นายเสาะ เป็นต้นตระกูล ทรงศรี จดทะเบียนนามสกุล ที่ที่ว่าการอำเภอศีขรภูมิ ขณะตั้งที่ว่าการอำเภอที่บ้านอนันต์ หมู่ที่ 2 ตำบลยาง (ประมาณ พ.ศ. 2456-2457) นายเสาะเป็นบุตรหลวงกลางสังขะเขต กรมการเมืองสังขะ เกิดที่บ้านสังขะ อำเภอสังขะ ครั้งยังเป็นเมือง ขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ (ตอนนั้นยังไม่จัดการปกครองเป็นอำเภอ-จังหวัด) ขณะบวชเรียนอยู่ที่วัดในเมืองสังขะ ได้ติดตามพระเจ้าคุณ “ราชมุนี” ไปอยู่ที่วัดสุปัฏนาราม เมืองอุบลราชธานี เพื่อศึกษาธรรมบาลี จึงมีความรู้อักขระภาษาขอม ภาษาไทย จากสังฆะ และรอบรู้อักขระหนังสือลาวทั้งตัวธรรมและตัวไทจากสำนักวัดสุปัฏนาราม เมืองอุบลฯ
เมื่ออยู่วัดสุปัฏนารามได้ประมาณ 2 พรรษา จึงเดินทางกลับจากอุบลฯ มาทางศรีสะเกษอุทุมพรพิสัยมาสู่เมืองจารพัตร เพื่อต่อไปสังขะ ระหว่างเดินทางจากอุทุมพรได้แวะพักที่สำนักวัดบ้านอนันต์ 1 พรรษา ระหว่างนั้นชาวบ้านยางไปรวมกันที่วัดบ้านอนันต์ จึงได้พบดรุณีนางหนึ่ง มีนามว่า บุญเลียง เป็นบุตรสาวคนโตของย่าโคตร เป็นหลานสาวคนโตของพระสีมาชาวบ้านยาง มีศิริรูปโฉมกิริยามารยาทงดงามสมเป็นกุลสตรีไปทำบุญตามเทศกาลที่วัดหลายครั้ง พระภิกษุเสาะจึงพึงพอใจ เมื่อออกพรรษาจึงลาสิกขา จัดหาผู้ใหญ่มาสู่ขอแม่บุญเลียงเป็นภรรยาทำพิธีสมรสและอยู่กับคุณย่าโคตรที่บ้านยาง
ทิดเสาะหรืออาจารย์เสาะเป็นคนมีความรู้ทั้งอักขระและภาษาไทยลาวได้ดี ใช้สอยติดต่อกับมูลนาย เจ้าบ้าน เจ้าเมืองได้ดี จึงถูกใช้ให้ช่วยราชการ คุณพระสีมาบิดาคุณย่าโคตรในฐานะเป็น หลานเขยคนโต และติดต่อราชการได้ดี เขียนหนังสือทั้งภาษาขอม ภาษาไทยได้ดี มีความชอบ พระยาขุขันธ์ เจ้าเมืองขุขันธ์จึงแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ให้อาจารย์เสาะเป็น “หลวงวิจิตรอักษร” ซึ่งแปลว่า “หนังสืองาม” ให้เป็นกรมการหัวเมืองช่วยราชการ หัวเมืองตะวันตก (บ้านยางอนันต์) ขึ้นตรงต่อเมืองขุขันธ์ อาจารย์เสาะจึงถูกชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า “หลวงวิจิตร”
หลวงวิจิตรอักษร (เสาะ) จึงครองเรือนกับแม่บุญเลียง จนกระทั่งสิ้นบุญพระสีมาแล้ว ตำแหน่ง เจ้าบ้านยางอนันต์ (หรือหัวเมืองฝ่ายตะวันตก) “เจาเนียยเซราะอีแล๊จ” หรือ “สดั๊จเซราะอีแล๊จ” ตามที่ชาวขุขันธ์เรียก ซึ่งหมายถึงหัวเมืองฝ่ายตะวันตกบ้านยางอนันต์ ที่พระสีมาดำรงตำแหน่งจึงตกทอดมายังพระนรินทรภักดี (สวาย) หรือ “เปรี๊ยะนรินทร์” ซึ่งชาวบ้านรู้จักในนามของ “ตาเปรี๊ยะ” ผู้เป็นบุตรชายคนโตของตาเปรี๊ยะสีมา (ดวง) ท่านได้ขึ้นครองตำแหน่งเจ้าบ้านแทน เปรี๊ยะนรินทร์ จึงปกครองแทน เปรี๊ยะสีมา พระนรินทร์เป็นลูกชายคนที่ 1 หลวงประเสริฐเป็นลูกชายคนที่ 2 และคุณย่าโคตรเป็นลูกลำดับที่สาม เป็นลูกสาวคนโตของท่านเปรี๊ยะสีมา คุณย่าโคตรสมรสกับ นายปาน ชาวเสียมเรียบ บัดตำบอง (ชาวเมืองเสียมราฐ พระตะบองในกัมพูชาปัจจุบัน) ซึ่งสมัยนั้นรวมอยู่ในราชอาณาจักรสยาม (ไทย) อยู่ และมีบุตรสาวด้วยกันอยู่คนเดียว คือแม่บุญเลียง ศรีภรรยาของหลวงวิจิตรอักษร
หลวงวิจิตรอักษรกับแม่บุญเลียงมีบุตรด้วยกัน 5 คน คือ นายเกียรติ นายบุ นายฤทธิ์ นายรัง และนายนิล เมื่อแม่บุญเลียงถึงแก่กรรม บุตรทั้ง 5 คน จึงตกเป็นภาระของคุณย่าโคตรเป็นผู้เลี้ยงดูตลอดมาจนแยกย้ายกันมีครอบครัวสืบต่อมาเมื่อภายหลัง ส่วนหลวงวิจิตร พ่อหม้ายซึ่งได้จดทะเบียนนามสกุลตาม พ.ร.บ. ขนานนามสกุล พ.ศ. 2456 สมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 แห่งรัตนโกสินทร์ จึงแยกไปมีภรรยาใหม่กับแม่ไหม ซึ่งเป็นหม้ายดุจกัน และมีบุตรด้วยกันของพ่อเสาะแม่ไหม 2 คน คือ นางเขียด จันทอง ภรรยานายเรือง จันทอง และ นางสาวลม ทรงศรี เป็นคนปัญญาอ่อนเสียชีวิตเมื่อวัยสาว
นายเสาะจึงได้นามสกุล “ทรงศรี” เป็นนามสกุลเพียงสายเดียว เพราะ นายเสาะหรือหลวงวิจิตร เป็นคนชาวเมืองสังขะดังกล่าว เมื่อนายเสาะไปแต่งงานกับแม่ไหม ไม่มีบุตรชายอีกจึงไม่มีสายสกุลสืบต่อ แต่ได้นำนามสกุลนี้ไปให้แก่ นายเปียด ผู้เป็นบุตรติดกับแม่ไหมได้ใช้ร่วมด้วย นายเปียดจึงได้นามสกุลทรงศรีไปขยายโดยการใช้นามสกุลร่วม ซึ่งนายเปียด เป็นน้องชายของนายทัด นายทัด ใช้นามสกุลตามบิดาที่สืบสายเลือดที่ถูกเป็น “โสฬส” ซึ่งแปลว่า “สวรรค์ชั้นที่ 16” นายทัด ถูกเกณฑ์เป็นตำรวจภูธรรุ่นแรก ตามกฎหมายลักษณะการเกณฑ์ทหาร (รวมทั้งเกณฑ์เป็นตำรวจด้วย) ไปประจำอยู่ที่กองตำรวจเมืองสุรินทร์ พลตำรวจทัด โสฬส ถูกเขียนชื่อเป็น พลฯ ทัด โสพัด “โสฬส” จึงเป็น “โสพัด” และตัว “ฬ” จุฬากลายเป็นตัว พ. ไม้หันอากาศ ตัวสะกด ส. จึงกลายเป็นสะกดตัว ด. โสฬส (โส-ลด) จึงกลายเป็น “โสพัส” (โสพัด) พลฯ ทัด โสพัด มีบุตรชายคนเดียว คือ นายสี นายสีจึงได้นามสกุล “โสพัด” เพียงคนเดียวในบ้านยาง-อนันต์ คนอื่นๆ เขาเป็น “โสฬส” (โส-ลด) กันหมด นายทัด พี่นายเปียด นามสกุล โส-พัด นายเปียด โสฬส น้องนายทัดได้นามสกุล “ทรงศรี” เพราะเป็นลูกแม่ไหมติดแม่ไหมไปได้กับพ่อเสาะ ทรงศรี จึงได้ทรงศรีดังกล่าวมาแล้ว
ที่มา: หนังสือรวมผลงานชุดที่ 2 สายเลือด สายสกุล และอัตชีวประวัติของอาจารย์สัมฤทธิ์ สหุนาฬุ