ตามที่ติดตามสืบทราบได้มา ได้ความพิศดาร ดังนี้ นายพฤนท์เป็นบุตรของนายสแร็ย ออกเสียงตามภาษาเขมรว่า แซร็ย หรือ ไซรย์ ซึ่งมีความหมายถึงสิริมงคล
ประวัติเดิมของนายสแร็ย เป็นลูกหลานบ้านแซรออ อยู่ในเขตตำบลขวาวสินรินทร์ อำเภอเมืองสุรินทร์ (ในปัจจุบัน คือ อำเภอขวาวสินรินทร์) หลังจากที่นายสแร็ย ได้บวชเรียนอยู่ในวัดแซรออมาหลายปีจนมีความรู้แตกฉานด้านคำภีร์ขอมและเรียนรู้ภาษาไทยพออ่านออก เขียนจดคัดลอกคัมภีร์และกฎหมายภาษาไทยได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้ศึกษาศิลปะพิเศษทางด้านช่างฝีมือ เป็นช่างแกะสลักไม้เป็นลวดลายเครือเถาว์สิงห์สาราสัตว์ เครื่องประดับ หลังคาโบสถ์วิหาร เป็นช่างเขียนภาพผนัง เป็นช่างทองรูปพรรณ จนเชี่ยวชาญใช้การได้แล้ว จึงลาสิกขาบทเป็นบัณฑิตออกมาช่วยบิดา มารดา ทำนา เมื่อสิ้นฤดูนาก็ออกตระเวนไปตามนิคม ตามหมู่บ้านต่างๆ เพื่อรับจ้างทำทองรูปพรรณ เปลี่ยนทองรูปพรรณเก่าๆ มาตกแต่งรูปพรรณใหม่ มีรายได้ดีตลอดมา โบสถ์วิหารวัดใดชำรุดก็รับจ้างซ่อมสร้างขึ้นใหม่ให้งดงามตามสภาพเดิม ได้ตระเวนไปชุมชนหมู่บ้านใหญ่ๆ ต่างๆ จนกระทั่งมาปักหลัก ทำทองรูปพรรณให้ชาวบ้านที่หมู่บ้านบัว ซึ่งตั้งอยู่ริมหนองบัว บ้านบัวขณะนั้นเป็นชุมชนใหญ่มีผู้คนหนาแน่นและเจริญกว่าหมู่บ้านใกล้เคียง อยู่หลายเดือนก็ได้พบกับกุลสตรีลูกสาวชาวบ้านบัว ชื่อ หอม เป็นที่ต้องใจ ก็ได้สมรสกับหอม สาวชาวบ้านบัว เป็นเขยของบ้านบัวตั้งแต่นั้นมา ต่อมาชุมชนบ้านบัวเกิดอาเภท ผู้คนล้มตายจำนวนมากในเวลาอันรวดเร็วด้วยโรคระบาดไข้ทรพิษ (ฝีดาษ) ผู้คนจึงแตกตื่นอพยพหลบหนี ส่วนหนึ่งมาตั้งอยู่ที่บ้านตึล บ้านสมบูรณ์ อีกกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งได้อพยพข้ามทุ่งกุดพระไทย มาสู่ดงทึบตรงข้ามบ้านบัว ซึ่งเคยเป็นเมืองร้างเก่าแก่มาหลายร้อยปี ปักหลักแผ้วถางบุกเบิกสร้างที่อยู่อาศัยกลางดงริมชายทุ่งใกล้ๆ กับปราสาท โดยมีนายสแร็ย (ศิริ) แม่หอม เป็นหัวหน้านำผู้คนอพยพมาสู่ดงปราสาท เป็นบรรพบุรุษของผู้ก่อตั้งบ้านปราสาท ตำบลระแงง (เดิมขึ้นกับตำบลยาง) มาจนถึงปัจจุบัน
นายสแร็ย มีบุตรธิดากับแม่หอมที่สืบสกุลต่อมา 5 คน คือ
1. ปรึณ หรือ พฤนธิ์ (บุตรชายคนเดียว)
2. คอน (หญิง)
3. ปีง (หญิง)
4. แปน (หญิง)
5. เลียง (หญิง)
นอกนั้นตายด้วยโรคระบาดฝีดาษหมด
นายสแร็ยได้รับยกย่องให้เป็นพ่อบ้านหรือเจ้าบ้านปราสาท (ถ้าเมืองใหญ่ เขาเรียกว่าพ่อเมืองหรือเจ้าเมือง) ปกครองชุมชนบ้านปราสาท มีศักดิ์ศรีเสมอด้วยพ่อบ้านหรือเจ้าบ้านชุมชนใหญ่อื่นๆ ขึ้นต่อกองยางอนันต์ ขึ้นตรงต่อเมืองขุขันธ์
นายสแร็ย ได้สู่ขอกุลสตรี ชื่อ อำแดงตลับ ลูกสาวคนสุดท้องของพระสีมาปัจจิมเขตต์ (ดวง) นายกองนอกยางอนันต์ให้กับนายพฤนท์ ลูกชายคนเดียวของตระกูลนายบ้านผู้มีฐานะคหบดี มีข้าทาสช่วงใช้ โดยควรแก่ฐานะ ให้เป็นศรีภรรยา พฤนธิ์กับตันลับจึงได้สมรส และมาอยู่ที่บ้านยาง มีบุตรด้วยกัน 3 คน คือ
1. นายปรก
2. นายปรม
3. นางหนูทัพ (เป็นไข้ทรพิษตาย ตั้งแต่อายุได้ 3-4 ขวบ)
นายพฤนท์ นอกจากพาบ่าวไพร่ทำนาแล้วยังถนัดในการค้าขายต่างเมือง โดยเป็นนายฮ้อยคุมลูกน้องต้อนฝูงกระบือไปขายทางภาคกลางทุกๆ ปี ด้วย พระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน (บุญจันทร์) ซึ่งเป็นคู่เขยกับนายพฤนธิ์ คือ พระยาบุญจันทร์ สมรสกับ อำแดงกระโอม พี่สาวของอำแดงตลับ จึงตั้งบรรดาศักดิ์ให้นายพฤนท์เป็นที่ พระประเทศพานิช
ต่อมาพระประเทศพานิช (พฤนท์) ได้ถูกกลุ่มโจรดักปล้นกระบือกลางป่าที่เมืองกบินทร์บุรีได้เกิดการต่อสู้กัน พระประเทศพานิช (พฤนท์) นายฮ้อยคุมกองคาราวานกระบือได้ถูกผู้ร้ายยิงเสียชีวิตในดงเมืองกระบินทร์บุรี ผู้ร้ายชิงกระบือไปได้จำนวนหนึ่ง ที่เหลือผู้ช่วยได้ควบคุม ต้อนไปขายแถวพนัสนิคม พนมมหาสารคาม และปากน้ำจนหมด ตันลับ หรือตลับ หรือที่คนทั่วไปเรียกแม่ลับ และข้าพเจ้าเรียกคุณย่าลับ ตกเป็นพุ่มหม้ายอยู่หลายปี เลี้ยงลูกชาย 2 คน คือ ปรกกับปรม จนต่อมาได้สมรสใหม่กับอาจารย์ทิม อดีตเจ้าอาวาสวัดบ้านยาง บุตรหลวงชัยอาสา (นายแสร็ย หรือ ศิริ ซึ่งต่อมาเอานามของนายไซรย์หลวงชัยอาสานี้ไปเป็นนามสกุล “ศิริมาก”) และมีบุตรด้วยกันอีก 5 คน ได้แก่ นางปวง จันทร์ไทย นางเปียน ระดมบุญ นายเขมา สหุนาฬุ นางรีก แซ่เตีย และนางบุญมาก จิตรหาญ
ที่มา: หนังสือรวมผลงานชุดที่ 2 สายเลือด สายสกุล และอัตชีวประวัติของอาจารย์สัมฤทธิ์ สหุนาฬุ