ท่านบ้านใหญ่ หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่าโลกตาเปเตี๊ยะธม แซรธม มีชื่อเดิมอย่างไรหรือมีบรรดาศักดิ์อย่างไรไม่ปรากฏ ทราบแต่เพียงว่าชาวบ้านมักเรียกท่านว่า ท่านบ้านใหญ่ ท่านนาใหญ่ เพราะความเกรงกลัวอำนาจจนไม่กล้าเอ่ยนามจริงของท่าน ในภายหลังผู้เรียบเรียง (ว่าที่ ร.ต.ชัชวาลย์ คำงาม) สืบค้นพบว่า บรรดาศักดิ์ของท่านบ้านใหญ่ คือ พระขุขันธ์ ซึ่งปรากฏในวารสารศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ปีที่ 5 ฉบับประจําปีการศึกษา 2553 ในหัวข้อ ประวัติท้องถิ่น/ชื่อบ้านนามเมือง บ้านยาง โดยอาจารย์สุทัศน์ กองทรัพย์ เป็นผู้เรียบเรียงในหน้า 117 โดยระบุว่า "นายดวงเป็นบุตรของพระขุขันธ์" นายดวงผู้นี้ต่อมา คือ พระสีมาปัจจิมเขตต์นั่นเอง ดังนั้นพระขุขันธ์ (โลกตาเปเตี๊ยะธม แซรธม) เป็นหัวหน้าผู้ปกครองบ้านอนันต์ (อานาร์) ในสมัยปี พ.ศ. 2303–2390 โดยประมาณได้เป็นผู้สืบทอดจากบรรพบุรุษ คือ พระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน ซึ่งเป็นบิดาของท่าน ได้แยกย้ายอพยพผู้คนจากบ้านปราสาทสี่เหลี่ยมดงลำดวน (เมืองขุขันธ์) มาทางตะวันตก มาตั้งบ้านมะโตม (บ้านตูม ต.ตูม อ.ปรางค์กู่) เป็นแห่งแรก จนเป็นปึกแผ่นแล้วต่อมาได้พบชัยภูมิแห่งใหม่ ที่เป็นเนินสูงตั้งอยู่ชายทุ่งลุ่มน้ำกำพอก ด้านตะวันตกของกุดไผทเป็นที่ป่าที่ดินดีมีความอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูก และเหมาะแก่การเลี้ยงวัว เลี้ยงช้าง เป็นทุ่งทำเลดีจึงได้แยกจากกลุ่มญาติบ้านมะโตม พาบ่าวไพร่มาปักหลัก บุกเบิกทำไร่สร้างบ้านเรือนอยู่บริเวณที่ นายอานาร์ (อานัรร์) เขียนไทยว่าอานันต์ สืบทอดกันมาตั้งแต่ปลายกรุงศรีอยุธยา (ราวๆ พ.ศ. 2330) เป็นต้นมา โดยท่านนั้นเป็นผู้ปกครองดูแลควบคุมบ่าวไพร่ และผู้คนที่อพยพติดตามมาอยู่ที่โคกเนินอานันต์นี้ ซึ่งเป็นโคกร้างเคยเป็นชุมชนใหญ่มาก่อนในยุคขอมมีอำนาจ โดยปรากฏว่าเนินอานันต์นี้มีเนินกำแพงดินเก่าแก่ล้อมรอบภายในเนินกำแพงเป็นคูน้ำคั่นอยู่ ที่ตื้นเขินแล้ว 3 ด้าน จากชายทุ่งลุ่มน้ำห้วยกำพอก ทางด้านใต้อ้อมขึ้นมาทางตะวันตก (ตรงที่ตั้งโรงน้ำแข็ง) เป็นเนินกำแพงทอดยาวไปทางเหนือ ตามแนวหมู่บ้านกะชาย ชักปีกกาออกไปทางบ้านอาเสก ออกไปทางแซรจรอก (คูน้ำที่ตื้นแล้ว) ระหว่างอาเสกกับโคกพยอม กำแพงดินเลือนหายไป ส่วนทางด้านเหนือมีกำแพงดินคูน้ำวกต่อจากปีกกาบ้านอาเสก ทอดมาทางตะวันออกทะลุทุ่งหญ้าลุ่มน้ำกำพอก ด้านตะวันออกไม่ปรากฏร่องรอยตรงเนินดินอันเป็นยอดสูงสุด มีปราสาทร้างอยู่หลังหนึ่งก่อด้วยอิฐดินเผาบนฐานศิลาแลง นักโบราณคดีให้ชื่อว่า ปราสาท “อานาร์” ซึ่งปรักหักพังแล้ว ตั้งอยู่เป็นเครื่องยืนยันว่าเคยเป็นชุมชนใหญ่ระดับหัวเมืองเล็กๆ มาก่อนแล้วในอดีต ซึ่งได้กลายเป็นป่าดงทึบมาแล้วไม่น้อยกว่า 300-400 ปี
บรรพบุรุษที่กล่าวนี้ มีการติดต่อไปมาหาสู่กันระหว่างบ้านอนันต์กับบ้านตูม บ้านปราสาทสี่เหลี่ยมดงลำดวน เมืองขุขันธ์ เมืองเก่าสมัยอยู่ในอาณาจักรขอม ขแมรเลอ ยุคสมัยเดียวกันกับเมืองพิเมียย เมืองปันเตียยสร็อง เมืองปันเตียยชะมาร์ที่มีปราสาทหิน ในกลุ่มนครธม กระจัดกระจายอยู่มากมาย ในบริเวณนี้ และบรรพบุรุษเหล่านี้เคยเป็นขุนนางมูลนายปกครองบ่าวไพร่มีข้าทาสบริวารใช้สอย มาแล้วแต่อดีตสืบทอดติดต่อกันมาไม่ขาดสายจนถึงสมันสุดท้ายของกรุงศรีอยุธยา ก่อนนั้นได้ผลัดเปลี่ยนกันมีอำนาจระหว่างชาวละว้าและขอมผลัดเปลี่ยนการปกครองกลับไปกลับมาอยู่บ่อยๆ กระทั่งถึงสมัยพวก กูยผู้มีบุญ มาครองอำนาจเป็นเจ้าเมือง เหล่าขุนนางเก่าๆ แต่เดิมๆ มาจึงได้เข้าร่วมบริหารบ้านเมืองกับกูยผู้มีบุญที่มีบรรดาศักดิ์เป็นพระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน รวบรวมเกลี้ยกล่อมหัวหน้าชาวเขมรป่าดง ขแมรเลอ ตามชุมชนต่างๆ เข้ามาอยู่ในความปกครองของเจ้าเมืองใหม่ แผ่ขยายออกไปอย่างกว้างขวาง เมืองขุขันธ์ที่เรียกว่า ศรีนครลำดวนจึงมีบ้านเล็กเมืองน้อยขึ้นอยู่อย่างกว้างใหญ่ไพศาล ทางตะวันออกจรดเขตเมืองเดช เมืองโดม ด้านเหนือจรดลำน้ำมูล ด้านใต้จรดทิวเขาพนมดงรัก ส่วนทางด้านตะวันตกจดเขตเมืองตีของเมืองสุรินทร์ และจดเขตเมืองกุดไผทสิงขรของเมืองสังขะ ดังนั้น บ้านก้านเหลือง ห้วยทับทัน บ้านอนันต์ จึงติดเขตเมืองสังขะ กุดไผทสิงขร และจรดเขตของสุรินทร์ และบ้านสัจจัง บรรจงหลักหิน (บ้านแท่น) ห้วยจริงคลุมบ้านสังแก บ้านกระออมต่อเขตเมืองแก้วหรือศรีนครเตา (กุดหวาย รัตนบุรี) บ้านอนันต์จึงอยู่ในเขตเมืองขุขันธ์ ซึ่งต่อมาทางขุขันธ์เรียกว่า “เมืองฝ่ายตะวันตก” (เซราะอีแล็จ)
เมื่อพระขุขันธ์ (โลกตาเปเตี๊ยะธม แซรธม) ผู้ปกครองบ้านอนันต์ (เจ้าบ้าน) ได้ปกครองบ้านอนันต์ชุมชนใหญ่ฝ่ายตะวันตกสืบทอดมาจนถึงสมัยรัชกาลแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชครองกรุงรัตนโกสินทร์ต่อจากกรุงธนบุรี ได้จัดการสมรสให้นายดวงบุตรชายคนโตกับอำแดงอำไพ คนไทยเชื้อสายลาวชาวบ้านทุ่งไชย (ต.กล้วยกว้าง อ.เมืองศรีสะเกษ) ซึ่งเป็นผู้ที่มีรูปร่างหน้าตางดงามผิวพรรณค่อนข้างนวลขาว ร่างสูงโปร่งสันทัดคล้ายผิวสีของชาวภู่ไทยที่เรณูนครในจังหวัดนครพนม มีความรู้เชี่ยวชาญในการทอผ้าปูม ผ้าโฮล ผ้ามัดหมี่ ยกลายต่างๆ ซึ่งต่อมาได้นำแบบอย่างมาเผยแพร่แก่ชาวขแมรเลอดำเนินรอยตามจนแพร่หลายมาถึงยุคปัจจุบัน ดังนั้นลูกหลานของคุณย่าทวดอำไพจึงมีรูปร่างสวยงามผิวขาวนวล และรอบรู้กิจการงานเรือนดีกว่าชาวบ้านทั่วไป เป็นทายาทของท่านบ้านใหญ่ในบ้านอนันต์ ครองเรือนมาจนกระทั่งมีบุตรด้วย 3 คน
ในเวลาต่อมาบ้านอนันต์มีผู้คน และบ้านเรือนหนาแน่นได้ขยายออกไปตั้งอยู่นอกบริเวณกำแพงเก่า แถวๆ ริมหนองอาเกียง และป่าอาเสกบ้างแล้ว นิวาสสถานบ้านเรือนท่านบ้านใหญ่คับแคบไม่สะดวกแก่การนำฝูงวัวและช้างหลายเชือกออกสู่โรงช้าง จึงจัดให้นายดวง อำแดงอำไพ ย้ายคอกปศุสัตว์เหล่านั้นไปตั้งที่โคกหนองยางฟากทุ่งสำรางทางน้ำห้วย โอรตารโปว (สำรางห้วยตะโปท) ซึ่งอยู่ทางเหนือบ้านอนันต์ไปประมาณ 30 เส้นเศษ โดยมีต้นยางใหญ่กว่า 2 คนโอบ ขึ้นอยู่บนฝั่งตะวันออกหนอง เป็นสัญลักษณ์ตั้งบ้านเรือน คอกวัว โรงช้าง กระท่อมบ่าวไพร่ฝั่งใต้ของหนองน้ำตรงบริเวณบ้านครูจ๊ะจ๋า (อาจารย์พรรณศิริ รัมพณีนิล) และบริเวณบ้านครูเซาะ (อาจารย์อมฤต ผาสุก) เป็นที่อยู่อาศัยรายล้อมด้วยบรรดาเพื่อนบ้านที่อพยพตามมาประมาณ 12 ครอบครัว ช่วงนี้ตกอยู่ในราวปี พ.ศ. 2380 สมัยแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 แห่งกรุงเทพฯ ในปีถัดมาก็มีผู้อพยพตามมา และผู้ที่เข้ามาทำไร่บริเวณใกล้เคียงได้เข้ามาตั้งบ้านเรือนเพิ่มขึ้น ช่วงระยะเวลาเพียง 15 ปี บ้านยางก็เติบโตเป็นปึกแผ่น เป็นชุมชนใหญ่กว่า 100 ครอบครัว การติดต่อราชการบ้านเมืองและส่งส่วยสาอากรไปสู่เมืองขุขันธ์ ก็ตกเป็นภาระหน้าที่ของนายดวง บุตรชายคนโตพระขุขันธ์ (โลกตาเปเตี๊ยะธม แซรธม) ปฏิบัติหน้าที่แทนบิดาซึ่งชราภาพแล้ว ตั้งแต่นั้นสืบมาชื่อเสียงบ้านยางของนายดวงจึงเป็นที่รู้จักคุ้นเคยของบรรดาขุนนาง และชาวเมืองขุขันธ์ ต่อมาพระขุขันธ์ (โลกตาเปเตี๊ยะธม แซรธม) สิ้นชีวิตลง การปกครองดูแลบังคับบัญชาจึงตกอยู่แก่นายดวง และชื่อชุมชนแห่งนี้จึงถูกเรียกว่า “บ้านยางอนันต์ (เซราะเยียงอานัรร์)”
ที่มา: หนังสือรวมผลงานชุดที่ 2 สายเลือด สายสกุล และอัตชีวประวัติของอาจารย์สัมฤทธิ์ สหุนาฬุ