อ.เสถียร โพธินันทะ
อ.เสถียร โพธินันทะ
นายเสถียร โพธินันทะ เกิดที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๒ ที่บ้านในตรอกอิศรานุภาพ บริเวณตลาดเก่าเยาวราช ใกล้กับวัดกันตุมายาราม บิดาเป็นชาวจีนชื่อ นายตั้งเป็งท้ง มารดาชื่อนางมาลัย กมลมาลย์ มีพี่สาวสองคน ขณะที่มารดาตั้งครรภ์ บิดามีเหตุจำเป็นต้องเดินทางกลับไปประเทศจีน และได้ถึงแก่กรรมก่อนที่จะเดินทางกลับมาประเทศไทย ในวัยเด็ก เด็กชายเสถียร จึงใช้นามสกุลตามมารดาเป็น "เด็กชายเสถียร กมลมาลย์" ต่อมาในปีพ.ศ.๒๔๙๑ ขณะที่อายุได้ ๒๐ ปี จึงเปลี่ยนนามสกุลตนเองเป็น "โพธินันทะ" (หมายถึงผู้ยินดีในความรู้แจ้ง)
ท่านได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนราษฏรเจริญ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับวัดจักรวรรดิราชาวาส ในวัยเด็กท่ามกลางที่แวดล้อมเป็นคนจีน ท่านก็ชอบเล่นแต่งกายเป็นพระจีน ชอบวาดรูปพระพุทธเจ้าและรูปบุคคลประกอบเรื่องราวทางพุทธศาสนา ชอบท่องเที่ยวไปตามวัดต่างๆ ทั้งวัดจีน วัดญวน และวัดไทย เพื่อไปสนทนาไต่ถามเรื่องราวทางศาสนากับพระสงฆ์ อีกทั้งยังชอบเล่านิทานและเรื่องราวต่างๆให้เพื่อนตีวงล้อมฟัง เช่น เรื่องผู้ชนะสิบทิศ ของยาขอบ ท่านเล่าตามสำนวนของยาขอบได้ดียิ่ง และมักถูกขอร้องจากทั้งเด็กและผู้ใหญ่ให้เล่าเรื่องต่างๆที่ท่านได้อ่านมาให้ฟัง หนังสืออีกประเภทที่ท่านชอบอ่านมาตั้งแต่เด็กคือเรื่องประวัติศาสตร์ หนังสือเล่มหนาๆที่ใช้เวลาอ่านหลายวัน แต่เด็กชายเสถียรจะใช้เวลาอ่านเพียง ๒-๓ ชั่วโมงก็อ่านจนจบและสามารถเล่าเรื่องได้ตลอด
ท่านได้ศึกษาต่อชั้นมัธยมที่โรงเรียนมัธยมวัดบพิตรพิมุข หลังจบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๕ ได้ลาออกทั้งที่มีโอกาสและครอบครัวท่านมีทุนทรัพย์พอที่จะศึกษาต่อในระดับสูงขึ้นต่อไป ท่านลาออกด้วยความประสงค์ที่ต้องการเป็นอิสระ เพื่อจะมีเวลาศึกษาค้นคว้าหาความรู้ที่ต้องการด้วยตนเองได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะความรู้ทางพระพุทธศาสนา
หลังลาออกจากโรงเรียนมัธยม ท่านได้เข้าเรียนภาษาจีนที่โรงเรียนเผยอิง ใช้เวลาเพียง ๒ ปี ท่านก็มีความรู้ภาษาจีนแตกฉาน สามารถอ่นพระไตรปิฎกจีน ซึ่งเต็มไปด้วยสำนวนโวหารโบราณ และศัพท์สูงๆ ยากๆ ได้อย่างเข้าใจ ขณะที่อายุเพียง ๑๗ ปี ท่านได้ทำหน้าที่ล่ามภาษาจีนให้นายแพทย์ตันม่อเซี้ยงถึง ๓ ครั้ง ขณะที่แสดงปาฐกถาที่พุทธสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ นายแพทย์ตันม่อเซี้ยง เล่าในหนังสือ "เสถียรที่ข้าพเจ้ารู้จัก" ว่า เริ่มรู้จักคุณเสถียรเมื่ออายุ ๑๕ ปี ขณะกำลังศีกษาในโรงเรียนวัดบพิตรพิมุข คุณเสถียรเป็นเด็กฉลาดหลักแหลม มีปฏิภาณไหวพริบดีมาก และมีความจำยอดเยี่ยมด้วย
ท่านได้พบกับอาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ (อดีตพระสุชีโวภิกขุ) จนกลายเป็นศิษฐ์คอยติดตามไปกิจนิมนต์ต่างๆ อาจารย์สุชีพได้เล่าว่า ในตอนที่พบนายเสถียรครั้งแรกที่วัดกันมาตุยานาม ได้ถามเกี่ยวกับพระสูตรหลายสูตร เช่น โปฏฐปาทสูตร (ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค) และ อัคคัญญสูตร (ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค) ทำให้แปลกใจว่าทำไมเด็กอายุยังน้อยจึงมีความรู้ความสนใจในพระพุทธศาสนามากอย่างนั้น จึงประทับใจและเอ็นดูตั้งแต่วันแรกที่พบเจอกัน และได้เชิญให้ไปบรรยายธรรมให้พุทธศาสนิกชนฟัง ที่ตึกมหามกุฏราชวิทยาลัย หน้าวัดบวรนิเวศวิหาร นายเสถียรซึ่งขณะนั้นอายได้ราว ๑๗ ปี ไปบรรยายทั้งๆที่ยังใส่ชุดนักเรียน สร้างความประทับใจแก่ผู้ฟังอย่างมาก ที่เห็นวัยรุ่นอายุยังน้อย สามารถบรรยายธรรมได้อย่างแตกฉาน
ในขณะที่อายุได้ ๑๗ ปี ท่านได้เขียนจดหมายแนะนำตัวไปถึงท่านพุทธทาสภิกขุ และหลังจากได้เขียนโต้ตอบกันหลายครั้งจนกลายเป็นกัลยาณมิตรต่อกัน ท่านพุทธทาสเคยกล่าวในอัตชีวประวัติว่า เมื่อต้องขึ้นไปกรุงเทพฯ ก็ต้องไปคุยกันที่วัดมาตุยารามอยู่ประจำ
ความสามารถของอ.เสถียรเป็นที่รับรู้ต่อสาธารณะตั้งแต่เมื่ออายุได้เพียง ๑๗ ปี จึงทำให้เกิดกระแสความต้องการที่จะก่อตั้งกลุ่มเยาวชนพุทธเพื่อสร้างศาสนทายาทขึ้น นายห้างอังกฤษตรางู นายบุญยง ว่องวาณิช ซึ่งได้ติดตามฟังปาฐกถาของทั้งสุชีโวภิกขุ (อ.สุชีพ) และนายเสถียร เป็นประจำ ได้เป็นตัวตั้งตัวตีในการก่อตั้งกลุ่มเยาวชนพุทธ ต่อมสุชีโวภิกขุ นำเรื่องไปปรึกษาพระพรหมมุนี (ผิน สุวโจ) วัดบวรนิเวศวิหาร เพื่อขอจดทะเบียนเป็นสมาคม "ยุวพุทธิกสมาคม" ในขณะที่นายเสถียรอายุได้ ๒๐ ปี ปรากฏว่าได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากทั้ง นิสิตนักศึกษามหาวิทยาลัย พ่อค้า ข้าราชการ และประชาชนทั่วไป ต่อมา ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้กลายเป็นองค์กรทางศาสนาที่มีมีชื่อเสียงและมีบทบาทสำคัญไปทั่วประเทศและระดับนานาชาติ
เมื่ออายุย่าง ๒๒ ปี ในปีพ.ศ๒๔๙๔ ท่านได้บวชเป็นระยะสั้นๆ หลังลาสิกขา ได้รับเชิญเป็นอาจารย์ประจำ บรรยายวิชาประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในสภาการศึกษามหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย และเป็นองค์ปาฐกให้กับยุวพุทธิกสมาคมที่ร่วมก่อตั้ง รวมถึงวัดและสถานศึกษาต่างๆ
อ.เสถียร โพธินันทะ มีความรู้ลึกซึ้งทั้งพุทธนิกายเถรวาทและมหายาน ทำให้ได้รับการยกย่องว่าเป็นปราชญ์แห่งพุทธศาสนา ซึ่งอ.เสถียรเคยกล่าวไว้ว่า "ข้าพเจ้าไม่เป็นพุทธศาสนิกชนสังกัดนิกาย ข้าพเจ้าเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า มีพระพุทธองค์เป็นพระบิดาทางใจ เลื่อมใสได้ทุกนิกาย ข้าพเจ้าเป็นทั้งพุทธศาสนิกชนฝ่ายสาวกยานและมหายาน เวลาสวดมนต์ก็สวดทั้งพระสูตรบาลีและสันสกฤตของมหายาน"
ความเก่งกาจสามารถของอ.เสถียร ทำให้ศจ.สัญญา ธรรมศักดิ์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เคยกล่าวสดุดีไว้ว่า "คำบรรยายทางพระพุทธศาสนาที่ท่านได้กล่าวออกมาแก่เรา มีลักษณะเหมือนภาพถ่าย ทำให้เพียงได้เห็นสักครั้งหนึ่งก็ไม่ลืมหรือคลาดเคลื่อนไป"
ในช่วงชีวิตหนึ่งของอ.เสถียร ท่านเคยสนใจศึกษาเรื่องเครื่องรางของขลังอย่างจริงจัง แต่ก็ได้ตัดสินใจละทิ้งความรู้ด้านนี้ไปเสียก่อน โดยได้แสดงความเห็นว่า "ไอ้เครื่องรางของขลังผมรู้ดีครับ เพราะผมเองเรียนมาเยอะแล้ว เครื่อรางของขลังวิชาไสยศาสตร์น่ะ ไหว้ครูยกครูมาเยอะแยะ จนกระทั่งเดี๋ยวนี้เลิกหมด เลิกเมื่อปี ๒๔๙๙ เลิกหมดครอบครูบาอาจารย์สำนักไหนเก่ง ผงพุทธคุณก็ทำมาแล้ว และก็เรียนตะกรุดต่างๆ ลงยันต์ เรียนมาหมดแล้วก็เลิก เลิกหมดเพราะอะไร? ไม่เป็นที่สุดของทุกข์ เรียนไปแล้วตัวเองก็ไม่พ้นทุกข์ กิเลสยังเท่าเก่า ไม่รู้จะเรียนไปทำไม เอาเวลามาอ่านหนังสือธรรมะดีกว่า ตัวเองไม่มีอะไรขลังเหลือแม้แต่อย่างหนึ่งอยู่เลย พระเครื่องรางที่แขวนถอดหมด ไม่เอาหมด ให้เค้าหมด แจกหมด ไม่เหลือไว้เลย เดินตามสายพุทธวิถีแท้ พุทธบุตรแท้ดีกว่า"
อ.เสถียร ได้สร้างผลงานสำคัญในพระพุทธศาสนาไว้มากมาย ทั้งงานบรรยาย ปาฐกถา งานเขียน ฯ ไม่ว่าท่านจะไปพูดที่ไหน ก็จะมีคนติดตามไปฟังอย่างแน่นขนัด แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายยิ่งที่เมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๐๙ ท่านได้จากไปขณะที่อายุเพียง ๓๗ ปี ในขณะที่ท่านกลับมาบ้านในเวลา ๒๑ นาฬิกา อาบน้ำชำระร่างกายแล้วเข้านอน วันรุ่งขึ้นมารดาเห็นเงียบ เข้าใจว่าหลับอยู่ จึงออกไปซื้อของนอกบ้าน จนราว ๘ นาฬิกา กลับมายังเห็นไม่ตื่นจึงขึ้นไปดูเห็นอาการนอนนิ่ง ลักษณะอาการเหมือนคนนอนหลับธรรมดา หน้าตาเปล่งปลั่งมีรอยยิ้มน้อยๆ ไม่มีร่องรอยความทุกข์ใดๆ จึง ให้หลานชายตามแพทย์มาตรวจ แพทย์สันนิษฐานว่าสิ้นลมไปราว ๖-๗ ชั่วโมงแล้ว
🌏 เฟสบุ๊คและเว็บไซต์
➡️ เฟสบุ๊ค "เสถียร โพธินันทะ"
➡️ เว็บไซต์ "เสถียร โพธินันทะ"
กลุ่ม "อ.เสถียร โพธินันทะ" มีจำนวน ๒๙ เล่ม