สร้างบ้านแปงเมือง
ประมาณปี พ.ศ. 2306 พระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน (ตากะจะ) เจ้าเมืองขุขันธ์ ได้อำนาจบริเวณด้านทิศตะวันตกของเมืองขุขันธ์ จึงมีดำริจัดตั้งหัวเมืองฝ่ายตะวันตกขึ้นเพื่อตั้งยันบ้านเมืองใกล้เคียงเข้าปกครองผู้คนของตนให้เป็นปึกแผ่น จึงตั้งกรมการเมืองขึ้นที่บ้านกระออม (สำโรงสาบ) แห่งหนึ่งเพื่อยันเขตเมืองรัตนบุรี ไม่ให้รุกล้ำเขตแดนเมืองขุขันธ์ และตั้งกรมการเมืองขึ้นที่บ้านอนันต์ แห่งหนึ่งเพื่อยันเขตเมืองสังขะ และเมืองจารพัตร โดยมี พระขุขันธ์ หรือที่ชาวบ้านเรียก โลกตาเปตี๊ยะธม แซรธม (แปลเป็นภาษาไทยว่า ท่านบ้านใหญ่ นาใหญ่) เป็นผู้ปกครองหัวเมืองฝ่ายตะวันตกขึ้นต่อเมืองขุขันธ์ เดิมทีพระขุขันธ์ผู้นี้นามเดิมหรือราชทินนามอย่างไรไม่ปรากฏ ชาวบ้านมิกล้าเอ่ยนามจริงของท่านจนกระทั่งในเวลาต่อมาคนในตำบลยาง อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ รวมถึงลูกหลานของท่านก็เรียกท่านจนติดปากเช่นนี้ว่า โลกตาเปตี๊ยะธม แซรธม จนหลงลืมนามจริงของท่านต่อมาผู้เรียบเรียง (ว่าที่ ร.ต.ชัชวาลย์ คำงาม) ค้นพบว่า บรรดาศักดิ์ของท่านบ้านใหญ่ คือ พระขุขันธ์ ซึ่งปรากฏในวารสารศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ปีที่ 5 ฉบับประจําปีการศึกษา 2553 ในหัวข้อ ประวัติท้องถิ่น/ชื่อบ้านนามเมือง บ้านยาง โดยอาจารย์สุทัศน์ กองทรัพย์ เป็นผู้เรียบเรียงในหน้า 117 โดยระบุว่า "นายดวงเป็นบุตรของพระขุขันธ์" นายดวงผู้นี้ต่อมา คือ พระสีมาปัจจิมเขตต์นั่นเอง พระขุขันธ์สืบเชื้อสายมาจากเจ้าเมืองขุขันธ์จึงมีบ่าวไพร่ บริวารติดตามมาจำนวนมาก พระขุขันธ์ได้พาไพร่ทาสบริวารจากบ้านปราสาทสี่เหลี่ยม เมืองขุขันธ์ มาตั้งกองแห่งหนึ่งที่บ้านมะโตม (ปัจจุบัน คือ บ้านตูม ตำบลตูม อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ) เป็นแห่งแรกจนเป็นปึกแผ่น ต่อมาได้พบชัยภูมิแห่งใหม่เป็นเนินสูงตั้งอยู่ชายทุ่งลุ่มน้ำกำพอก ด้านตะวันตกของกุดไผทเป็นป่าดินดีมีความอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูก และเหมาะแก่การเลี้ยงวัว เลี้ยงช้าง เป็นทุ่งทำเลดีจึงได้แยกจากกลุ่มญาติบ้านมะโตม พาบ่าวไพร่มาปักหลัก บุกเบิกทำไร่สร้างบ้านเรือนอยู่บริเวณที่ นายอานาร์ (อานัรร์) เขียนไทยว่าอานันต์ (ปัจจุบัน คือ บ้านอนันต์ ตำบลยาง อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์) ตั้งกองอยู่ที่แห่งนั้นสืบทอดกันมาตั้งแต่ปลายกรุงศรีอยุธยา
กองนอกหัวเมืองฝ่ายตะวันตกขึ้นต่อเมืองขุขันธ์ (กองนอกยางอนันต์)
ต่อมานายดวง บุตรชายคนโตของพระขุขันธ์ ท่านเฒ่าแก่หัวหน้าผู้ปกครองบ้านอนันต์ ได้พบว่าไพร่ ข้าทาส บริวารอพยพครอบครัว ข้ามสำรางทางน้ำห้วยตะเภามาตั้งบ้านเรือนโรงช้าง และคอก เลี้ยงควายวัว อยู่ที่ริมดงหนองยาง ทางทิศเหนือห่างจากบ้านอนันต์ประมาณ 30 เส้นเศษ ๆ มาตั้งหลักปักฐานตรงที่บริเวณบ้านอาจารย์อมฤทธิ์ ผาสุก และนายฮูน ออมทรัพย์ (พ.ศ. 2534) รายล้อมด้วยกระท่อมของบ่าวไพรประมาณ 12 ครอบครัว เวลาต่อมาได้มีผู้อพยพติดตามมาสมทบเพิ่มมากขึ้นจึงขนานนามชุมชนใหม่แห่งนี้ว่า “บ้านยาง” ตามชื่อหนอง เพราะที่ทิศตะวันออกริมหนองมีต้นยางใหญ่มหึมาขึ้นอยู่เป็นสัญลักษณ์ ผู้คนในบ้านยางขณะนั้น ไปทำบุญทานกันที่วัดบ้านอนันต์ เรียกบ้านอนันต์ว่า “เซาะจ๊ะ” (บ้านเก่า) จนติดปากตลอดมา ชื่อเซาะจ๊ะเพิ่งจะหายไปเมื่อสัก 60 กว่าปีมานี้เอง เพราะคนรุ่งเก่าๆ ล้มตายกันไปแล้ว
ต่อมาพระขุขันธ์ เฒ่าแก่หัวหน้าผู้ปกครองบ้านอนันต์ ผู้บิดาถึงแก่กรรมลง ตำแหน่ง เฒ่าแก่หัวหน้าผู้ปกครองบ้านอนันต์จึงตกทอดมาแก่ นายดวง บุตรชาย ซึ่งมีนิวาสสถานอยู่บ้านยาง รับตำแหน่งแทน จึงปกครองบ้านยาง และบ้านอนันต์ควบเข้าด้วยกันเป็นบ้านยางอนันต์ เนื่องจากบิดานายดวงสืบเชื้อสายจากเจ้าเมืองขุขันธ์ จึงปกครองผู้คนขึ้นตรงต่อเมืองขุขันธ์
ในสมัยพระยาขุขันธ์ฯ (เชียงขันธ์) เจ้าเมืองขุขันธ์ท่านที่ 2 นายดวงเฒ่าแก่หัวหน้าผู้ปกครองบ้านยางอนันต์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าสำรองเจ้าเมืองในตำแหน่ง นายกองนอก ให้มีบรรดาศักดิ์เป็น พระสีมาปัจจิมเขตต์ ชาวบ้านเรียกว่า “โลกตาเปรี๊ยะสีมา” ดูแลปกครองบ้านยางอนันต์ บ้านปราสาทระแงง บ้านบัวตึล บ้านก้านเหลือง บ้านตางมาง บ้านสำโรงสาบ บ้านหมื่นศรี บ้านสังแกเสม็จ บ้านจังเกา บ้านตรึม บ้านคาละแมะ ขึ้นตรงต่อขุขันธ์ มีอำนาจพิจารณาคดีความปรับสินไหมพินัยหลวงเก็บส่วยอากรส่งเมืองขุขัน ปีละ 1 ครั้ง ตั้งบุตรหลาน และบุคคลสำคัญในท้องที่เป็นกรมการเมืองเพื่อเตรียมจัดตั้งเป็นเมืองในอนาคต มีนายสวาย บุตรชายคนโตเป็นพระนรินทรภักดี นายเนียมบุตร คนที่ 2 เป็นหลวงทิพยโอสถ นายเสาะหลานเขยเป็นหลวงวิจิตรอักษร ตั้งนายคำเป็นหลวงทรงวิชัย และตั้งนายแซร็ยเป็นหลวงชัยอาสา
เมื่อถึงสมัยพระยาขุขันธ์ (ท้าวบุญจันทร์) ได้เป็นเจ้าเมืองท่านที่ 3 ขณะนั้นพระยาขุขันธ์ฯ (ท้าวบุญจันทร์) มีฐานะเป็นเขยพระสีมา เพราะได้ทำการสมรสกับอำแดงกระโอม ธิดาของพระสีมา และพระยาขุขันธ์ (ท้าวบุญจันทร์) มีดำริที่จะตั้งกองนอกหัวเมืองฝ่ายตะวันตกขึ้นเป็นเมือง จึงมีใบบอกกราบบังคมทูลขอตั้งบ้านยางอนันต์เป็นเมืองนั้นในระหว่างปี พ.ศ. 2369-2371 เมืองขุขันธ์เกิดสงครามกลางเมือง เนื่องจากพระยาขุขันธ์ภักดี (บุญจันทร์) ทะเลาะวิวาทกับน้องชาย คือ พระภักดีภูธรสงคราม (มานะ หรือ เมืองนัน) ปลัดเมืองขุขันธ์ ถึงขั้นเกณฑ์ไพร่พลไปตั้งค่ายจะรบกัน เพราะว่าพระยาขุขันธ์ (บุญจันทร์) สั่งให้กรมการเมืองไปจับราษฎรในกองของพระภักดีภูธรสงครามมาเข้าในกองของตน จึงเป็นเหตุให้เกิดเหตุการณ์ครั้งนี้ขึ้น พระยารามคำแหงและหลวงศรีเสนาพยายามห้ามปราม 2 พี่น้อง แต่ไม่สำเร็จ พระภักดีภูธรสงคราม ปลัดเมือง นำกำลัง 5,000 คน เข้าตีเมืองขุขันธ์ พระยาขุขันธ์ (บุญจันทร์) เจ้าเมือง และข้าหลวงสักเลกแตกหนีออกมาจากเมืองไปยังเมืองสังขะ (อยู่ใน จ.สุรินทร์) พวกกองข้าหลวงสักเลกพยายามเกณฑ์คนเมืองสังขะและพุทไธสงเข้าระงับเหตุ แต่ก็ไม่เป็นผล เหตุการณ์ยืดเยื้อมาถึง 2 เดือน ท้ายที่สุดเจ้าพระยากำแหงสงคราม (ทองอิน) เจ้าเมืองนครราชสีมา และพระยาสุริยเดช (ทองคำ) ปลัดเมืองนครราชสีมาต้องนำกำลังมาระงับเหตุ และจับกรมการเมืองขุขันธ์ ทั้งพระยาขุขันธ์ (บุญจันทร์) เจ้าเมือง พระภักดีฯ ปลัดเมือง พระสะเทือน พระพิไชย กรมการเมือง รวมทั้งราษฎรเมืองขุขันธ์ที่เข้าร่วมสงครามกลางเมืองไปสอบสวนที่เมืองนครราชสีมา ระหว่างที่คุมกันมาถึงเมืองพุทไธสงนั้น พวกคนเมืองขุขันธ์ได้ก่อจราจลขึ้น ไล่ฆ่าผู้คุมเมืองนครราชสีมา รวมทั้งหลวงคลังเมืองนครราชสีมา นายกองที่คุมมานั้นตาย ก่อนหลบหนีไปทางเมืองจำปาสักและเชียงแตง ระหว่างที่ทางเจ้าพระยานครราชสีมา และกองข้าหลวงสักเลก กำลังจัดการปัญหาเรื่องเมืองขุขันธ์อยู่นั้น เป็นเวลาเดียวกับที่เจ้าอนุวงศ์ เจ้าผู้ครองนครเวียงจันทน์ ได้ทำการแข็งเมือง โดยได้ยกทัพเข้ายึดเมืองนครราชสีมา และสั่งให้เจ้าอุปราชโย้ เจ้าเมืองจำปาศักดิ์ ยกทัพเข้ามายึดเมืองขุขันธ์ พระยาขุขันธ์ (บุญจันทร์) เจ้าเมือง ยอมเข้ากับกองทัพของเจ้าอนุวงศ์ ต่อมาเจ้าอนุวงศ์ไม่ไว้วางใจในตัวพระยาขุขันธ์ (บุญจันทร์) เจ้าเมือง จึงได้ทำการจับตัวพระยาขุขันธ์ฯ (บุญจันทร์) เจ้าเมืองขุขันธ์ท่านที่ 3 พร้อมด้วยพระภักดีภูธรสงคราม (มานะ) ปลัดเมืองขุขันธ์ และพระแก้วมนตรี (เทศ) ยกบัตรเมืองขุขันธ์ แล้วนำไปประหารชีวิตทั้งหมด ที่บ้านส้มป่อย เมื่อปี พ.ศ. 2369 ทำให้เมืองขุขันธ์ในขณะนั้น ต้องขาดผู้ปกครอง พระเจ้าอยู่หัวจึงทรงระงับไว้ก่อน กองนอกหัวเมืองฝ่ายตะวันตก (กองนอกยางอนันต์) จึงหมดโอกาสได้เป็นเมืองตามประสงค์ของพระยาขุขันธ์ฯ (บุญจันทร์) หรือที่ชาวบ้านมักเรียกท่านว่า โลกตาบุญจันทร์ ซึ่งระหว่างนั้นมีฐานะเป็นเขยกองนอกยางอนันต์ โดยมีอำแดงกระโอม บุตรีพระสีมาฯ เป็นภรรยา มีการติดตามไปมาระหว่างเมืองขุขันธ์กับบ้านยางอนันต์เป็นประจำจนถึงวาระสุดท้ายของพระยาขุขันธ์ฯ (บุญจันทร์)
ถึงแม้ว่ากองยางอนันต์ ไม่ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งเป็นเมืองแต่ชาวบ้าน ก็ยังนับถือพระสีมาฯ ประดุจดังเจ้าเมือง ทายาทของพระสีมาฯที่มีบรรดาศักดิ์เป็นพระ เป็นหลวง เป็นขุน ชาวบ้านก็ให้ความเคารพนับถือยกย่องเรียกขานท่านพระนรินทรภักดี (สวาย) บุตรชายคนโตของพระสีมาว่า “โลกตาเปรี้ยะ” (คุณตาพระ) ติดปากกันตลอดมาจนสิ้นอายุขัย ตลอดจนลูกหลานเหลนของท่านเองก็ไม่รู้ว่าท่านมีบรรดาศักดิ์เป็นพระนรินทรภักดี
เมื่อพระสีมาปัจจิมเขตต์ถึงแก่กรรมแล้ว พระนรินทรภักดี (สวาย) บุตรชายคนโตได้เป็นผู้ปกครองกองนอกหัวเมืองฝ่ายตะวันตก (กองนอกยางอนันต์) สืบมา ในระยะหลังๆ พระนรินทรภักดี (สวาย) ได้ขอตั้งนายโปะหลานชายเป็นขุนสวรรพิทักษ์ และตั้งนายกลัดบุตรเขยเป็นขุนภักดีนุรักษ์ เป็นกรมการเมือง เริ่มตั้งบรรดาศักดิ์ ตั้งแต่ปี 2400 จนมาสิ้นสุดลงในปี 2447 ครองความเป็นใหญ่ในแถบแถวนี้อยู่ถึง 47 ปี
ในช่วงที่พระสีมาปัจจิมเขตต์ ครองความเป็นใหญ่ในหัวเมืองฝ่ายตะวันตก (กองนอกยางอนันต์) นั้น มีผู้คนมาตั้งบ้านเรือนอยู่หนาแน่นมากไม่สะดวกแก่การต้อนฝูงวัวเข้าออกในหมู่บ้าน จึงจัดให้นายเวื้อน หัวหน้าบ่าวไพร่ ย้ายคอกวัวไปตั้งไว้กลางดงครงที่บริเวณบ้านนายลมุน โถเล็ก และนางเบื้อง โถเล็ก ป่าดงตรงนี้จึงถูกขนานเป็นนามว่า “ป่าโคกตาเวื๊อน” คำว่าตาเวื๊อนเป็นภาษาท้องถิ่นเขียนไทยว่า “ตาวัน” ชื่อตาวัน จึงเป็นที่มาของนามบ้านศรีตะวันในเวลาต่อมา
ประมาณปี พ.ศ. 2415 ขึ้นมาได้กำหนดเขตตัวเมืองเพื่อการขยายตัวให้กว้างใหญ่ขึ้นจึงจัดผู้คนที่มีฐานะเป็นมูลนาย มีข้าทาสบ่าวไพร่ใช้สอยพอควรแก่ฐานะเป็นหัวหน้าออกไปบุกเบิกทำไร่นา ตั้งคอกวัวควายขึ้นทั้ง 4 มุมเมือง ทางชายทุ่งทิศตะวันออก ให้ตาสิงห์ยายแก (ต้นตระกูลสิงห์ทอง กับตาเจะ (ต้นตระกูลผาสุก) ไปตั้งที่โคกกระหึ่ม (เสือคำราม) ใกล้บริเวณหนองน้ำที่ตาพรม ตั้งกระท่อมเฝ้าไร่อยู่เรียกว่า หนองตาพรม ต่อมาเมื่อชุมชนหนาแน่นขึ้น จึงเรียกว่า เขตคุ้มบ้านตาพรม (เขตเชราะตาปรม) หลังสงครามโลกที่ 2 ในระราวปี พ.ศ. 2492 – 2495 จึงได้ยกฐานะเป็น บ้านตาพรม หมู่ที่ 4 โดยมีนายเอ็ด ผาสุก (บิดาอาจารย์ขวัญชัย ผาสุก) เป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรก นายเขียด สิงห์ทอง นายพลอย มั่งยืน นายเปาร์ กำลังหาญ เป็นผู้ใหญ่บ้านคนต่อๆ มาจนถึง นายคุณเติบ ผาสุก เป็นผู้ใหญ่บ้านคนปัจจุบันทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ในคุ้มครองของหลวงทรงวิชัย (ตาคำ ต้นตระกูลคำงาม) มีนายเจาะ คำงาม และนายสาม มาตั้งที่ริมหนองตาสาย ตรงกับนายสวัสดิ์ ทรงศรี ในปัจจุบัน พ.ศ. 2534 ชายดงด้านเหนือติดทุ่งตำโลงสะยา ให้หลวงชัยอาสา (ตาแชร็ย ต้นตระกูลศิริมาก) มาตั้งโดยมีตากุน ศิริมาก บุตรชายตั้งตรงบ้านนายไพรัชทินปราณี (ปัจจุบัน) ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ มีตาวา ตาวา ต้นตระกูลกำลังหาญ ตั้งที่ริมหนองตาวา ทางทิศตะวันตกริมหนองกันจาม ให้นายเช็ญจ์ (ต้นตระกูลบุตรเงิน) ตั้งอยู่ ในช่วงขยับขยายนี้ มีกลุ่มตาท้าว ตาขาว (ต้นตระกูลมั่นยืน) และตามิ่ง (ต้นตระกูลโถเล็ก) ข้ามทุ่มตำโลงสะยาที่มีร่องน้ำห้วยโอร์ปรึงไหลผ่ายไปตั้งที่โคกกะกลั้น โดยมีต้นรังดำ ขึ้นอยู่เป็นป่าจำนวนมากชาวบ้านเรียกต้นรังดำว่า “เดิมกะลัญจ์” เซาะลัญจ์เรียนตาภาษาไทยว่า “กะลัน” ต่อมาได้ยกฐานะเป็นหมู่บ้านกะลันหมู่ที่ 16 มีนายมิ่งโถเล็ก ลูกหลวงชัยอาสา บิดาของแม่ปราณี นพเก้าคหบดีบ้านกะลันเป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรก รวมเป็นพื้นที่บริเวณเมืองถึงพันไร่เศษ
ตำบลยางขึ้นต่อจังหวัดสุรินทร์
พ.ศ. 2447 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้จัดระเบียบการปกครองที่ตามแบบแผนยุโรป โดยมีสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอฯ กรมพระยาดำรงราชนุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ตั้งเมืองอุบลราชธานี เป็นเมืองมณฑลอุบลฯ ตั้งเมืองสุรินทร์เป็นจังหวัดสุรินทร์ ตั้งเมืองขุขันธ์เป็นจังหวัดขุขันธ์ ต่อมาภายหลังเปลี่ยนเป็นจังหวัดศรีสะเกษ ตั้งเมืองกุดประไท (พระไทยจารพัตร) เป็นอำเภอศีขรภูมิพิสัย แล้วปักปันเขตเมืองตามลักษณะภูมิประเทศ ถือเอาลำห้วยทัพทันเป็นเขตปักปัน บ้านยางอนันต์จึงรวมเข้ากับอำเภอศีขรภูมิพิสัย จังหวัดสุรินทร์ ขึ้นตรงต่อมณฑลอุบลฯ เป็นตำบลหนึ่งของอำเภอศีขรภูมิพิสัย มีเขตปกครองทิศใต้ ถึงบ้านตรมไพรก้านเหลือง มีห้วยทับทันเป็นเขตตำบล ไปทางกุดหวายบ้านตางมางตามะ บ้านกุงติดเขตตำบลสำโรงทาบ ทางเหนือมีบ้านนารุ่งขึ้นตำบลยาง ทางตะวันตกมีบ้านเขนก หนองขวาว กรดนาฮัง ระแงง ปราสาท ตระแบก ระเวียง ยางเตี้ย กางของ รวม 27 หมู่บ้านเป็นตำบลใหญ่กว้างขวางที่สุดในยุคนั้นเป็นศูนย์กลางของอำเภอ ดังนั้นจึงในปี 2454 – 2455 อำเภอศีขรภูมิพิสัย จึงย้ายจากตำบลบ้านจารพัตรมาอยู่ที่บ้านอนันต์ หมู่ที่ 2 ตำบลยาง มีชื่อเป็นอำเภอศีขรภูมิ จนถึง พ.ศ. 2473 จึงย้ายไปตั้งที่บ้านปราสาท สถานีรถไฟบ้านระแงง ศีขรภูมิปัจจุบัน
ส่วนผู้ปกครองท้องถิ่นก่อนมีฐานะเป็นตำบลยางนั้น พระนรินทรภักดี (สวาย) บุตรคนโตของพระสีมาเป็นนายกองยางอนันต์ เมื่อตั้งเป็นตำบลให้มีกำนันเป็นหัวหน้าตำบล เห็นว่าพระนรินทรภักดีชราภาพแล้ว จึงเลือกเอานายน้อมบุตรพระสีมาฯ คนที่ 4 เดิมบรรดาศักดิ์เป็นหลวงทิพยโอสถเป็นกำนันคนแรก ปรากฏว่าพาสมัครพรรคพวกซึ่งมีหลวงทรงวิชัย (คำ คำงาม) และเสมียนเสา (เสา กุดกะตวย) ทำการกระด้างกระเดื่องต่อแผ่นดิน ไม่ยอมปฏิบัติราชการ ขึ้นตรงต่อจังหวัดสุรินทร์ (โดยคุ้นเคยกับจังหวัดขุขันธ์มาก่อน) จึงถูกปลดออก ทางการจึงแต่งตั้ง นายเสาะ ทรงศรี (หลวงวิจิตรอักษร) บุตรเขยอำแดงโคตร บุตรสาวพระสีมาฯ เป็นกำนัน มีนายปรก สหุนาฬุ (ขุนสวรรค์พิทักษ์) บุตรเขยพระนรินทร์ เป็นสารวัตรกำนันอยู่เกือบ 2 ปี ตำแหน่ง จึงตกไปอยู่กับนายพรหม กลิ่นสุคนธ์ บุตรเขยบุญธรรมของพระสีมาฯ ซึ่งสมรสกับอำแดงกา ธิดาเลี้ยงของพระสีมาฯ ซึ่งอยู่ที่บ้านนอก หมู่ 3 ตำบลยาง ใกล้ที่ตั้งของที่ว่าการอำเภอเป็นกำนัน
ที่มา: หนังสือรวมผลงานชุดที่ 2 สายเลือด สายสกุล และอัตชีวประวัติของอาจารย์สัมฤทธิ์ สหุนาฬุ
ภาพถ่ายปราสาทศีขรภูมิหรือปราสาทระแงง สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้เดินทางมาเยือนเมื่อมกราคม- กุมภาพันธ์ 2472 (นับอย่างใหม่ต้องปี พ.ศ. 2473) และได้ถูกรวมเข้ากันกับอุทยานประวัติศาสตร์กลุ่มปราสาทตาเมือนและปราสาทศีขรภูมิเป็นปราสาทสำคัญที่อยู่ที่เขตกองยางอนันต์ในอดีต(สมัยนั้นเมืองศีขรภูมิพิสัยตั้งอยู่ที่ตำแหน่งหนึ่งคือบ้านจารพัตรหรือกุดไผทก่อนจะย้ายมาบ้านโคกตะเคียน ย้ายมาบ้านอนันต์ตามลำดับ ปี พ.ศ. 2475 จึงย้ายมาที่บ้านระแงงในฐานะอำเภอศีขรภูมิในที่สุด)