หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ หรือ พระพรหมมังคลาจารย์ (ปั่น ปทุมุตตโร) เป็นที่รู้จักในฐานะพระสงฆ์ผู้ปฏิรูปแนวทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนา โดยเฉพาะในด้านการปาฐกถาธรรม เทศนาธรรม โดยเป็นสหธรรมิกร่วมอุดมการณ์หลักของพระธรรมโกศาจารย์ (เงื่อม อินทฺปัญโญ) หรือ ท่านพุทธทาสภิกขุ
ลพ.ปัญญา นันทภิกขุ เกิดเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๕๔ ณ ต.คูหาสวรรค์ อ.เมือง จ.พัทลุง มีชื่อเดิมว่า ปั่น เสน่ห์เจริญ เมื่ออายุได้ ๑๘ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดอุปนันทนาราม จ.ระนอง โดยมีพระรณังคมุนีเป็นพระอุปัชฌาย์ และเมื่อปีพ.ศ.๒๔๗๔ ท่านอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ จึงอุปสมบทเป็นภิกษุ ที่วัดนางลาด อ.เมือง จ.พัทลุง โดยมีพระจรูฯกรณีย์เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังอุปสมบทได้ไม่นาน ท่านได้เดินทางไปศึกษาหลักธรรมในสถานที่ต่างๆที่มีสำนักเรียนธรรมะ เช่น นครศรีธรรมราช สงชลา และ กรุงเทพฯ จนสอบได้นักธรรมชั้นตรีเป็นที่ ๑ ของสังฆมณฑลภูเก็ต สอบได้นักธรรมชั้นโทและชั้นเอกที่จ.นครศรีธรรมราชในปีต่อมา จากนั้นท่านได้เดินทางไปศึกษาต่อด้านภาษาบาลีที่สำนักเรียนวัดสามพระยา กรุงเทพฯ จนสอบได้เปรียญธรรม ๔ ประโยค แต่ขณะนั้นได้เกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ ท่านจึงต้องหยุดการศึกษาไว้ เดินทางกลับภูมิลำเนาที่พัทลุง ท่านได้เริ่มแสดงธรรมในพื้นที่ต่างๆทางภาคใต้ และเดินทางไปจำพรรษาที่วัดสีตวนารามและวัดปิ่นบังอร ที่รัฐปีนัง ประเทศมาเลเซีย ท่านจึงถือโอกาสศึกษาภาษาอังกฤษและภาษาจีน เพื่อเป็นพื้นฐานในการเผยแผ่ธรรมต่อไป
ในปีพ.ศ.๒๔๗๕ หลวงพ่อได้ร่วมเดินทางไปประเทศพม่า เดินทางไปแสวงบุญยังประเทศอินเดีย และได้เดินทางไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในหลายประเทศ จนได้ชื่อว่าเป็นพระสงฆ์รูปแรกของไทยที่ได้เดินทางไปประกาศธรรมในภาคพื้นยุโรป
ปีพ.ศ.๒๔๗๗ ท่านได้เดินทางไปจำพรรษากับท่านพุทธทาสภิกขุ ที่สวนโมกขพลาราม อ.ไชยา จ.สุราษฏร์ธานี และเป็นสหายธรรมกับท่านพุทธทาสภิกขุตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ปีพ.ศ.๒๔๙๒ หลวงพ่อได้รับอาราธนานิมนต์ไปจำพรรษาที่วัดอุโมงค์ จ.เชียงใหม่ ท่านได้เริ่มแสดงธรรมทุกวันอาทิตย์และวันพระที่พุทธนิคม ในช่วงนี้ท่านได้เริ่มเขียนบทความต่างๆลงในหนังสือ รวมทั้งเขียนหนังสือธรรมะจำนวนหลายเล่ม และได้เดินทางไปประกาศธรรมแก่ชาวบ้านในสถานที่ต่างๆ จนชื่อเสียงของหลวงพ่อเป็นที่รู้จักไปทั่วในจ.เชียงใหม่ ในนาม "ภิกขุปัญญานันทะ" ท่านจึงได้ตั้งมูลนิธิเมตตาศึกษา ที่วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร จ.เชียงใหม่ เพื่อดำเนินกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมมากมาย
ในปีพ.ศ.๒๕๐๒ มล.ชูชาติ กำภู อธิบดีกรมชลประทานสมัยนั้น ประทับใจในการสอนธรรมะแนวใหม่ของหลวงพ่อขณะเดินทางไปเยือนเชียงใหม่ ประกอบกับกรมชลประทานได้สร้างวัดใหม่ขึ้น ชื่อวัดชลประทานรังสฤษฏ์ ที่ต.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี มล.ชูชาติจึงได้อาราธนาหลวงพ่อมาเป็นเจ้าอาวาสในปีพ.ศ. ๒๕๐๓
แนวทางการเผยแผ่ของหลวงพ่อได้ปฏิวัติรูปแบบการเทศนาไปจากรูปแบบเดิมที่นั่งถือใบลานเทศนาบนธรรมาสน์ เป็นการยืนปาฐกถามธรรมต่อสาธารณชน โดยยกตัวอย่างเหตุการณ์ร่วมสมัยมาประกอบการแสดงธรรม ซึ่งเป็นการแสดงธรรมที่เข้าถึงและดึงดูดประชาชนจำนวนมากให้หันเข้าหาธรรมะ ช่วงแรกได้รับการต่อต้านอยู่บ้าง แต่ในที่สุดก็ได้รับการยอมรับจนกลายเป็นรูปแบบการปาฐกถาธรรมโดยทั่วไป
หลวงพ่อได้รับอาราธนาไปแสดงธรรมในต่างประเทศมากมาย เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ฯ และได้รับเชิญร่วมประชุมและกล่าวปราศรัยในการประชุมองค์กรศาสนาของโลกเป็นประจำอีกด้วย
สมณศักดิ์ที่ลพ.ปัญญา นันทภิกขุได้รับ ได้แก่
๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๙๙ เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญเปรียญที่ พระปัญญานันทมุนี
๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๑๔ เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ พระราชนันทมุนี ธรรมาวาทีคณาภรณ์ ยติคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี
๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๐ เป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ พระเทพวิสุทธิเมธี ศรีภาวนาจารย์ สุนทรญาณพิสิฏฐ์ มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี
๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๗ เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ พระธรรมโกศาจารย์ สุนทรญาณดิลก สาธกธรรมภาณ วิสาลธรรมวิภูษิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี
๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๗ สถาปนาสมณศักดิ์ขึ้น เป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรองชั้นหิรัญบัฏ ในราชทินนามที่ พระพรหมมังคลาจารย์ ไพศาลธรรมโกศล วิมลศีลาจารวินิฐ พิพิธธรรมนิเทศ พิเศษวรกิจจานุกิจ มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี
หลวงพ่อปัญญา นันทภิกขุ ถึงแก่มรณภาพ เมื่อเวลา ๙:๐๙ น. ในวันที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๐ ณ โรงพยาบาลศิริราช ด้วยสาเหตุติดเชื้อในกระแสโลหิต สิริรวมอายุได้ ๙๖ ปี ๕ เดือน พรรษา ๗๖ ได้รับพระราชทานโกศแปดเหลี่ยมและรับศพไว้ในพระราชานุเคราะห์จากพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานพระราชทานเพลิงสลายสรีรธาตุ ณ เมรุชั่วคราว วัดชลประทานรังสฤษดิ์ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี
🌏 เฟสบุ๊คและเว็บไซต์
➡️ เว็บไซต์ "หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ"
กลุ่ม "ลพ.ปัญญา นันทภิกขุ" มีจำนวน ๑๔๔ เล่ม