ดร.พญ.อมรา มลิลา เกิดเมื่อวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๗๘ (เทียบปีสากลตรงกับพ.ศ.๒๔๗๙) ที่รพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กรุงเทพฯ บ้านหลังแรกของท่านอยู่ที่รองเมืองซอย ๒ บริเวณด้านหลังจุฬาลงกรณ์ ต่อมาช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ จึงอพยพย้ายไปอยู่แถวทุ่งมหาเมฆ ซึ่งในสมัยนั้น มีทุ่งนา มีคลอง ยังเป็นชนบทอยู่ ต่อมาท่านเข้าเรียนที่โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย ตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนกระทั่งจบชั้นมัธยม ๖ (พ.ศ.๒๔๘๑-๒๔๙๔) ในสมัยนั้นยังมีชั้นมัธยม ๗-๘ ก่อนถึงระดับมหาวิทยาลัย โรงเรียนมาแตร์เดอีในขณะนั้นไม่มีเตรียมวิทยาศาสตร์ เพราะถือว่าเป็นโรงเรียนกุลสตรี จึงถือว่าต้องเรียนแต่อักษรศาสตร์ แต่ท่านและเพื่อนกลุ่มหนึ่งอยากเป็นแพทย์ จึงตัดสินใจลาออกเพื่อสอบเข้าศึกษาต่อชั้นมัธยม ๗-๘ ที่โรงเรียนเตรียมอุดม พญาไท จนจบการศึกษาในปีพ.ศ.๒๔๙๖ และเข้าศึกษาคณะเแพทย์ศาสตร์ศิริราช มหาวิทยาลัยมหิดล จนจบการศึกษาในปีพ.ศ.๒๕๐๒ และเข้ารับราชการที่กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขในปีพ.ศ.๒๕๐๓ และในปีพ.ศ.๒๕๐๖ ท่านได้เดินทางไปศึกษาต่อที่รัฐฟิลาเดลเฟีย ประเทศสหรัฐอเมริกา จนสำเร็จปริญญาเอกด้านสรีรวิทยาจากมหาวิทยาลัยการแพทย์แห่งเพนซิลวาเนียในปีพ.ศ.๒๕๑๒
ความสนใจในพระพุทธศาสนาของท่าน เริ่มขึ้นตั้งแต่ตอนยังเรียนอยู่ต่างประเทศ เมื่อครูใหญ่โรงเรียนมัธยมปลายแห่งหนึ่งในฟิลาเดลเฟีย อยากให้โรงเรียนติดอันดับหนึ่งในสิบในการจัดอันดับโรงเรียนดีเด่นของสหรัฐฯ แล้วมีคนแนะนำครูใหญ่ท่านนั้นว่า ต้องหาคนมาฝึกสมาธิให้กับเด็กนักเรียน จะได้มีสมาธิในการเรียน ทำให้เรียนดี ก็จะมีโอกาสติดอันดับมากขึ้น ครูใหญ่ท่านนั้นจึงได้จัดให้นักเรียนเกรด ๙ ๑๐ ๑๑ ๑๒ ได้ทำสมาธิอาทิตย์ละ ๓ ชั่วโมง และมีนักเรียนคนหนึ่งเล่าให้ครูผู้สอนฟังว่า เขาทำสมาธิแล้วจิตรวม แล้วเหาะได้ แต่ทั้งครูผู้สอนและเพื่อนนักเรียนต่างบอกว่าเขาคิดไปเอง และยังบอกว่าเกิดลืมตาตอนเหาะแล้วหลุดจากสมาธิ ตกลงมาพิการจะลำบาก
ครูใหญ่ท่านนั้นมีความเชื่อว่าชาวเอเซียทุกคนที่นับถือศาสนาพุทธ ทำสมาธิเป็นทั้งหมดทุกคน จึงพยายามแสวงหาชาวเอเซียมาเป็นครูผู้สอน และได้ติดต่อดร.อมรา บอกเล่าเรื่องการสอนทำสมาธิของนักเรียน และขอให้ดร.อมรามาเป็นครูสอนสมาธิ ซึ่งดร.อมราได้แจ้งตามตรงว่า ถึงจะเป็นชาวพุทธมาแต่เกิด แต่ก็ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนทำสมาธิ คิดว่าแค่รู้จักและรักษาศีลครบถ้วน ก็ได้ทำหน้าที่ชาวพุทธแล้ว แต่ครูใหญ่ก็ยังเชื่อว่า ที่บอกว่าไม่รู้เรื่องสมาธิ ยังไงชาวเอเซียที่นับถือพุทธศาสนาก็ต้องรู้ จึงได้โน้มน้าว ชักชวน จนในที่สุดก็บอกให้ดร.อมรามาเล่าประวัติพระพุทธเจ้าให้นักเรียนฟัง ก็น่าจะเป็นประโยชน์บ้าง ดร.อมราจึงรับสอนประวัติพระพุทธเจ้า แต่ครูสอนท่านอื่นได้บอกนักเรียนไว้ว่า จะมีผู้เชี่ยวชาญจากเอเซียมาทำการสอน ถ้ามีอะไรที่ยังสงสัยหรือข้องใจ ให้สอบถามกับครูสอนเอเซียท่านนี้
หลังจากดร.อมราสอนประวัติพระพุทธเจ้าไปได้สัก ๒๐ นาที นักเรียนเริ่มยุกยิก ขอถามคำถาม แล้วถามเรื่องทำสมาธิแล้วจิตรวม และเหาะได้ แต่ครูผู้สอนไม่เชื่อแถมยังขู่ว่าระวังตกลงมาพิการ จึงอยากถามเพื่อให้ดร.อมรายืนยันว่า เหาะได้จริงๆ หรือ เขาคิดไปเอง ในตอนนั้นดร.อมรายังทำสมาธิไม่เป็น ประจวบเหมาะกับมีคนมาตามครูใหญ่ออกจากห้องสอนไปทำธุระด่วน ดร.อมราจึงเลี่ยงตอบคำถามโดยบอกนักเรียนว่า ได้รับมอบหมายจากครูใหญ่ให้มาสอนประวัติพระพุทธเจ้า ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ตอบคำถาม ขอให้รอครูใหญ่กลับเข้ามาแล้วขออนุญาตก่อนจึงจะตอบคำถามได้ จะได้ไม่ข้ามหน้าข้ามตาครูใหญ่ จากนั้นจึงสอนประวัติพระพุทธเจ้าต่อไปจนจบคาบการสอน โดยครูใหญ่ไม่ได้กลับเข้าไปในห้องสอน เมื่อดร.อมรากลับถึงห้องพักแล้วรู้สึกห่อเหี่ยวใจว่า ทั้งที่เป็นชาวพุทธมาแต่เกิด คิดว่ารู้พระพุทธศาสนาเป็นอย่างดี ศีลก็มี หน้าที่การงานก็ดี น่าจะเป็นชาวพุทธที่ดีมากแล้ว แต่ปรากฏว่า เด็กนักเรียนฝรั่งกลับได้ฝึกทำสมาธิ สามารถรวมจิต ทำให้จิตมีพลัง เหมือนตนเองเป็นกบเฝ้ากอบัว แต่ฝรั่งเอาน้ำผึ้งไปหมด จากเหตุการณ์นี้ ท่านจึงตั้งใจว่าเมื่อกลับถึงเมืองไทย จะต้องฝึกปฏิบัติให้เป็น
เมื่อจบการศึกษาแล้ว ท่านเดินทางกลับมาประเทศไทยเพื่อเป็นอาจารย์ที่ภาควิชาสรีระวิทยา มหาวิทยาลัยมหิดล ในช่วงปีพ.ศ.๒๕๑๓-๒๕๑๖ จึงได้ลาออกไปเป็นอาจารย์พิเศษนักศึกษาปริญญาโทและปริญญาเอก วิชาสรีรวิทยา ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในช่วงปีพ.ศ.๒๕๑๖-๒๕๑๗
ท่านได้เริ่มเข้าสู่สายพระพุทธศาสนาในราวปีพ.ศ.๒๕๑๘ จากการชักชวนของเพื่อนสมัยเป็นนักเรียนเตรียมแพทย์ ได้ไปฝึกปฏิบัติธรรมกับพอจ.สิงห์ทอง ธัมมวโร วัดป่าแก้ว จ.สกลนคร อยู่ ๓ เดือนเต็ม หลังจากกลับจากการปฏิบัติธรรม ได้พบเพื่อนรุ่นเดียวกับที่เป็นประธานชมรมพุทธที่โรงพยาบาลศิริราช ชักชวนให้บรรยายเรื่องการปฏิบัติ โดยให้บรรยาย ๔ ครั้งติดกัน หลังจากบรรยายจบ มหาวิทยาลัยมหิดล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า ชมรมพุทธของโรงพยาบาลต่างๆ อยากให้ไปบรรยายบ้าง ท่านเริ่มคิดว่าบรรยายมากเกินไปแล้ว แต่พระอาจารย์แนะนำว่า ไม่เป็นไร ให้พูดเท่าที่รู้ ไม่รู้ก็บอกไม่รู้
🌏 เฟสบุ๊คและเว็บไซต์
➡️ เฟสบุ๊ค "พัฒนาจิตกับคุณหมออมรา มลิลา"
กลุ่ม "พญ.อมรา มลิลา" มีจำนวน ๘๘ ฉบับ