สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ ๑๙
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชเจ้า สกลมหาสังฆปรินายก พระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มีพระนามเดิมว่า เจริญ คชวัตร ประสูติเมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๕๖ ที่ต.บ้านใต้ อ.เมือง จ.กาญจนบุรี เป็นบุตรคนโตของพระชนกน้อย คชวัตร และ พระชนนีกิมน้อย คชวัตร พระชนกของพระองค์ป่วยเป้นโรคเนื้องอกและเสียชีวิตไปตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ จากนั้นพระองค์ได้มาอยู่ในความดูแลของนางกิมเฮง ซึ่งเป็นพี่สาวของพระชนนีกิมน้อย จึงได้ตั้งชื่อหลานชายผู้นี้ว่า "เจริญ"
พระองค์ทรงเจ็บป่วยออกแอดอยู่เสมอในขณะที่ยังทรงพระเยาว์ มีคราวหนึ่งทรงป่วยหนักจนญาติๆพากันคิดว่าคงไม่รอดแล้ว จึงได้บนไว้ว่าถ้าหายป่วย จะให้บวช ครั้นเมื่อพระชันษาได้ ๘ ปี ทรงเข้าเรียนที่โรงเรียนประชาบาลวัดเทวสังฆาราม จนจบชั้นประถม ๕ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๖๘ จึงได้ทรงบรรพชาเป็นสามเณรเพื่อแก้บนที่วัดเทวสังฆาราม ในปี พ.ศ.๒๔๖๙ โดยมีพระเทพมงคลรังษี (ดี พุทฺธโชติ) เป็นพระอุปัชฌาย์ ขณะมีพระชันษาได้ ๑๔ ปี หลังจากจำพรรษาที่วัดสังฆารามได้ ๑ พรรษา ได้มาศึกษาพระธรรมวินัยที่วัดเสน่หา จ.นครปฐม จากนั้นเจ้าอาวาสวัดเทวสังฆาราม (พระอุปัชฌาย์) ได้นำพระองค์ขึ้นเฝ้าถวายตัวต่อสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร เพื่อศึกษาพระปริยัติธรรมในสำนักวัดบวรนิเวศวิหาร และได้รับประทานนามฉายาว่า "สุวฑฺฒโน" มีความหมายว่า ผู้เจริญดี
พระเทพมงคลรังษี (ดี พุทฺธโชติ) พระอุปัชฌาย์ชักชวนให้พระองค์เรียนพระปริยัติธรรม และตั้งใจให้พระองค์กลับมาสอนพระปริยัติธรรมที่วัดเทวสังฆาราม โดยจะสร้างโรงเรียนเตรียมไว้ให้ พระองค์จึงได้ไปศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดเสน่หาเมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๐ และเริ่มเรียภาษาบาลีโดยมีพระเปรียญจากวัดมกุฏกษัตริยารามราชวรวิหารเป็นอาจารย์สอน จากนั้นจึงเดินทางมาศึกษาที่วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ จนพระองค์สอบได้นักธรรมชั้นตรีเมื่อปีพ.ศ.๒๔๗๒ และทรงสอบได้นักธรรมชั้นโทและเปรียญธรรม ๓ ประโยค ในปีพ.ศ.๒๔๗๓
พระองค์ทรงตั้งพระทัยอย่างมากในการสอบเปรียญธรรม ๔ ประโยค แต่ผลปรากฏว่าทรงสอบตก ทำให้ทรงท้อแท้ใจ แต่เมื่อทรงคิดทบทวนดูก็ทรงตระหนักว่าที่สอบตกนั้นเกิดจากความประมาท คือ ทรงทำข้อสอบโดยไม่พิจารณาให้รอบคอบ สำคัญผิดว่าตนรู้ดีแล้ว อีกทั้งยังทรงมุ่งอ่านเฉพาะเนื้อหาที่เก็งว่าจะออกเป็นข้อสอบเท่านั้น พระองค์จึงตระหนักว่าเป็นวิธีการเรียนที่ไม่ถูกต้อง เพราะไม่ทำให้เกิดความรู้อย่างแท้จริง จากนั้นพระองค์จึงเปลี่ยนมาใช้วิธีเรียนอย่างสม่ำเสมอและทั่วถึง ไม่มุ่งเน้นเพียงการสอบ จากนั้นพระองค์จึงสอบได้ทั้งนักธรรมชั้นเอก และเปรียญธรรม ๔ ประโยค ในปีพ.ศ.๒๔๗๕
พระองค์กลับไปสอนพระปริยัติธรรมที่โรงเรียนเทวานุกูล วัดเทวสังฆาราม เพื่อสนองพระคุณพระเทพมงคลรังษี (ดี พุทฺธโชติ) เป็นเวลา ๑ พรรษา จนกระทั่งเมื่อปีพ.ศ.๒๔๗๖ พระชันษาครบอุปสมบท ทรงเดินทางกลับไปอุปสมบทที่วัดเทวสังฆาราม ภายหลังจึงเดินทางมาจำพรรษาที่วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ เพื่อทรงศึกษาพระธรรมวินัย และได้ทรงอุปสมบทซ้ำในธรรมยุติกนิกายเมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๗๖ โดยมีสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ ระหว่างศึกษาพระปริยัติที่วัดบวรนิเวศ ก็ยังทรงกลับไปช่วยสอนที่วัดเทวสังฆารามอยู่เสมอ จนกระทั่งทรงสอบได้เปรียญธรรม ๙ ประโยค ในปีพ.ศ. ๒๔๘๔
นอกเหนือจากการเป็นครูสอนพระปริยัติธรรม โดยเป็นผู้อำนวยการศึกษาสำนักเรียนวัดบวรนิเวศแล้ว พระองค์เริ่มทรงงานเกี่ยวกับคณะสงฆ์มากมาย ทรงเป็นสมาชิกสังฆสภา ทรงรับหน้าที่เป็นกรรมการสภาการศึกษาและอาจารย์ของมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยที่จัดตั้งอีกครั้งเมื่อปีพ.ศ.๒๔๘๘ และทรงเป็นเลชานุการในสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ด้วย เมื่อมีพระชันษาได้ ๓๔ ปี ทรงได้รับเลือกจากสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวง์ ให้เป็นพระอภิบาลของพระภิกษุสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรในขณะที่ทรงผนวชเป็นพระภิกษุและเสด็จประทับ ณ วัดบวรนิเวศ ในปีพ.ศ.๒๔๙๙
พระองค์เข้ารับตำแหน่งกรรมการมหาเถรสมาคมในปี พ.ศ.๒๕๐๖ และได้ทรงนิพนธ์ผลงานทางวิชาการ ตำรา และหนังสือทางพุทธศาสนาไว้จำนวนมาก และยังทรงริเริ่มให้มีการแปลตำราทางพุทธศาสนาจากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษอีกจำนวนมาก
ในปีพ.ศ.๒๕๑๕ พระองค์ได้รับพระราชทานสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จพระญาณสังวร ซึ่งเป็นราชทินนามที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยโปรดให้ตั้งขึ้นใหม่สำหรับพระราชทานสถาปนาสมเด็จพระอริยวงษญาณ (สุก ญาณสังวร) เมื่อพ.ศ.๒๓๕๙ ซึ่งเป็นตำแหน่งพิเศษที่โปรดพระราชทานสถาปนาแก่พระเถระผู้ทรงคุณทางวิปัสสนาธุระเท่านั้น
สมเด็จพระญาณสังวร ทรงได้รับคำกราบทูลอาราธนาอย่างเป็นทางการจากต่างประเทศอยู่บ่อยครั้ง เช่น ประเทศจีน ประเทศเนปาล ประเทศญี่ปุ่น ประเทศอินเดีย ฯ ในขณะที่เสด็จต่างประเทศ ก็จะมีพระบัญชาแต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช เช่น มีพระบัญชาแต่งตั้ง สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ฟื้น ชุตินฺธโร) ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราชในระหว่างเสด็จประเทศเนปาล ทรงแต่งตั้งสมเด็จพระพุทธปาพจนบดี (ทองเจือ จินฺตกโร) ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราชในขณะเสด็จปฏิบัติศาสนกิจที่ประเทศญี่ปุ่นและประเทศอินเดีย
ในปีพ.ศ.๒๕๓๑ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวราลงกรณ สมเด็จพระสังฆราชในขณะนั้น ได้สิ้นพระชนม์ ทำให้ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชว่างลง พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรจึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระองค์ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ในราชทินนามเดิม คือ สมเด็จพระญาณสังวร ซึ่งเป็นราชทินนามพิเศษ กล่าวคือ โดยปกติสมเด็จพระสังฆราชที่ไม่ได้เป็นพระบรมวงศานุวงศ์ จะใช้ราชทินนามว่า สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ ครั้งนี้จึงเป็นอีกครั้งที่มีการใช้ราชทินนามสมเด็จพระญาณสังวร เพื่อเป็นการยกย่องพระเกียรติคุณทางวิปัสสนาธุระของพระองค์ให้เป็นที่ประจักษ์
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ประชวรและประทับรักษาพระองค์ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ไม่สะดวกที่จะปฏิบัติศาสนกิจ มหาเถรสมาคม ได้แต่งตั้งสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งมีพระบัญชาว่า "ทราบและเห็นชอบ" เมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม พ.ศ.๒๕๔๗ ต่อมาเมื่อครบระยะที่กำหนด มหาเถระสมาคม จึงได้แต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งประกอบด้วยพระราชาคณะ ๗ รูป จากพระอาราม ๗ วัด เพื่อบริหารกิจการคณะสงฆ์แทนสมเด็จพระญาณสังวร โดยมีสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) ในฐานะมีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ ทำหน้าที่ประธานคณะปฏิบัติหน้าที่
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๒๔ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๖ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เนื่องจากติดเชื้อในกระแสพระโลหิต และได้ประกอบพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพระหว่างวันที่ ๑๕-๑๗ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๘
🌏 เฟสบุ๊คและเว็บไซต์
➡️ เว็บไซต์ "มูลนิธิสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหาร"
➡️ Wikipedia "สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร"
กลุ่ม "สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน)" จำนวน ๑๖๔ ฉบับ
* พระสาสนโสภณ เป็นราชทินนาม ของพระราชาคณะเจ้าคณะรอง ชั้นหิรัญบัฏ หรือรองสมเด็จพระราชาคณะ ฝ่ายธรรมยุติกนิกาย มีความหมายว่า ผู้งามในพระศาสนาหรือผู้ยังพระศาสนาให้งาม สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน) ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์พระสาสนโสภณ เป็นลำดับที่ ๘ ในกรุงรัตนโกสินทร์
กลุ่ม "สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน)" แปลภาษาต่างชาติ จำนวน ๓ ฉบับ
*** คำเตือน ***
หนังสือชื่อ "วิธีสร้างบุญบารมี" ที่ระบุว่าเป็นบทประพันธ์ของสมเด็จพระญาณสังวร และมีปกดังรูป โดยมีบทความในหน้าแรกกล่าวถึงนิยามของคำว่าบุญ อ้างอิงพจนานุกรมพุทธศาสน์ของป.อ.ปยุตโต * เป็นหนังสือที่ไม่ได้ประพันธ์ฺโดยสมเด็จพระญาณสังวร * ไม่ทราบผู้แต่งและเจตนาในการกล้างอ้างพระนาม จึงขอให้หลีกเลี่ยงการอ่านหนังสือดังกล่าว