ภาพถ่าย ขุนสวรรค์พิทักษ์ (โปะ สหุนาฬุ) ภาพจากคุณพักตร์วิไล สหุนาฬุ ทายาทสายตรงของขุนสวรรค์พิทักษ์ (โปะ สหุนาฬุ)
นายโปะ เกิดปีระกา พ.ศ. 2428 ในรัชกาลแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 กรุงรัตนโกสินทร์ ครองราชสมบัติได้ 18 พรรษา) เป็นบุตรของพระประเทศพานิช (พฤนท์) ชาวบ้านปราสาท ตำบลระแงง อ.ศีขรภูมิ กับอำแดงตลับ (บุตรีคนสุดท้องของพระสีมาปัจจิมเขตต์ ที่นิวาสสถานตาเปรียะสีมา บ้านยาง ต.ยาง อ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์ ที่ตั้งนิวาสสถานนี้ปัจจุบันเป็นสวนอยู่ในบริเวณบ้านของ คุณผจงจิต ผาสุก พัฒนากรที่บ้านยาง อ.ศีขรภูมิ ที่เรียกว่านิวาสสถาน เพราะเป็นเรือนทรงไทยโบราณแฝด 3 หลัง มีหอนั่งขวางอีก 1 หลัง และปลูกที่อยู่อาศัยสำหรับข้าทาสชายหญิงรวมอยู่ด้วยหลายครอบครัวอีก 2-3 หลัง รวมกับโรงช้างอีก 1 หลัง) เมื่อพ่อโปะอายุได้ 6-7 ขวบ นายพฤนท์บิดาก็ถึงแก่กรรม โดยเหตุถูกผู้ร้ายยิงตายที่กลางป่าแชวงเมืองกระบินทร์บุรี โดยที่นายพฤนท์เป็นนายร้อยหัวหน้าคุมฝูงกระบือ และบริวารหลายสิบคนนำฝูงกระบือนับร้อยไปร่วมชุมนุมจำหน่ายภาคกลาง (แถวเมืองพนัสฯ พนม-ปากน้ำ-ปทุมและอยุธยา) ระหว่างเดินทางต้อนฝูงกระบือผ่านช่องตะโกสู่แขวงเมืองศรีโสภณไปกระบินทร์บุรีแปดริ้ว ระหว่างพักพล รอกองคาราวานอื่นไปสมทบที่แขวงกระบินทร์บุรี กลางคืนได้มีผู้ร้ายกลุ่มหนึ่งยกกองเข้าโจมตีปล้นฝูงกระบือ นายร้อยพฤนท์หรือพระประเทศพานิช ได้ควบคุมพลพรรคกระบือบาลต่อสู้กับกลุ่มโจรด้วยอาวุธปืนและมีดดาบจนกองโจรแตกพ่ายหนีไป แต่นายร้อยพฤนท์ถูกยิงอาการสาหัสและถึงแก่กรรมในเวลาต่อมา นายโปะและน้องสองคน (หนูทัพและนายพรหม) จึงกำพร้าบิดาตั้งแต่อยู่ในวัยเยาว์ ดังนั้นอำแดงตลับหม้ายสาวบุตรสุดท้อง ผู้สืบมรดกของพระสีมาฯ จึงเข้าพิธีสมรสครั้งที่สองกับนายทิม (อาจารย์ทิม อดีตสมภารผู้ก่อตั้งวัดบ้านยาง) บุตรนายแสร็ย นางเจา (นายศิริ หรือ หลวงชัยอาสา ต้นสกุล ศิริมาก) มีบุตรคนต่อมาคือ นางปวง จันทร์ไทย นางเปียน ระดมบุญ นายเขมา สหุนาฬุ นางรีก แซ่เตีย (คำงาม) นางบุญมาก จิตรหาญ ซึ่งเป็นน้องๆ ของพ่อโปะ สหุนาฬุ ชุดที่สอง
เมื่อนายโปะอายุได้ 13 ขวบ นายทิม พ่อเลี้ยงได้ประกอบพิธีตัดจุก (โกนจุกตามประเพณีดั้งเดิมสำหรับลูกผู้ดีมีสกุล) อายุได้ 15 ปี บรรพชาเป็นสามเณรศึกษาอักขระภาษาไทยและขอมเป็นพื้นฐานเบื้องต้นอยู่ได้ 2 พรรษา ลาสึกออกมาช่วยครอบครัวควบคุมข้าทาสทำไร่นา จนอายุครบ 20 ปี จึงอุปสมบทเป็นภิกษุ 2 พรรษาศึกษาต่อจนมีความรู้พอใช้การได้สามารถคัดลอกตำรากฎหมายภาษาไทย และคัดลอกตำรายาภาษาขอมได้ จารคัมภีร์ภาษาขอมลงในใบลานได้ (ยังมีหลักฐานสมุดข่อยและตำรายาสมุนไพรหลงเหลือเก็บรักษาอยู่บ้างเล็กน้อย อยู่กับบ้านของผู้เขียน ปัจจุบันคงเป็นมรดกตกทอดของคุณพักตร์วิไล สหุนาฬุ บุตรสาวของผู้เขียนคืออาจารย์สัมฤทธิ์ สหุนาฬุ)
ลาสิกขาบทแล้วพระนรินทร์นายกองให้ช่วยราชการทำหน้าที่เสมียนกรมการกองนอกขึ้นต่อเมืองขุขันธ์และเสนอขอตั้งบรรดาศักดิ์ให้เป็นขุนสวรรค์พิทักษ์ได้สมรสกับนางสาวปาง บุตรนายมิน นางแมน บ้านอนันต์ แล้วย้ายมาอยู่ร่วมที่บ้านยาง มีบุตรด้วยกัน 2 คน คือ นางทองอยู่ (ภายหลังได้สมรสกับนายเสงี่ยม เหมือนนึก บ้านอาเสก มีบุตร 3 คน ก็ถึงแก่กรรม) และ 2. นายพึบ สหุนาฬุ ได้สมรสกับ นางสาวอิ่ง มีบุตร 6 คน (เวลานี้ถึงแก่กรรมแล้ว) ต่อมานายโปะสมรสกับแม่พูหญิงหม้ายสามีตายผู้มีฐานะอันจะกินคนหนึ่ง ประมาณปี 2459 มีบุตรเป็นชายล้วน 3 คน คือ 1. นายบุญเทือง 2. นายสัมฤทธิ์ (ผู้เขียน) 3. นายสำราญ สหุนาฬุ อดีตหัวหน้าพัสดุแขวงการทางบ้านไผ่ จ.ขอนแก่น ซึ่งเกษียณอายุราชการแล้วขณะนี้ สมรสใหม่ครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้มาบุกเบิกแผ้วถางนอกจากยึดอาชีพการเกษตรทำนาทำสวนผลไม้และพืชหมุนเวียนเป็นหลักแล้วเมื่อสิ้นฤดูกาลก็ชักชวนลูกหลานเพื่อนบ้านทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนในเชิงวานิชเป็นพ่อค้าในที่สุด
ที่มา: หนังสือรวมผลงานชุดที่ 2 สายเลือด สายสกุล และอัตชีวประวัติของอาจารย์สัมฤทธิ์ สหุนาฬุ