พระธรรมโกศาจารย์ ฉายา อินฺทปญฺโญ (แปลว่าผู้มีปัญญาอันยิ่งใหญ่) หรือที่รู้จักกันในชื่อ พุทธทาสภิกขุ มีนามเดิมว่า เงื่อม พานิช เกิดเมื่อ ๒๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ ในครอบครัวพ่อค้า ที่ตลาดพุมเรียง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฏร์ธานี เมื่ออายุได้ ๘ ขวบ บิดามารดาได้พาไปฝากตัวเป็นเด็กวัดที่วัดพุมเรียง (หรือวัดใหม่) ซึ่งเป็นวัดที่คนในตระกูลพานิชเคยบวชเรียนกันมา เป็นจุดเริ่มต้นที่ท่านได้ใกล้ชิดกับพุทธศาสนา ได้เล่าเรียนหนังสือ ไหว้พระสวดมนต์ อุปัฏฐากพระ จนอายุได้ ๑๑ ปี จึงกลับมาอยู่ที่บ้าน และเข้าเรียนชั้นประถมที่วัดโพธาราม (หรือวัดเหนือ) เรียนชั้นมัธยมที่โรงเรียนสารภีอุทิศ ซึ่งอยู่ในตลาดไชยา ทำให้ท่านต้องย้ายจากบ้านที่พุมเรียง มาอยู่กับบิดาที่เปิดร้านขายข้าวเปลือกอยู่ในตลาดไชยา ช่วงนี้ท่านจึงต้องทำหน้าที่ลำเลียงส่งข้าวจากบ้านที่ไชยาไปบ้านที่พุมเรียง
แต่แล้วบิดาของท่านก็เสียชีวิตขณะที่ท่านกำลังเรียนอยู่ชั้น ม.๓ หลังเรียนจบท่านจึงขอออกจากโรงเรียน มาช่วยมารดาทำการค้าขาย และส่งน้องชายให้มีโอกาสได้เรียนต่อ
วงการศาสนาในพุมเรียงช่วงนั้น มีความตื่นตัวกับการศึกษานักธรรม ซึ่งเป็นระบบการศึกษาธรรมะแบบใหม่ ที่แบ่งออกเป็นระดับชั้นตรี-โท-เอก ท่านพุทธทาสซึ่งขณะนั้นยังอายุไม่ครบบวช ได้ค้นหว้าหาหนังสือนักธรรม รวมถึงหนังสือพระอภิธรรมมาศึกษา แล้วใช้บ้านตัวเองเป็นเวทีพูดคุย โต้ตอบปัญหาธรรมะกับคนอื่นในระแวกบ้าน ถึงแม้ขณะนั้นท่านยังมีอายุน้อย แต่ก็สามารถตอบธรรมะได้อย่างฉะฉานและเชี่ยวชาญ เป็นที่ยอมรับของผู้คนที่มาสนทนาธรรมด้วย
เมื่อถึงอายุครบบวช ท่านพุทธทาสได้บวชเรียนตามประเพณี เมื่อ ๑๘ กรกฏาคม ๒๔๖๙ (ขณะอายุ ๒๐ ปี) ที่วัดอุบล (หรือวัดนอก) ก่อนจะย้ายมาวัดพุมเรียง หลังจากบวชได้เพียง ๑๐ วัน ท่านพุทธทาสก็ได้รับโอกาสแสดงธรรม ในขณะนั้นการเทศน์ มักใข้การอ่านคัมภีร์ใบลาน แต่ท่านพุทธทาสนำเนื้อหาจากหลักสูตรนักธรรมมาขยายความ ทำให้การเทศน์เข้าใจง่าย สนุกเพลิดเพลิน เป็นที่ชื่นชอบ มีผู้เข้าฟังธรรมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เรียกว่าเป็นการปฏิวัติการเทศน์ในสมัยนั้นได้เลยทีเดียว ทำให้ท่านได้รับหน้าที่ในการเทศน์ทุกวันพระในช่วงนอกพรรษา ในขณะเดียวกัน ท่านก็ได้ศึกษานักธรรม และสอบได้นักธรรมตรีในพรรษานี้เอง ได้นักธรรมโทในพรรษาที่ ๒ และได้นักธรรมเอกในพรรษาถัดไป
ช่วงต้นปี ๒๔๗๑ น้องชายของบิดาท่านพุทธทาส ผลักดันให้ท่านไปศึกษาความรู้ต่อที่กรุงเทพ ในความที่กรุงเทพฯเป็นศูนย์กลางความเจริญในทุกด้าน ท่านพุทธทาสขณะนั้น ก็ได้วาดภาพในความคิดว่า กรุงเทพฯ เป็นเมืองหลวงด้านพุทธศาสนา เป็นแหล่งความรู้ด้านปริยัติ มีพระที่ได้เปรียญ ๙ ประโยคอยู่มากมาย พระในกรุงเทพฯก็น่าจะปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรงตามธรรมวินัย ถึงขนาดคิดว่าคงมีพระอรหันต์อยู่เต็มกรุงเทพฯ ท่านจึงเดินทางมาศึกษาธรรมต่อที่วัดปทุมคงคาราชวรวิหาร แต่สิ่งที่ท่านได้พบเห็นจริงกลับไม่เป็นตามที่คาดคิดไว้อย่างลิบลับ ศีลวัตรของพระเณรในเมืองหลวง ช่างออกนอกลู่นอกทาง พระเณรไม่ค่อยมีวินัย แม้แต่เรื่องเงินทองและผู้หญิง ทำให้ท่านพุทธทาสผิดหวังอย่างมาก เมื่อพบเห็นพระทำผิดพระวินัยจนเป็นปกติอยู่เนืองๆ ทำให้ท่านเองก็ต้องจำใจทำผิดพระวินัยไปด้วย ก็เกิดเป็นความเอือมระอาในสมณเพศ ถึงขั้นคิดจะลาสิกขา
ท่านพุทธทาสพำนักในกรุงเทพได้เพียง ๒ เดือน ก็เดินทางกลับพุมเรียงเพื่อลาสิกขา แต่พอดีขณะนั้นเป็นช่วงใกล้เข้าพรรษา มีผู้ทักท้วงว่าไม่เหมาะที่จะลาสิกขา ท่านจึงตัดสินใจครองสมณเพศอีกพรรษา ค่อยลาสิกขาเมื่อออกพรรษาแล้ว
เมื่อออกพรรษา นายหง้วน เศรษฐภักดี ญาติของท่านพุทธทาส ซึ่งเป็นผู้บริจาคสร้างโรงเรียนนักธรรมที่วัดบรมธาตุไชยาราชวรวิหาร รวมทั้งพระครูโสภณเจตสิการาม รองเจ้าอาวาส ได้ร่วมกันชักชวนท่านพุทธทาสมาเป็นอาจารย์สอนนักธรรมที่โรงเรียนนักธรรมนี้ ท่านจึงเลื่อนการลาสิกขาไว้ก่อน เทคนิคการสอนของท่านพุทธทาสที่เข้าใจง่าย ชวนติดตาม ทำให้นักเรียนของท่าน สอบติดหมดเกือบยกชั้น (หลักฐานมีว่าตกไปเพียงองค์หนึ่ง เพราะใบตอบหาย)
น้องชายของท่านพุทธทาส (นายยี่เกย พานิช) หรือท่านธรรมทาส ผู้ไฝ่ศึกษาธรรมะ ตั้งแต่สมัยที่เป็นนักศึกษาเตรียมแพทย์ที่จุฬาฯ ได้ค้นคว้าหาหนังสือทางพุทธศาสนาอ่านอยู่เสมอ จนกลับมาบ้านในปี ๒๔๗๐ ได้รวบรวมหนังสือมาไว้ให้คนในระแวกนั้นได้ศึกษากัน ได้รวบรวมญาติมิตรจัดตั้งเป็นคณะในปี ๒๔๗๒ ซึ่งกลายเป็นกำลังสำคัญในการตั้งวัดสวนโมกข์และคณะธรรมทาน ในเวลาต่อมา
หลังจากท่านพุทธทาสหมดหน้าที่สอนนักธรรมแล้ว น้องชายของบิดาท่าน รบเร้าให้ท่านเข้ากรุงเทพฯอีกครั้ง ด้วยหวังให้ท่านนำพัดยศมหาเปรียญมาเป็นเกียรติยศแก่วงศ์ตระกูล ท่านจึงจำต้องเดินทางเข้ากรุงเทพฯอีกครั้ง ในปี ๒๔๗๓ โดยมุ่งเพียงให้ได้พัดยศเท่านั้น และท่านก็สอบได้เปรียญธรรม ๓ ประโยค เป็นพระมหาเงื่อม อินฺทปญฺโญ ในปีแรกนั้นเอง ในช่วงเดียวกัน ท่านพุทธทาสมีงานเขียนเป็นบทความสั้นครั้งแรก เรื่อง ประโยชน์แห่งทาน และมีบทความขนาดยาว เรื่อง พระพุทธศาสนาสำหรับปุถุชน
ผลงานของท่านพุทธทาส มีมากมายเกินจะแสดงในที่นี้ โดยมีผลงานหลักที่โดดเด่น ดังนี้
หนังสือพิมพ์ "พุทธสาสนา" ราย ๓ เดือน เป็นหนังสือพิมพ์ทางพุทธศาสนาฉบับแรกของไทย ตีพิมพ์ครั้งแรกเดือน พฤษภาคม ๒๔๗๖
หนังสือชุด "ธรรมโฆษณ์" รวบรวมปาฐกถาธรรมที่ท่านแสดงไว้ (แยกเป็น ๕ หมวด คือ หมวด "จากพระโอษฐ์" "ปกรณ์พิเศษ" "ธรรมเทศนา" "ชุมนุมธรรมบรรยาย" และ "ปกิณกะ")
หนังสือที่โดดเด่น เช่น คู่มือมนุษย์ ตามรอยพระอรหันต์ แก่นพุทธศาสน์ ตัวกูของกู ธรรมะ๙ตา ฯลฯ
ยูเนสโก ยกให้ท่านพุทธทาสเป็นบุคคลสำคัญในโลก ๑ ใน ๖๓ คน เมื่อ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๔๘
สมณศักดิ์ที่ท่านได้รับ มีดังนี้
พระครูอินทปัญญาจารย์ ปี พ.ศ.๒๔๘๙
พระราชาคณะชั้นสามัญ ที่ พระอริยนันทมุนี ปี พ.ศ.๒๔๙๓
พระราชาคณะชั้นราช ที่ พระราชชัยกวี ปี พ.ศ.๒๕๐๐
พระราชาคณะชั้นเทพ ที่ พระเทพวิสุทธิเมธี ปี พ.ศ.๒๕๑๔
พระราชาคณะชั้นธรรม ที่ พระธรรมโกศาจารย์ ปี พ.ศ.๒๕๒๐
อย่างไรก็ตาม ท่านพุทธทาสใช้สมณศักดิ์ก็ต่อเมื่อมีความจำเป็น เช่น ติดต่อทางราชการ เท่านั้น ถ้าเป็นเรื่องปกติแล้ว ทานจะใช้นามว่า "พุทธทาส อินทปัญโญ" เสมอ แสดงให้เห็นถึงความอ่อนน้อมถ่อมตนของท่าน
ท่านพุทธทาสได้ละสังขารอย่างสงบ ณ สวนโมกขพลาราม เมื่อวันที่ ๘ กรกฏาคม ๒๕๓๖ สิริรวมอายุ ๘๗ ปี ๖๗ พรรษา คงเหลือผลงานอันทรงคุณค่ามากมาย เป็นมรดกและเป็นตัวแทนของท่าน ในการสานต่อปณิธานของท่านพุทธทาสสืบต่อไป
🌏 เฟสบุ๊คและเว็บไซต์
➡️ เว็บไซต์ "หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ"
➡️ เฟสบุ๊ค "พุทธทาสภิกขุ"
กลุ่ม "พุทธทาสภิกขุ" มีจำนวน ๖๕๓ เล่ม
(แยกเป็นฉบับภาษาไทย และ ภาษาต่างชาติ)
อีบุ๊คฉบับภาษาไทยของท่าน "พุทธทาสภิกขุ" มีจำนวน ๕๕๗ เล่ม
หนังสือของพุทธทาสภิกขุ ที่แปลเป็นภาษาต่างชาติ (จำนวน 96 เล่ม)
The Liberating Teachings of Buddhadasa on Suchness
(Santidhammo Bhikku)
34 pages