงๆ เพราะโบสถ์อยู่เชิงสะพานนวรัฐ ทุกคนกางร่มไปด้วย เพราะขากลับอากาศจะร้อนมาก (แต่ไม่ร้อนเท่าปัจจุบัน) เพราะมีต้นไม่ใหญ่ตลอดทางผ่านโรงพยาบาลแมคคอร์มิคP.R.C เลี้ยวเข้าซอยโรงพยาบาลหมอมนู ผ่านหน้าบ้านนางหลู่ มีข้อห้ามเด็ดขาดไม่ให้มองข้างขวาขณะผ่านบ้านที่มีผู้หญิงเยอะๆ (แต่พวกเราก็แอบแลดูด้วยนะ) เดินผ่านบริษัทบอร์เนียว จำกัด ผ่านโรงพยาบาลหมอจินดาก็ถึงโบสถ์
เมื่อเสร็จสิ้นการนมัสการแล้ว ก็เดินกลับเข้าแถวเรียงสองผ่านทางเดิม ใกล้เที่ยงแล้ว อากาศร้อน หิวก็หิว รีบเดินผ่านหน้าโรงเรียนปรินส์ฯ นักเรียนชายก็ส่งเสียงดัง เคาะช้อน ถ้วย ชาม เมื่อเห็นเราเดินผ่านคงแกล้งทรมานพวกเราที่กำลังหิว เมื่อมาถึงโรงเรียนรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า คนที่มีเวร (กรรม) ก็รีบจัดโต๊ะอาหาร เมื่อรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อย คนที่มีหน้าที่ล้างจานก็ต้องล้างจานไป คนอื่นๆก็เตรียมเข้านอนจนถึงเวลาตื่น ครูก็เคาะระฆังตื่น รีบอาบน้ำแต่งตัวไปโบสถ์ตอนบ่ายที่โรงเรียนปรินส์ ฯ (เดินใกล้หน่อย) อีกครั้งหนึ่ง
ดิฉันได้เดินคู่กับบุญมี ภักดี นำขบวนไปโบสถ์เมื่อพี่สว่างเรียนจบ ม. 8 แล้วเป็นผู้นำเราไป มีครั้งหนึ่งพวกเราได้ไปเที่ยวถ้ำขุนตาล (พ.ศ. 2494 ) ก็ตื่นเต้นดีใจ เพราะไปเที่ยวกับนักเรียน P.R.C.ด้วย สมัยนั้นมีกฎเข้มงวด เรื่องรักๆใคร่ๆ มาก จดหมายที่ส่งมาต้องผ่านครูประจำ ต้องอ่านก่อนที่จะถึงมือเรา ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก เมื่อนักเรียนทั้งสองโรงเรียนได้เรียนด้วยกันคือ นัดเรียนดาราฯ ต้องไปเรียนที่โรงเรียนปรินส์ฯ ( เฉพาะนักเรียนแผนกวิทย์) ก็มีความคุ้นเคยกัน อาจารย์ทั้งสองโรงเรียนก็พาไปเที่ยวบ้างเป็นครั้งคราว ที่จำได้ก็คือ ไปเที่ยวถ้ำขุนตาล ไปเที่ยวสวนเวฬุวัน น้ำตกห้วยแก้ว ถีบจักรยานไป ( อาจารย์ภักดี คุณารักษ์ เป็นผู้นำไป)
มีเพื่อนรักคนหนึ่ง เรียนชั้น ม. 6 ชื่อ ศรีจันทร์ สุดารัตน์ เธอตัดกางเกงเก่งมาก สมัยนั้นนิยมตัดกางเกงกระโปรงยาวแค่เข่า เธอก็ตัดให้ดิฉันด้วย แต่การที่จะออกนอกโรงเรียนเขาให้ใส่กระโปรง ไม่ให้ใส่อย่างอื่น พวกเราก็แอบเอากระโปรงกางเกงที่ตัดเย็บแล้วห่อกระดาษหนังสือพิมพ์ (สมัยนั้นยังไม่มีถุงพลาสติก) แล้วไปเปลี่ยนที่บ้านเพื่อนหรือในรถไฟก็จำไม่ได้ การแต่งกายเรียบร้อยมิดชิด ไม่มีสิทธิ์แต่งสายเดี่ยว กางเกงใต้สะดือเหมือนปัจจุบัน (อ้อ ! การแต่งตัวเปิดสะดือนั้นถือว่าแย่มาก เพราะเป็นที่รู้กันว่าท้องตรงสะดือมันบอบบาง เปิดไว้นานๆท้องจะอืดและปวด เมื่อเด็กคลอดใหม่ๆเขาจะร้องๆๆ แม่ก็จะเอายามหาหิงคุ์มาทาที่สะดือตลอด เด็กก็จะหายปวด และหลับสบาย เด็กสมัยใหม่นี้จะปวดหรือท้องอืด ก็ไม่ทราบได้
ทางโรงเรียนให้สิทธิพิเศษแก่นักเรียนชั้น ม. 8 พอสมควร เมื่อมีงานฤดูหนาวจัดที่โรงเรียนยุพราช อาจารย์บาบารา แม๊คคีนเลย์ ได้พาพวกเรานั่งสามล้อ ไปจัดนิทรรศการ ในงานจัดเป็นห้องรับแขกเล็กๆ ใช้กระดาสีขาวตัดเป็นรูปโต๊ะ เก้าอี้ ฯลฯ พวกเราโชคดี มีบุญมี ภักดี เป็นหัวหน้าร่วมหุ้นกันซื้อล็อตเตอรี่ 1 ซีก ถูกรางวัล ได้แบ่งคนละ 1,000 บาท เป็นที่ฮือฮากันมาก เด็กๆตามพวกเราเป็นพรวน ก็ซื้อขนมแจก ซื้อของให้เพื่อน เป็นต้น ดิฉันให้คุณแม่ไปทั้งหมด
วันที่พวกเรามีความสุขสนุกสนานมากอีกวันหนึ่งคือ วันคริสต์มาส มีการให้ของขวัญ ร้องเพลงกลางคืนวันที่ 24 ธันวาคม มีนักเรียน P.R.C. มาร้องเพลง พวกเราก็โยนส้ม ขนม ลงมาจากตึกประจำ อวยพระ Merry Christmas & Happy New Year ไม่ได้พบกันหรอก ไม่มีทาง
เมื่อปลายปี พวกเราก็อ่านหนังสือกันเข้มข้น ท่องตำรากันเครียดเพราะกลัวสอบตก แล้วเราก็สอบตกจริงๆ นักเรียน ม.8 ทั้งชั้นสอบได้แค่ 3 คน น่าเสียใจมากที่พวกเรา ทำไม่ได้ ทั้งครูและนักเรียนก็เสียใจกันทุกคน
สิ้นปีการศึกษา พ.ศ. 2494 ต่างคนต่างแยกย้ายกันไป เพื่อนที่สอบได้ก็เข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้ทุกคน ที่เหลือก็ไปซ้ำชั้นโรงเรียนอื่น ดิฉัน ทองใบ ดวงจิตร และรุจิรา ชีวกานต์ ได้เข้าซ้ำชั้นที่โรงเรียนสตรีวัฒโนทัยพายัพ แต่ไปเรียนที่โรงเรียนยุพราช ฯ มีนักเรียนในชั้น ม. 8 (แผนกอักษรฯ) 23 คน สอบได้ 3 คน คือ รุจิรา ชีวกานต์ , ธานี โภคะกุล และดิฉัน และทั้ง 3 คน ได้สอบเข้าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะบัญชี ,รัฐศาสตร์ และอักษรศาสตร์ ตามลำดับ
เมื่อเรียนจบได้รับปริญญา ปี พ.ศ. 2500 (จบ พ.ศ. 2499) ก็ได้มาสอนที่โรงเรียนดาราฯ 5 ปี พร้อมกับจำเนียร สายปริญโญ ซึ่งจบอักษรศาสตร์เหมือนกัน ดิฉันไม่เคยลืมว่าเป็นนักเรียนที่นี่ เป็นครูที่โรงเรียนนี้ มีความรัก ความผูกพัน ไม่มีวันจืดจาง
29 พฤศจิกายน 2547