หลวงตาบท เป็นบุตรของพ่อเบ็ญจ์ และแม่ลอม (พ่อเบ็ญ บุตรเงิน แม่ลอม ห่อทอง) พ่อเบ็ญ เป็นพี่คนโตของสกุล บุตรเงิน น้องพ่อเบ็ญ คือ นายเตาะ บุตรเงิน (ชาวบ้านเรียกว่า เตาะเศรษฐี หรือ เตาะ ฮุนมี) น้องถัดไปคือ นายปุม หุ่นทอง (ปุมเศรษฐีบ้านอาเสก) ซึ่งจดทะเบียนใช้นามสกุล หุ่นทอง แยกจากบุตรเงินไป พรานบทสมรสกับนางวา บุตรแม่พู เหมือนชอบ
เกิดบุตรด้วยกันดังนี้
1.หญิงเก็บ บุตรเงิน
2.ชายดำ บุตรเงิน (เสือดำ)
3.เด็กชาย ถึงแก่กรรมตั้งแต่ยังเด็ก
4.เด็กชาย ถึงแก่กรรมตั้งแต่ยังเด็ก
5.นายสมบูรณ์ บุตรเงิน
6.นางปวน อะสิพงษ์ สมรสกับนายกลอน อะสิพงษ์
7.เด็กชาย ถึงแก่กรรมตั้งแต่ยังเด็ก
8.เด็กชาย ถึงแก่กรรมตั้งแต่ยังเด็ก
เมื่ออยู่ในวัยฉกรรจ์ ชอบการล่าสัตว์ป่าเป็นอาจิณ ชาวบ้านยกย่องนับถือ และให้สมญานามว่า “พรานบท” พรานบทเป็นพรานผู้อารี คือ ยิงเนื้อได้แล้วนำมาชำแหละแจกจ่ายในหมู่บ้านทั่วกันจนหมด เหลือไว้เฉพาะพอกินในครอบครัวตนเองเพียงมื้อสองมื้อเท่านั้น กินให้หมดเร็วๆ เพื่อจะได้ออกไปล่ามาใหม่ ส่วนชาวบ้านที่ได้รับแบ่งเนื้อจากพรานบทก็จะให้ข้าวเปลือก ข้าวสาร สิ่งของ ของกินของใช้เป็นการตอบแทน กระทำเช่นนี้เป็นเนืองนิตย์ตลอดเวลาที่ดำเนินชีวิตเป็นพรานป่าล่าสัตว์และมีการอพยพย้ายถิ่นฐานของตนเอง ไปอยู่ตามตำบลหมู่บ้านที่มีป่าดงที่สมบูรณ์ และมีสัตว์ป่าชุกชุมไปตามอำเภอต่างๆ จังหวัดต่างๆ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือหลายจังหวัด ที่อุดมด้วยสัตว์ป่าเพื่อการล่าได้สบายมือ เช่น เขต ต.กุดหวาย ศีขรภูมิ ป่าตะกอยหยอด ต.ตรวจ อ.สังขะ ป่ากันตวดระมวน ต.ตาเบา อ.ปราสาท (ครั้งยังรวมอยู่ในเขตอำเภอเมืองสุรินทร์) ป่ากาบเชิง (ครั้งยังขึ้น ต.ตาเบา อำเภอปราสาท) ป่าหนองกี่ เขตบุรีรัมย์ ป่าทุ่งกะเต็นห้วยแถลง เป็นต้น จนกระทั่งที่ระบุเหล่านี้หมดสภาพป่า กลายเป็นเมือง และมีอายุมากล่วงเข้าสู่วัยชรา บุตรภรรยาล้มตายจากไปก่อนเกือบหมด เหลือแต่ทิดสมบูรณ์ลูกชายและหลานๆ นอกนั้นตายไปหมดแล้ว จึงได้ละเพศฆราวาสจาก “พรานบท เนสารทพเนจร” มาครองผ้ากาสาวพัตร ถือเพศอุปสมบทเป็นภิกษุในพุทธศาสนา เริ่มจากสำนักวัดบัวหวาย สำนักสงฆ์ป่าจิก วัดที่อำเภอประโคนชัย บุรีรัมย์ จนกระทั่งมาจำพรรษาอยู่ที่วัดชูประศาสนาราม บ้านศรีตะวัน ตำบลยาง อำเภอศีขรภูมิ อันเป็นถิ่นฐานบ้านเกิดบ้านยาง เมื่อปี พ.ศ. 2536 ในราวเดือนกรกฎาคม ปีระกา อุปสมบท มีอายุตามใบสุทธินับได้ 102 ปี เพราะใบสุทธิลงไว้ว่า เกิดปีเถาะ และลง พ.ศ. กำกับไว้ว่า พ.ศ. 2434 (นับถึงวันเขียนสัมภาษณ์นี้ได้ 102 ปี) แต่เมื่อตรวจสอบไล่เลียงดูตามสภาพที่เป็นจริงจากการสอบถาม ซึ่งบุคคลที่เกิดและมีชีวิตอยู่ในรุ่นเดียวกัน มาเทียบเคียง ตลอดเทียบอายุของบุตรคนหัวปีแล้ว จะปรากฏว่า ปีเถาะที่ภิกษุหลวงตาบทเกิดนั้นจะตรงกับ พ.ศ. 2445 ใกล้เคียงกับแม่รีก คำงาม (แม่ยายของอาจารย์สัมฤทธิ์ สหุนาฬุ) ซึ่งเป็นคนปีขาล พ.ศ. 2444 พร้อมกับ แม่วาภรรยาหลวงตา จึงนับอายุจริงได้ 91 ปีเท่านั้น (นับถึงวันนี้ ปีระกา พ.ศ. 2536 จะได้ 91 ปีเศษ)
ที่มา: หนังสือรวมผลงานชุดที่ 2 สายเลือด สายสกุล และอัตชีวประวัติของอาจารย์สัมฤทธิ์ สหุนาฬุ