ภาพถ่ายลงสีงานศพอำแดงตลับ ธิดาคนเล็กของพระสีมาปัจจิมเขตต์ (ดวง) กับ อำแดงอำไพ ถ่ายเมื่อปี พ.ศ. 2480 เป็นรูปภาพครอบครัว ลูก หลาน เหลน ลื้อ พระสีมา - อำแเดงอำไพ อดีตกองนอกบ้านยางอนันต์ขึ้นต่อเมืองขุขันธ์ ต้นสกุล "สหุนาลุ สหุนาฬุ" และสายสัมพันธ์ ศิริมาก คำงาม รัมพณีนิล โถเล็ก จิตรหาญ นิสัยกล้า พวงประยงค์ ขอนเงิน บุตรเงิน หุ่นทอง ทรงศรี ระดมบุญ กำลังหาญ เหมือนชอบ เหล่าดี จันทร์ไทย กลิ่นสุคนธ์ ฯลฯ...............ภาพจากคุณพักตร์วิไล สหุนาฬุ
เรื่องที่จะเล่านี้เป็นการเพิ่มเติมจากหนังสือ “สายเลือด สายสกุล” ของคุณปู่สัมฤทธิ์ สหุนาฬุ ปราชญ์ศีขรภูมิ เป็นการค้นคว้าซึ่งได้จากประวัติของพระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน (ตากะจะ) เจ้าเมืองขุขันธ์ท่านแรก พระสีมาปัจจิมเขตต์(ดวง) นายกองนอกหัวเมืองฝ่ายตะวันตก (กองนอกยางอนันต์สมัยขึ้นต่อเมืองขุขันธ์) ประวัติเมืองขุขันธ์ ประวัติบ้าน ตำบลยาง อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งเข้าใจว่าคงไม่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงเท่าใดนัก
ก่อนที่จะเล่าต่อจากหลักฐานที่มีอยู่ในหนังสือ “สายเลือด สายสกุล” ว่าสกุลที่สืบเชื้อสายมาจากพระสีมาปัจจิมเขตต์ (ดวง) ต่อจากนั้นมามีใครบ้าง น่าจะได้กล่าวถึงประวัติความเป็นมาของตระกูลนี้เสียก่อน
ในสมัยกรุงศรีอยุธยา บริเวณที่เป็นจังหวัดสุรินทร์ และศรีสะเกษในปัจจุบัน เดิมเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของชนเผ่าต่างๆ ได้แก่เขมร ลาว ส่วย กูย ซึ่งเรียกโดยรวมว่าเขมรป่าดง มีชุมชนสำคัญแห่งหนึ่งคือ บ้านปราสาทสี่เหลี่ยมโคกลำดวน ซึ่งต่อมาได้ยกฐานะเป็นเมืองขุขันธ์ ปีพุทธศักราช 2302 รัชสมัยสมเด็จพระที่นั่งสุริยาอมรินทร์ พระมหากษัตริย์พระองค์สุดท้าย แห่งกรุงศรีอยุธยา ช้างเผือกของพระองค์ได้แตกโรงไปอยู่รวมกับโขลงช้างป่าในเขตภูเขาพนมดงเร็ก สมเด็จพระที่นั่งสุริยาอมรินทร์ โปรดเกล้าฯ ให้ทหารนำไพร่พลออกติดตามโดยได้รับการช่วยเหลือจาก ตากะจะ หัวหน้าบ้านปราสาทสี่เหลี่ยมโคกลำดวน และเชียงขันธ์ผู้น้องร่วมกับหัวหน้าชาวเขมร ชาวกูยที่ชำนาญในการจับช้าง คือ เชียงปุม แห่งบ้านเมืองที เชียงสี แห่งบ้านกุดหวาย เชียงฆะ แห่งบ้านอัจจะปะนึง และเชียงไชย แห่งบ้านจารพัตร ออกติดตามจนพบ สามารถจับช้างเผือกได้ และตามทหารผู้ติดตามนำส่งถึงกรุงศรีอยุธยา ในกาลนั้นตากะจะได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น หลวงแก้วสุวรรณ ตำแหน่งนายกองนอกหัวหน้าบ้าน และเชียงขันธ์ ผู้น้องเป็นหลวงปราบผู้ช่วย ปีพุทธศักราช 2306 บ้านปราสาทสี่เหลี่ยมโคกลำดวน ถูกยกขึ้นเป็นเมืองขุขันธ์ ตากะจะ ได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น พระไกรภักดีศรีนครลำดวน เจ้าเมืองขุขันธ์คนแรก ปีพุทธศักราช 2321 ตากะจะได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นพระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน ต่อมาได้อำนาจทางทิศตะวันตกของเมืองขุขันธ์เพิ่มขึ้นจึงส่ง พระขุขันธ์ (โลกตาเปตี๊ยะธม แซรธม) (ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยว่าท่านบ้านใหญ่ นาใหญ่ ซึ่งชาวบ้านให้ความเคารพนับถือท่านมากจนไม่มีใครกล้าเอ่ยนามจริงของท่านในชั้นหลังลูกหลานจึงรู้จักท่านในนามท่านบ้านใหญ่) พาบ่าวไพร่ไปตั้งรกรากแถบพื้นที่ด้านทิศตะวันตกพบชัยภูมิเหมาะสมจึงตั้งบ้านมะโตมเป็นแห่งแรก (ปัจจุบัน คือ บ้านตูม ตำบลตูม อำเภอปรางกู่ค์) ต่อมาพบชันภูมิที่ดีกว่าบริเวณทุ่งกำพอก ระยะหลังจึงอพยพจากบ้านตูมไปตั้งบ้านอนันต์ และตั้งรกรากที่นั่น
ต่อมานายดวง บุตรคนโตของ พระขุขันธ์ (โลกตาเปตี๊ยะธม) ท่านเฒ่าแก่หัวหน้าชาวบ้านอนันต์ ได้พาไพร่ ข้าทาสบริวารอพยพครอบครัว ข้ามสำรางทางน้ำห้วยตะเภามาตั้งบ้านเรือนโรงช้าง และคอกเลี้ยงควายวัว อยู่ที่ริมดงหนองยาง ทางทิศเหนือห่างจากบ้านอนันต์ประมาณ 30 เส้นเศษๆ มาตั้งหลักปักฐานตรงที่บริเวณบ้านอาจารย์อมฤทธิ์ ผาสุก และนายฮูน ออมทรัพย์ (สัมภาษณ์ พ.ศ. 2534) รายล้อมด้วยกระท่อมของบ่าวไพรประมาณ 12 ครอบครัว เวลาต่อมาได้มีผู้อพยพติดตามมาสมทบเพิ่มมากขึ้นจึงขนานนามชุมชนใหม่แห่งนี้ว่า “บ้านยาง” ตามชื่อหนอง เพราะที่ทิศตะวันออกริมหนองมีต้นยางใหญ่มหึมาขึ้นอยู่เป็นสัญลักษณ์ ผู้คนในบ้านยางขณะนั้น ไปทำบุญทานกันที่วัดบ้านอนันต์ เรียกบ้านอนันต์ว่า “เซาะจ๊ะ” (บ้านเก่า) จนติดปากตลอดมา ชื่อเซาะจ๊ะเพิ่งจะหายไปเมื่อสัก 40 กว่าปีมานี้เอง เพราะคนรุ่งเก่าๆ ล้มตายกันไปแล้ว
ในกาลต่อมาเมื่อพระขุขันธ์ได้ถึงแก่กรรมแล้ว บุตรชายคนโตของท่าน คือ นายดวงได้ขึ้นมาปกครองบ้านเมืองแทนบิดา ซึ่งมีนิวาสสถานอยู่บ้านยาง รับตำแหน่งแทน นายดวงจึงปกครองบ้านยาง และบ้านอนันต์ควบเข้าด้วยกันเป็นบ้านยางอนันต์ (เนื่องจากบิดานายดวงสืบเชื้อสายจากพระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน เจ้าเมืองขุขันธ์ จึงปกครองผู้คนขึ้นตรงต่อเมืองขุขันธ์ จนกระทั่งมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองหัวเมืองแบ่งเป็นจังหวัด อำเภอ ในปี 2447 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงรวมเข้าจังหวัดสุรินทร์ตั้งแต่นั้นมา)
ต่อมาพระยาขุขันธ์ฯ ดำริจัดตั้งหัวเมืองฝ่ายตะวันตกเพื่อตั้งยันบ้านเมืองใกล้เคียงเข้าปกครองผู้คนของตน จึงตั้งกรมการเมืองขึ้นที่บ้านกระออม (สำโรงสาบ) แห่งหนึ่งเพื่อยันเขตเมืองรันตนบุรี ไม่ให้รุกล้ำ และตั้งกรมการเมืองขึ้นที่บ้านยางอนันต์ แห่งหนึ่งเพื่อยันเมืองสังขะ และเมืองจารพัตร ตั้งนายดวงเฒ่าแก่หัวหน้าบ้านยางอนันต์ เป็นหัวหน้าสำรองเจ้าเมืองให้มีบรรดาศักดิ์เป็น พระสีมาปัจจิมเขตต์ ชาวบ้านเรียกว่า “ตาเปรี๊ยะสีมา” ดูแลปกครองบ้านยางอนันต์ บ้านปราสาทระแงง บ้านบัวตึล บ้านก้านเหลือง บ้านตางมาง บ้านสำโรงสาบ บ้านหมื่นศรี บ้านสังแกเสม็จ บ้านจังเกา บ้านตรึม บ้านคาละแมะ ขึ้นตรงต่อขุขันธ์ มีอำนาจพิจารณาคดีความปรับสินไหมพินัยหลวงเก็บส่วยอากรส่งเมืองขุขัน ปีละ 1 ครั้ง ตั้งบุตรหลาน และบุคคลสำคัญในท้องที่เป็นกรมการเมืองมีนายสวาย บุตรโตเป็นพระนรินทรภักดี นายเนียมบุตร คนที่ 2 เป็นหลวงทิพยโอสถ นายเสาะหลานเขยเป็นหลวงวิจิตรอักษร และตั้งนายคำเป็นหลวงทรงวิชัย นายเซร็ยเป็นหลวงชัยอาสา ช่วงนี้เองพระไกร (ท้าวบุญจันทร์) ได้ติดตามพระยาขุขันธ์ บิดาเลี้ยงมาช่วยราชการเกิดความสนิทสนมชอบพอกับอำแดงกระโอม บุตรสาวพระสีมา ที่บ้านยาง และติดตามไปมาระหว่างเมืองขุขันธ์กับกองนอกฝ่ายตะวันตก ยางอนันต์ปีละหลายครั้งมิได้ขาด จนในที่สุดเมื่อสิ้นบุญบิดาเลี้ยง พระไกร (ท้าวบุญจันทร์) จึงได้อำนาจเป็นเจ้าเมืองท่านที่ 3 ในราชทินนาม พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน ในขณะนั้นฝ่ายปลัดเมืองขุขันธ์ คือ พระภักดีภูธรสงคราม (ท้าวอุ่น) หลานเขยเจ้าเมืองขุขันธ์คนก่อนเกิดความไม่พอใจจึงพาสมัครพรรคพวกไปตั้งบ้านโนนสามขาสระกำแพง กราบบังคมทูลขอตั้งบ้านโนนสามขาสระกำแพงขึ้นเป็นเมืองศรีสะเกศในเวลาต่อมาซึ่งตรงกับปีพุทธศักราช 2325 เมื่อพระยาขุขันธ์ (ท้าวบุญจันทร์) ได้อำนาจเป็นเจ้าเมือง ได้ทำการสู่ขออำแดงกระโอม บุตรีพระสีมา นายกองนอก ตกแต่งเป็นภรรยา ในระยะหลังๆ เมื่อพระสีมาปัจจิมเขตต์ถึงแก่กรรมแล้ว พระนรินทรภักดีได้เป็นผู้ปกครองกองยางอนันต์สืบมาได้ขอตั้งนายปรก หลานชายเป็นขุนสวรรพิทักษ์ และตั้งนายกลัดบุตรเขยเป็นขุนภักดีนุรักษ์เป็นกรมการเมือง เริ่มตั้งบรรดาศักดิ์ ตั้งแต่ปี 2400 จนมาสิ้นสุดลงในปี 2447 ครองความเป็นใหญ่ในแถบแถวนี้อยู่ถึง 47 ปี
ในช่วงที่พระสีมาปัจจิมเขตต์ ครองความเป็นใหญ่ในหัวเมืองฝ่ายตะวันตกของเมืองขุขันธ์ (กองนอกยางอนันต์) นั้นมีผู้คนมาตั้งบ้านเรือนอยู่หนาแน่นมากไม่สะดวกแก่การต้อนฝูงวัวเข้าออกในหมู่บ้าน จึงจัดให้นายเวื้อน หัวหน้าบ่าวไพร่ ย้ายคอกวัวไปตั้งไว้กลางดงตรงที่บริเวณบ้านนายลมุน นางเบื้อง โถเล็ก (สัมภาษณ์ พ.ศ. 2534) ป่าดงตรงนี้จึงถูกขนานเป็นนามว่า “ป่าโคกตาเวื๊อน” คำว่าตาเวื๊อนเป็นภาษาท้องถิ่นเขียนไทยว่า “ตาวัน” ชื่อตาวัน จึงเป็นที่มาของนามบ้านศรีตะวันในเวลาต่อมา
ประมาณปี พ.ศ. 2415 ขึ้นมาได้กำหนดเขตตัวเมืองเพื่อการขยายตัวให้กว้างใหญ่ขึ้นจึงจัดผู้คนที่มีฐานะเป็นมูลนาย มีข้าทาสบ่าวไพร่ใช้สอยพอควรแก่ฐานะเป็นหัวหน้าออกไปบุกเบิกทำไร่นา ตั้งคอกวัวควายขึ้นทั้ง 4 มุมเมือง ทางชายทุ่งทิศตะวันออก ให้ตาสิงห์ ยายแก (ต้นตระกูลสิงห์ทอง กับตาเจะ (ต้นตระกูลผาสุก) ไปตั้งที่โคกกระหึ่ม (เสือคำราม) ใกล้บริเวณหนองน้ำที่ตาพรม ตั้งกระท่อมเฝ้าไร่อยู่เรียกว่า หนองตาพรม ต่อมาเมื่อชุมชนหนาแน่นขึ้น จึงเรียกว่า เขตคุ้มบ้านตาพรม (เขตเซราะตาปรม) หลังสงครามโลกที่ 2 ในระราวปี พ.ศ. 2492 – 2495 จึงได้ยกฐานะเป็น บ้านตาพรม หมู่ที่ 4 โดยมีนายเอ็ด ผาสุก (บิดาอาจารย์ขวัญชัย ผาสุก) เป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรก นายเขียด สิงห์ทอง นายพลอย มั่งยืน นายเปาร์ กำลังหาญ เป็นผู้ใหญ่บ้านคนต่อๆ มาจนถึง นายคุณเติบ ผาสุก เป็นผู้ใหญ่บ้านคนปัจจุบันทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ในคุ้มครองของหลวงทรงวิชัย (นายคำ ต้นตระกูลคำงาม) มีคนในตระกูลคำงาม เช่น นายเจาะ นายสาม มาตั้งที่ริมหนองตาสาย ตรงกับนายสวัสดิ์ ทรงศรี ในปัจจุบัน (สัมภาษณ์ พ.ศ. 2534) ชายดงด้านเหนือติดทุ่งตำโลงสะยา ให้หลวงชัยอาสา (ตาแซร็ย ต้นตระกูลศิริมาก) มาตั้งโดยมีตากุน ศิริมาก บุตรชายตั้งตรงบ้านนายไพรัช ทินปราณี (ปัจจุบัน) ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ มีตาวา ตาวา ต้นตระกูลกำลังหาญ ตั้งที่ริมหนองตาวา ทางทิศตะวันตกริมหนองกันจาม ให้นายเบ็ญจ์ (ต้นตระกูลบุตรเงิน) ตั้งอยู่ ในช่วงขยับขยายนี้ มีกลุ่มตาท้าว ตาขาว (ต้นตระกูลมั่นยืน) และตามิ่ง (ต้นตระกูลโถเล็ก) ข้ามทุ่มตำโลงสะยาที่มีร่องน้ำห้วยโอร์ปรึงไหลผ่ายไปตั้งที่โคกกะกลั้น โดยมีต้นรังดำ ขึ้นอยู่เป็นป่าจำนวนมากชาวบ้านเรียกต้นรังดำว่า “เดิมกะลัญจ์” เซาะลัญจ์เรียนตาภาษาไทยว่า “กะลัน” ต่อมาได้ยกฐานะเป็นหมู่บ้านกะลันหมู่ที่ 16 มีนายมิ่ง โถเล็ก ลูกหลวงชัยอาสา บิดาของแม่ปราณี นพเก้า คหบดีบ้านกะลันปัจจุบัน เป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรก รวมเป็นพื้นที่บริเวณเมืองถึงพันไร่เศษ
พ.ศ. 2447 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้โปรดเกล้าฯ ให้จัดระเบียบการปกครองที่ตามแบบแผนยุโรป โดยมีสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ตั้งเมืองอุบลราชธานี เป็นเมืองมณฑอุบลฯ ตั้งเมืองสุรินทร์เป็นจังหวัดสุรินทร์ ตั้งเมืองขุขันธ์เป็นจังหวัดขุขันธ์ ต่อมาภายหลังเปลี่ยนเป็นจังหวัดศรีสะเกษ ตั้งเมืองกุดประไท (จารพัตร) เป็นอำเภอศีขรภูมิพิสัย แล้วปักปันเขตเมืองตามลักษณะภูมิประเทศ ถือเอาลำห้วยทัพทันเป็นเขตปักปัน บ้านยางอนันต์จึงรวมเข้ากับอำเภอศีขรภูมิพิสัย จังหวัดสุรินทร์ ขึ้นตรงต่อมณฑลอุบลฯ หนึ่งของอำเภอศีขรภูมิพิสัย มีเขตปกครองทิศใต้ ถึงบ้านตรมไพรก้านเหลือง มีห้วยทับทันเป็นเขตตำบล ไปทางกุดหวายบ้านตางมางตามะ บ้านกุงติดเขตตำบลสำโรงทาบ ทางเหนือมีบ้านนารุ่งขึ้นตำบลยาง ทางตะวันตกมีบ้านเขนก หนองขวาว กรดนาฮัง ระแงง ปราสาท ตระแบก ระเวียง ยางเตี้ย กางของ รวม 27 หมู่บ้านเป็นตำบลใหญ่กว้างขวางที่สุดในยุคนั้นเป็นศูนย์กลางของอำเภอ ดังนั้นจึงในปี 2454 – 2455 มีอำเภอศีขรภูมิพิสัย จึงย้ายจากตำบลบ้านจารพัตรมาอยู่ที่บ้านอนันต์ หมู่ที่ 2 ตำบลยาง มีชื่อเป็นอำเภอศีขรภูมิ จนถึง พ.ศ. 2473 จึงย้ายไปตั้งที่บ้านปราสาท สถานีรถไฟบ้านระแงง ศีขรภูมิปัจจุบัน
ที่มา: หนังสือรวมผลงานชุดที่ 2 สายเลือด สายสกุล และอัตชีวประวัติของอาจารย์สัมฤทธิ์ สหุนาฬุ