การศึกษาประวัติศาสตร์ผ่านแนวคิดเรื่องตัวตน และกระบวนการสร้างตัวตนของคนเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้จัดทำมีแนวคิดที่จะศึกษาประวัติศาสตร์ผ่านทางสายเลือด สายสกุล ซึ่งมีความสัมพันธ์กับประวัติศาสตร์ท้องถิ่น นามสกุลของคนไทยถือกำเนิดอย่างเป็นทางการครั้งแรกในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยทรงตราพระราชบัญญัตินามสกุลขึ้นในวันที่ 22 มีนาคม พุทธศักราช 2455 บังคับใช้เป็นกฎหมายตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม พุทธศักราช 2456 เป็นต้นไป ให้คนไทยต้องมีนามสกุล เพื่อสะดวกแก่การจดทะเบียนคนเกิด คนตาย และทำการสมรส ทรงชี้แจงถึงคุณประโยชน์ของการมีนามสกุลไว้ใน "จดหมายเหตุรายวัน" ว่า
“...การมีชื่อตระกูลเปนความสะดวกมาก อย่างต่ำๆที่ใครๆก็ย่อมจะมองเห็นได้ คือชื่อคนในทะเบียฬสำมโนครัวจะได้ไม่ปนกัน แต่อันที่จริงจะมีผลสำคัญกว่านั้น คือจะทำให้เรารู้จักรำฤกถึงบรรพบุรุษของตนผู้ได้อุสาหก่อสร้างตัวมา และได้ตั้งตระกูลไว้ให้มีชื่อในแผ่นดิน เราผู้เปนเผ่าพันธุ์ของท่านได้รับมรฎกมาแล้ว จำต้องประพฤติตนให้สมกับที่ท่านได้ทำดีมาไว้ และการที่จะตั้งใจเช่นนี้ ถ้ามีชื่อที่ต้องรักษามิให้เสื่อมทรามไปแล้ว ย่อมจะทำให้เปนเครื่องยึดเหนี่ยวหน่วงใจคนมิให้ตามใจตนไปฝ่ายเดียว จะถือว่า “ตัวใครก็ตัวใคร” ไม่ได้อีกต่อไป จะต้องรักษาทั้งชื่อของตัวเองทั้งชื่อของตระกูลด้วยอีกส่วนหนึ่ง...”
แต่ในปัจจุบันผู้คนส่วนใหญ่จะไม่ทราบว่าต้นตระกูลของเรามีที่มาหรือมีความเป็นมาอย่างไร และตนเองนั้นได้สืบเทือกเถาเหล่ากอมาอย่างไร ซึ่งเราเองจะทราบถึงตัวคุณพ่อ คุณปู่ ที่เรารู้จักท่านดีอยู่แล้ว แต่นอกเหนือชั้นปู่ขึ้นไปจะมีสักกี่คนที่จำได้ถึงขั้นนั้น ด้วยความที่คนไทยขาดการจดบันทึกนั่นเอง พอกาลเวลาผ่านไปเมื่ออยากจะศึกษาสืบค้นก็ไม่รู้จะไปตั้งต้นสืบสาวหารายละเอียดได้จากที่ไหน บางท่านอาจได้เคยฟังคุณพ่อหรือคุณปู่เล่าเรื่องบรรพบุรุษ ก็ได้ความชัดเจนเพียงว่าคุณพ่อหรือคุณปู่เป็นลูกของใคร มีภูมิลำเนาอยู่ที่ไหน มีญาติพี่น้องกี่คน ส่วนที่เล่าเรื่องนอกเหนือไปกว่านี้ มักจะได้ฟังในลักษณะเรื่องเล่ากล่าวขานที่ไม่มีหลักฐานที่จะยืนยันได้ชัดเจน ดูขาดความน่าเชื่อถือ แต่จำเป็นต้องเชื่อไว้ก่อนเพราะเป็นเรื่องที่ผู้หลักผู้ใหญ่เล่าให้ฟัง แล้วจะไปกล่าวหาว่าท่านเล่าเรื่องไม่จริง หรือเราก็เกิดไม่ทัน ไม่รู้เรื่องมาก่อนเลย จึงต้องเชื่อเรื่องดังกล่าวไว้ก่อน แต่นานๆ ไป เรื่องที่รับฟังโดยไม่มีหลักฐานก็มักเลือนลืมไปเอง ซึ่งการเล่าเรื่องเก่าของตระกูลอื่นๆ ทุกตระกูลจะมีลักษณะแบบเดียวกันนี้ทั้งนั้น ไม่มีการ “จดบันทึกตระกูล” เอาไว้
จากเหตุผลดังกล่าวผู้จัดทำจึงอยากสานต่อเจตนารมณ์ของอาจารย์สัมฤทธิ์ สหุนาฬุ ผู้ที่ได้รับการยกย่องเป็นปราชญ์ศีขรภูมิ ซึ่งท่านเล็งเห็นถึงความสำคัญของประวัติศาสตร์และได้บันทึกเรื่องราวของตระกูลไว้ รวมถึงประวัติศาสตร์ท้องถิ่นตำนานบ้าน ตำบลยาง ประวัติศาสตร์อำเภอศีขรภูมิ รวมถึงประวัติศาสตร์จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งปัจจุบันมีนักวิชาการ นิสิต นักศึกษา และผู้สนใจหลายท่านมาศึกษาข้อมูลของอาจารย์สัมฤทธิ์ สหุนาฬุ ที่ท่านบันทึกไว้ในเอกสารต่าง ๆ นำไปประกอบงานเขียนของตนเองอย่างแพร่หลาย ผู้จัดทำจึงมีแนวคิดที่จะทำชุดข้อมูลความรู้นี้ขึ้นเพื่อเผยแพร่เกียรติคุณของอาจารย์สัมฤทธิ์ สหุนาฬุ และเผยแพร่งานเขียนในส่วนของประวัติศาสตร์ท้องถิ่นตำบลยาง และสายเลือด สายสกุล คนตำบลยาง ซึ่งเป็นงานเขียนที่ทรงคุณค่าต่อประวัติศาสตร์สายเลือด สายสกุลชาวตำบลยาง อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ และเพื่อให้ลูกหลานของพระสีมาฯ จะได้ไม่ลืมรากเหง้าของตัวเองว่ามีตัวตนมาจากที่ใด ผู้จัดทำขอยืนยันว่าข้อมูลชุดนี้ทั้งหมดเป็นข้อเท็จจริงที่บันทึกมาจากการศึกษาประวัติศาสตร์ และคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ที่รอบรู้เล่าสืบทอดกันมาเป็นทอด ๆ ที่อาจารย์สัมฤทธิ์ สหุนาฬุ เป็นผู้บรรจงสร้างสรรค์
ผู้จัดทำขอน้อมคารวะคุณ อาจารย์สัมฤทธิ์ สหุนาฬุ ผู้บันทึกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญของตระกูลรวมถึงประวัติศาสตร์ท้องถิ่นบางส่วนบางตอนที่เป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยจากคำบอกเล่าของผู้ใหญ่ในตระกูลหลาย ๆ ท่าน และจากการศึกษาค้นคว้าของท่านเองบ้าง นอกจากนี้ต้องขอขอบพระคุณ ศาสตราจารย์ ดร.พงษ์ศักดิ์ สหุนาฬุ บุตรชายของอาจารย์สัมฤทธิ์ สหุนาฬุ ผู้รวบรวมบันทึกที่มีคุณค่ายิ่งให้เป็นเล่มเดียวกัน จัดเป็นหมวดหมู่ และที่สำคัญผู้จัดทำต้องขอขอบพระคุณ คุณพักตร์วิไล สหุนาฬุ (ป้าไก่) บุตรสาวของอาจารย์สัมฤทธิ์ สหุนาฬุ ผู้เอื้อเฟื้อข้อมูลให้ลูกหลานได้ศึกษาประวัติศาสตร์ความเป็นมา และขอขอบพระคุณผู้ให้ข้อมูลบางประการ ช่วยทำให้เรื่องราวสมบูรณ์ขึ้นไว้ ณ ที่นี้ด้วย