พันเอกปิ่น มุทุกันต์ เกิดเมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๕๙ ณ บ้านคำพระ ต.คำพระ อ.อำนาจเจริญ จ.อุบลราชธานี เป็นบุตรคนที่ ๙ (คนสุดท้อง) ของ นายมหาธิราช (มั่น) กับนางสุดซา ในวัยเด็กเป็นคนมีอัธยาศัยร่าเริง ฉลาด ขยันขันแข็ง มักไม่อยู่เฉยๆ กล้าได้กล้าเสีย เข้าเรียนชั้นประถมุุุุที่โรงเรียนประชาบาลบ้านคำพระเมื่ออายุได้ ๙ ขวบ มีผลการเรียนดีจนเป็นที่ชอบใจของครูอาจารย์ แต่หลังจากจบชั้นประถม ๔ แล้ว ด้วยความที่ทางบ้านมีฐานะยากจน ไม่มีเงินส่งให้เรียนต่อ จึงนำไปฝากเป็นศิษฐ์วัด อยู่กับเจ้าอาวาสที่วัดบ้านคำพระ ต่อมาได้บวชเป็นผ้าขาว (ถือศีล ๘) มีโอกาสออกธุดงค์ตามรับใช้และฝึกปฏิบัติกับพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม (ศิษย์พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต) เด็กชายปิ่นได้มีโอกาสเข้ากราบและเรียนกรรมฐานจากพระอาจารย์มั่น
ปีพ.ศ.๒๔๗๔ บิดาของท่านถึแก่กรรมลง จึงได้กลับมาช่วยงานที่บ้านอยู่ระยะหนึ่ง แต่มารดาอยากให้ท่านบวช จึงพาไปบรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดสุทัศนาราม จ.อุบลราชธานี ในเวลา ๓ ปี ท่านสอบได้นักธรรมชั้นตรี ชั้นโท และชั้นเอก พร้อมกับบาลีไวยากรณ์ ทำให้มารดาของท่านปลาบปลื้มใจมาก สามเณรปิ่นมีความศรัทธาในคำสอนของพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) ได้อ่านหนังสือธรรมเทศนาของท่านเจ้าคุณฯ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนจำได้ขึ้นใจ เมื่อมีโอกาสขึ้นเทศน์ในงานบุญ ท่านจึงแสดงธรรมจนเป็นที่ชื่นชอบของคนฟัง ท่านจึงเป็นสามเณรนักเทศน์ตั้งแต่นั้นมา หลังสอบได้นักธรรมชั้นเอก พระอาจารย์ของท่าน ได้นำท่านไปฝากกับพระมหาเฉย ยโส (ธรรมพันธ์) วัดสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นสำนักเรียนที่มีชื่อเสียงในกรุงเทพฯ
เมื่ออายุได้ ๒๐ ปี ในปีพ.ศ.๒๔๗๙ ท่านจึงอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดสัมพันธวงศ์ โดยมีสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ (ต่อมาได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช) เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า "วิริยากโร" แปลว่า ผู้กระทำความเพียร จากนั้นท่านศึกษาตามลำดับจนสอบได้เปรียญธณรม ๗ ประโยค พระมหาปิ่น วิริยากโร (นามขณะนั้น) ได้รับการฝึกฝนทักษะความสามารถในการเทศน์อย่างดี จนกลายเป็นนักเทศน์บรรยายธรรม เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง ถึงขนาดสมเด็จพระมหาวีระวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) กล่าวเปรียบท่านว่า "เหมือนดั่งเพชรประดับหัวแหวน ที่จะนำไปประดับที่ไหนก็มีแต่จะเปล่งประกาย สร้างมูลค่าให้แก่แหวนวงนั้น"
แต่แล้วก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้ท่านต้องลาสิกขา เมื่อวันที่ ๓๐ กรกฏาคม พ.ศ.๒๔๘๗ หลังลาสิกขา ท่านได้สอบบรรจุเป็นอนุศาสนาจารย์ทหารบก เมื่อวันที่ ๓ เมษายน พ.ศ.๒๔๘๘ โดยสอบได้เป็นอันดับที่ ๑ งานอนุศาสนาจารย์นั้นเป็นที่ถูกจริตกับท่านมาก เพราะทำให้ท่านมีโอกาสบรรยายธรรมแก่ทหารหน่วยต่างๆ บรรยายธรรมแก่ผู้ต้องขังในเรือนจำ และได้รับเชิญไปบรรยายธรรม ปาฐกถาธรรมในสถานที่ต่างๆทั่วประเทศ
ในปีพ.ศ.๒๔๙๗ ท่านเริ่มจัดรายการธรรมะเผยแผ่ทั้งทางวิทยุและโทรทัศน์ เช่น รายการแก้ปัญหาทางธรรมและปัญหาชีวิต รายการมุมสว่าง รายการนาทีทอง ฯลฯ ซึ่งท่านได้แสดงลีลาความสามารถในการบรรายธรรม เป็นที่ถูกใจผู้คนอย่างมาก มีพระสงฆ์และฆราวาสคอยติดตามผลงานของท่านเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าท่านจะไปบรรยายหรือปาฐกถาที่ไหน ส่วนมากที่นั่งมักจะไม่พอ ต้องยืนเบียดเสียดกันจนล้นสถานที่
ต่อมามีหนังสือเรื่อง ปุจฉาวิสัชนา ๑๙๕๘ ซึ่งเขียนโดยนักบวชต่างศาสนา มีเนื้อหาจาบจ้วงและโจมตีพระพุทธศาสนาอย่างร้ายแรงในหลายประเด็น ในวันที่ ๑๙ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๐๒ ท่านได้ขึ้นปาฐกถาพิเศษ ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อชี้แจงข้อกล่าวหาร้ายแรงในหนังสือ และทำความเข้าใจอันถูกต้องต่อพระพุทธศาสนา นับเป็นการปกป้องพระพุทธศาสนาแบบบัวไม่ช้ำ น้ำไม่ขุ่น ต่อมาได้บันทึกบทปาฐกถานั้นไว้ในหนังสือชื่อ ตอบบาดหลวง
ในปีพ.ศ.๒๕๐๓ ท่านได้เดินทางไปดูงานด้านศาสนาในประเทศอินเดียและปากีสถาน โดยท่านได้ประสานความเข้าใจอันดีระหว่างศาสนิกชนของศาสนาต่างๆ ท่านได้มีโอกาสเข้าเฝ้าองค์ดาไลลามะ พระประมุขแห่งธิเบตถึงที่ประทับส่วนพระองค์
ท่านได้ริเริ่มและทำโครงการด้านพุทธศาสนาต่างๆมากมาย เช่น โครงการศาสนสถานประจำหน่วยทหาร จัดตั้งโรงเรียนการศาสนาและศีลธรรมทหารบก ต่อมากระทรวงกลาโหมได้โอนท่านไปรับราชการในตำแหน่งรักษาการรองอธิบดีกรมการศาสนา และเมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๐๖ ท่านได้เลื่อนตำแหน่งเป็นรองอธิปดีกรมการศาสนา การเข้ามารับตำแหน่งนี้ พ.อ.ปิ่น มีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะสร้างความเจริญแก่พระพุทธศาสนา ได้เสนอแผนงานและโครงการมากมาย เช่น โครงการพระธรรมทูต โครงการพัฒนาวัดทั่วประเทศ จัดตั้งหน่วยนพกะ (สงเคราะห์พุทธมามกะผู้เยาว์) จัดพิมพ์พระไตรปิฎกฉบับรัชดาภิเษก สร้างวัดพุทธประทีป ฯลฯ
ช่วงปลายปี พ.ศ.๒๕๑๓ แม้ท่านเข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัดแล้ว แต่ร่างกายของท่านกลับซูบซีดไร้เรี่ยวแรง ท่านพิจารณว่าคงทำหน้าที่ให้ราชการได้ไม่เต็มที่ จึงยื่นหนังสือลาออกจากราชการเมื่อวันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๔ แต่นายสุกิจ นิมมานเหมินท์ รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการขณะนั้น ยับยั้งการลาออก เนื่องจากเสียดายความสามารถของท่าน โดยให้ท่านลาป่วยแทนการลาออก แต่ในปีถัดมา ท่านเห็นว่าไม่อาจฝืนต่อไปได้ จึงขอลาออกจากราชการอีกครั้งเมื่อ ๑๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๑๕ และเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า ในขณะที่ท่านป่วย ท่านได้อาศัยหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาเป็นที่พี่ง และรับมือกับทุกขเวทนาได้เป็นอย่างดี แม้ร่างกายจะผ่านผอมทรุดโทรมลงโดยลำดับ ท่านก็ไม่ได้แสดงอาการทรมานให้ปรากฏแต่อย่างใด จนกระทั่งเมื่อวันที่ ๔ เมษายน พ.ศ.๒๕๑๕ ท่านก็ถึงอนิจกรรมด้วยอาการอันสงบ สิริรวมอายุ ๕๕ ปี
กลุ่ม "พ.อ.ปิ่น มุทุกันต์" มีจำนวน ๙๓ ฉบับ