พอจ.อู โสภณมหาเถระ อัครมหาบัณฑิต หรือ พอจ.มหาสี สยาดอ เกิดเมื่อวันที่ ๒๙ กรกฏาคม พ.ศ.๒๔๔๗ ในครอบครัวคหบดี ชาวชนบท ที่บ้านเขนโข่น ห่างจากด้านตะวันตกของเมืองชเวโบ ออกไปราว ๒ กิโลเมตร เมื่ออายุได้ ๖ ปี ท่านเข้าเรียนในโรงเรียนของวัดประจำหมู่บ้าน จนกระทั่งอายุ ๑๒ ปี บรรพชาเป็นสามเณรได้ฉายาว่า โสภณะ และเมื่ออายุครบ ๒๐ ปี เมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๖๖ จึงอุปสมบทเป็นภิกษุ
ในช่วง ๓ พรรษา ท่านสอบผ่านสนามสอบบาลีศึกษาของทางราชการ ทั้งชั้นต้น กลาง และสูง และสำเร็จการศึกษาชั้นธัมมาจริยะ ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของการศึกษาในคณะสงฆ์พม่า ในพรรษาที่ ๔ ท่านเดินทางไปศึกษาต่อที่นครมัณฑะเลย์ ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญในพุทธศาสนาศึกษาในพม่า ท่านได้รับการสั่งสอนอบรมจากพอจ.ที่มีชื่อเสียงมากมายหลายท่าน ในพรรษาที่ ๕ เดินทางไปยังเมืองระแหม่ง รับหน้าที่สอนพระคัมภีร์บาลี ไตรปิฎกอรรถกถา ที่สำนักวัดไวกาเล ในพรรษาที่ ๘ ท่านออกจาริกพร้อมกับภิกษุอีกรูป ตั้งใจออกแสวงหาวิธีเจริญกรรมฐานที่ถูกต้องและได้ผลที่สุด เมื่อจาริกมาถึงเมืองตะโทง (สะเทิมหรือสุธรรมบุรีในอดีต) ท่านได้ฝากตัวเป็นศิษย์ของ พอจ.อู นารทมหาเถระ (รู้จักกันในชื่อ พอจ.มินกุน เชตวัน สยาดอ) พระกัมมัฏฐานาจารย์ผู้มีชื่อเสียง การฝึกวิปัสสนากรรมฐานของท่านก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้น เมื่อท่านเดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านเกิด ท่านได้สั่งสอนลูกศิษย์ที่เป็นฆราวาส ๓ คน เจริญวิปัสสนาได้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว จนเป็นแรงบันดาลใจให้ชาวบ้านอีก ๕๐ คน ขอเข้าฝึกวิปัสสนากรรมฐานกับท่านด้วย
ท่านถูกเรียกตัวกลับวัดที่เมืองระแหม่ง เนื่องจากเข้าอาวาสชราภาพมากและล้มป่วยหนัก หลังจากกลับมาถึงวัดได้ไม่นาน เจ้าอาวาสก็มรณภาพ และท่านได้รับการร้องขอให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสสืบต่อแทน ในช่วงนั้นเอง ในปีพ.ศ.๒๔๘๔ ท่านได้เข้าสอบวิชาการสอนบาลีศึกษาที่เปิดสอบเป็นครั้งแรกในเมืองนั้น และได้รับการแต่งตั้งเป็นพระสาสนธุระ สรีปวระธัมมจริยา
ช่วงสงครามที่ญี่ปุ่นรุกรานพม่า ทางการได้สั่งอพยพผู้คนที่อยู่ระแวกเมืองระแหม่ง รวมถึงพระภิกษุในวัดตองไวกาเล เพราะอยู่ใกล้สนามบิน เสี่ยงต่อการถูกโจมตีจากเครื่องบินทิ้งระเบิด ท่านจึงใช้โอกาสนี้เดินทางกลับบ้านเกิด จำพรรษาที่วัดมหาสี (วัดกลองใหญ่, มหา=ใหญ่ และ สี=กลอง) ท่านทุ่มเทให้กับการฝึกฝนวิปัสสนากรรมฐานอย่างเต็มที่ และได้สั่งสอนอบรมศิษย์ไปด้วย และจากชื่อวัด ทำให้ชาวบ้านขนานนามท่านว่า พอจ.มหาสี สยาดอ (พอจ.วัดกลองใหญ่) และในช่วงเดียวกันนี้เอง ท่านได้ใช้เวล่ ๗ เดือน แต่งตำราทางพระพุทธศาสนาที่สำคัญขึ้นมาเล่มหนึ่ง เป็นตำราอธิบายสมาธิวิปัสสนากรรมฐาน ชื่อว่า "Manual of Vipassana Meditation" และแต่งภาค ๒ ในเวลาต่อมา เมื่อรวมทั้ง ๒ ภาค จะมีความหนาถึง ๘๕๘ หน้า จากนั้นอีกไม่กี่ปี ชื่อเสียงของพอจ.มหาสี สยาดอ ก็เลื่องลือไปทั่ว ทราบไปถึงเซอร์ อู ตวิน รัฐบุรุษอาวุโสของพม่า จึงได้นิมนต์พอจ.มหาสี สยาดอไปแสดงธรรมที่สมาคมพุทธสาสนะนุคคหะในกรุงย่างกุ้ง และในอีกปีถัดมา ได้บริจาคที่ดิน ๕ เอเคอร์ในนครย่างกุ้ง เพื่อให้จัดสร้างเป็นศูนย์วิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งต่อมาก็คือที่ตั้งของสำนักวิปัสสนาสาสนยิกต้า และอีกไม่กี่ปีหลังจากนั้น ก็มีการก่อตั้งศูนย์วิปัสสนากรรมฐานในลักษณะเดียวกันเพิ่มขึ้นอย่างกว้างขวาง จนมีจำนวนร้อยกว่าแห่ง และเผยแพร่ไปสู่ต่างประเทศที่นับถือพุทธศาสนานิกายเถรวาท รวมถึงประเทศไทยและศรีลังกา
พอจ.มหาสี สยาดอ ได้ทุ่มเทแรงกายและจิตใจเพื่อเผแพร่พุทธศาสนา จนอายุได้ ๗๘ ปี ท่านก็ได้ละสังขารเมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๒๕ ด้วยอาการหัวใจวาย
🌏 เฟสบุ๊คและเว็บไซต์
➡️ เว็บไซต์ ""
กลุ่ม "มหาสี สยาดอ" มีจำนวน ๒๒ ฉบับ