เรื่องที่ 4 แสง
3.7 แสง และคุณสมบัติของแสง
แสงส่วนใหญ่ที่เราได้รับมาจากดวงอาทิตย์ เป็นแหล่ง กําเนิดแสงที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ส่วนแสงจากดวงจันทร์ที่เราเห็นในเวลาค่ำคืน เป็นแสงจากดวงอาทิตย์ตกกระทบผิวดวงจันทร์ แล้ว สะท้อนมายังโลก นอกจากแหล่งกําเนิดแสงในธรรมชาติแล้ว ยังมีแหล่งกําเนิดแสงที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น หลอดไฟ ตะเกียง เทียนไข เป็นต้น แสงมีประโยชน์และเป็นสิ่งจําเป็นต่อสิ่งมีชีวิต
เมื่อจุดเทียนไขในห้องมืด เราจะเห็นเปลวเทียนไขสว่าง เนื่องจากแสงจากเปลวเทียนไขมาเข้า ตา ส่วนสิ่งของอื่น ๆ ในห้องที่เราเห็นได้ เป็นเพราะแสงจากเปลว เทียนไขไปตกกระทบสิ่งของนั้น ๆ แล้วสะท้อนมาเข้าตา แสงที่เคลื่อนที่มาเข้าตาหรือเคลื่อนที่ไปบริเวณใดๆ ก็ตามจะเคลื่อนที่ในแนว เส้นตรง เช่น ถ้าให้แสงผ่านรู บนกระดาษแข็ง 3 แผ่น ถ้าช่องของรูบนกระดาษแข็งไม่อยู่บนแนว เดียวกัน จะมองไม่เห็นเปลวเทียนและหลังจากปรับแนวช่องทั้งสามให้อยู่ในแนวเดียวกันแล้ว สังเกต ได้ว่าถ้าร้อยเชือก และดึงเชือกเป็นเส้นตรงเดียวกันได้ จะมองเห็นเปลวเทียนไข แสดงว่า "แสงเคลื่อนที่ เป็นเส้นตรง"เราสามารถเขียนเส้นตรงแทนลําแสงนี้ได้ และเรียกเส้นตรงนี้ว่า รังสีของแสง การเขียน เส้นตรงแทนรังสีของแสงนี้ ใช้เส้นตรงที่มีหัวลูกศรกํากับเส้นตรงนั้น โดยเส้นตรงแสดงลําแสงเล็กๆ และหัวลูกศรแสดงทิศการเคลื่อนที่ กล่าวคือ หัวลูกศรชี้ไปทางใด แสดงว่าแสงเคลื่อนที่ไปทางนั้น
คุณสมบัติของแสง
คุณสมบัติต่าง ๆ ของแสงแต่ละคุณสมบัตินั้น เราสามารถนําหลักการมาใช้ประโยชน์ได้ หลายอย่าง เช่น คุณสมบัติของการสะท้อนแสงของวัตถุ เรานํามาใช้ในการออกแบบแผ่นสะท้อนแสง ของโคมไฟ การหักเหของแสงนํา มาออกแบบแผ่นปิดหน้าโคมไฟ ซึ่งเป็นกระจก หรือพลาสติก เพื่อบังคับทิศทางของแสงไฟ ที่ออกจากโคมไปในทิศที่ต้องการ การกระจายตัวของลําแสงเมื่อกระทบ ตัวกลางเรานํามาใช้ประโยชน์ เช่นใช้แผ่นพลาสติกใสปิดดวงโคมเพื่อลดความจ้าจากหลอดไฟ ต่าง ๆ การดูดกลืนแสง เรานํามาทํา เตาอบพลังงานแสงอาทิตย์เครื่องต้มพลังงานแสง และการแทรกสอดของ แสง นํามาใช้ประโยชน์ในกล้องถ่ายรูป เครื่องฉายภาพต่าง ๆ จะเห็นว่าคุณสมบัติแสงดังกล่าวก็ได้ นํามาใช้ในชีวิตประจําวันของมนุษย์เราทั้งนั้น
กฎการสะท้อนแสง
1.รังสีตกกระทบ เส้นปกติและรังสีสะท้อนย่อมอยู่บนพื้นระนาบเดียวกัน
2.มุมในการตกกระทบย่อมโตเท่ากับมุมสะท้อน
3.8 เลนส์
การเกิดภาพจากกระจกเงาและเลนส์
กระจกเงาราบ คือ กระจกแบนราบ ซึ่งมีด้านหนึ่งสะท้อนแสง ดังนั้นภาพที่เกิดขึ้น จึงเป็น ภาพเสมือน อยู่หลังกระจก มีระยะภาพเท่ากับระยะวัตถุ และขนาดภาพเท่ากับขนาดวัตถุ ภาพที่ได้จะ กลับด้านกันจากขวาเป็นซ้ายของวัตถุจริง
เลนส์
เลนส์ (lens) คือ วัตถุโปร่งใสที่มีผิวหน้าโค้งทําจากแก้วหรือพลาสติก เลนส์แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ เลนส์นูนและเลนส์เว้า
เลนส์นูน
ลนส์นูน (convex lens) คือ เลนส์ที่มีลักษณะหนาตรงกลางและบางที่ขอบ ดังรูป
เลนส์นูนทําหน้าที่รวมแสงขนานไปตัดกันที่จุด ๆ หนึ่ง ซึ่งแนวหรือทิศทางของแสงที่เข้ามายัง เลนส์สามารถเขียนแทนด้วยรังสีของแสง ถ้าแสงมาจากระยะไกลมากเรียกระยะนี้ว่า " ระยะอนันต์" เช่น แสงจากดวงอาทิตย์หรือดวงดาวต่างๆ แสงจะส่องมาเป็นรังสีขนาน เมื่อรังสีของแสงผ่านเลนส์จะมี การหักเหและไปรวมกันที่จุด ๆ หนึ่งเรียกว่า "จุดโฟกัส (F)" ระยะจากจุดโฟกัสถึงกึ่งกลางเลนส์ เรียกว่า "ความยาวโฟกัส (f)" และเส้นตรงที่ลากผ่านจุดศูนย์กลางความโค้งของผิวทั้งสองของเลนส์เรียกว่า " แกนมุขสําคัญ (principal axis)"
เลนส์เว้า
เลนส์เว้า (concave lens) คือ เลนส์ที่มีลักษณะบางตรงกลางและหนาที่ขอบ ดังรูป
3.9 ประโยชน์ และโทษของแสง
ประโยชน์ของแสง
แสงเป็นพลังงานรูปหนึ่งซึ่งไม่ต้องการที่อยู่ ไม่มีน้ำหนัก แต่สามารถทํางานได้ ในแสงอาทิตย์ มีคลื่นรังสีหลายชนิดตามที่ได้กล่าวมาแล้วในตอนต้น ประโยชน์ที่เราได้รับจากแสงอาทิตย์ มีอยู่ 2 ส่วน คือ ความร้อน และแสงสว่าง ในชีวิตประจําวัน เราได้รับประโยชน์จากความร้อน และ แสงสว่างของดวงอาทิตย์ตลอดเวลา แสงอาทิตย์ทําให้โลกสว่าง เราสามารถทํากิจกรรมต่างๆ ได้อย่าง สะดวก อาชีพหลายอาชีพต้องใช้ความร้อนของแสงอาทิตย์โดยตรง แม้ตอนที่ดวงอาทิตย์ตกดิน เราก็ยัง ได้รับความอบอุ่นจากแสงอาทิตย์ที่พื้นโลกดูดซับไว้ ทําให้เราไม่หนาวตาย ประโยชน์ของแสงสามารถ แบ่งได้เป็น 2 ทาง คือ ประโยชน์ทางตรง และประโยชน์ทางอ้อม
1.ประโยชน์จากแสงทางตรง เช่น การทํานาเกลือ การทําอาหารตากแห้ง การตากผ้า การฆ่าเชื้อโรคในน้ำดื่ม ต้องอาศัยความร้อนจากแสงอาทิตย์ การแสดงหนังตะลุง และ ภาพยนตร์ ต้องใช้แสงเพื่อทําให้เกิดเงาบนจอ การมองเห็นก็ถือเป็น การใช้ประโยชน์จากแสง ทางตรง
2.ประโยชน์จากแสงทางอ้อม เช่น ทําให้เกิดวัฏจักรของน้ำ (การเกิดฝน) พืชและสัตว์ที่เรารับประทาน ก็ได้รับการถ่ายทอดพลังงานมาจากแสงอาทิตย์
โทษของ แสง
1.ถ้าเรามองดูแสงที่มีความเข้มมากเกินไปอาจเกิดอันตรายกับดวงตาได้
2.เมื่อแสงที่มีความเข้มสูง โดนผิวหนังเป็นเวลานาน ๆ จะทําให้ผิวหนังไหม้และอาจเป็น มะเร็งผิวหนังได้
3.เมื่อแสงจากดวงอาทิตย์ส่องลงมาบนโลกมากเกินไป ทําให้เกิดภาวะโลกร้อน และเป็น อันตรายแก่สิ่งมีชีวิตได้