จาก NEXTEMPIRE by Pae,Feb 19, 2018 11:30 AM
writer of Thought Leader
HIGHLIGHTS
เราเชื่อว่าทุกคนต้องรู้จัก Bill Gates (บิล เกตส์) "มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก" และ "ผู้ก่อตั้งบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft" และที่สำคัญเกตส์ครองแชมป์คนรวยที่สุดในโลก 4 ปีซ้อน! จากการจัดอันดับของ Forbes Billionaires
นี่คือสุดยอดสถิติของเกตส์ที่เปลี่ยนโลกได้เลยทีเดียว ถ้าให้ยกผลงานทุกอย่างมาหมดก็คงยาวเหยียดหลายหน้ากระดาษ...
อะไรทำให้เค้าประสบความสำเร็จขนาดนี้ เราจะพาทุกคนไปทัวร์เส้นทางการเดินทางของ "มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก" กัน
l จุดเริ่มต้นแห่งความมั่งคั่งของเกตส์คือ "ความมุ่งมั่น" ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ฉายาประจำตัวของเขาคือ "เนิร์ดอัจฉริยะ" เพราะเขารู้ตัวว่าชอบคอมพิวเตอร์ตั้งแต่เด็ก เมื่ออายุ 13 ปี เกตส์ได้พบเพื่อนสนิทที่ดีที่สุดคนหนึ่งในชีวิตคือ "พอล อัลเลน" (ปัจจุบันเป็นเศรษฐีอันดับที่ 42 ของ Forbes 2017 Billionaires)
l พวกเขาเซียนคอมพิวเตอร์ถึงขั้นที่ว่า ใช้เทเลไทป์ของโรงเรียนเพื่อแก้ตารางเรียนของนักเรียนหญิงหน้าตาดีให้มาเข้าเรียนตรงกัน
Bill Gates (ขวา) Paul Allen (ซ้าย)
เกตส์และอัลเลนพากันหมกมุ่นอยู่กับคอมพิวเตอร์ทั้งวัน เพื่อศึกษามันอย่างลึกซึ้ง จนเข้ามหาวิทยาลัย พวกเขาแยกกัน แต่ก็ต่างคลั่งไคล้ในคอมพิวเตอร์อยู่
เกตส์ถือคติ "โดดเรียนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้" เพื่อทุ่มเทเวลาให้กับคอมพิวเตอร์ (ตรงนี้อาจไม่ควรเอาแบบอย่าง)
เมื่อปี 1974 ก่อนจะก่อตั้งไมโครซอฟท์ เกตส์และอัลเลนเคยร่วมกันทำบริษัทชื่อ "Traf-O-Data"
เป็นแพลตฟอร์มการเก็บข้อมูลบนถนนและวิเคราะห์ให้กับวิศวกรการจราจร แต่ก็เจ๊งไม่เป็นท่า ขาดทุนถึง 3,494 ดอลล่าร์ (ประมาณ 1 แสนบาทไทย)
แม้เขาจะเรียนด้านกฎหมายที่ Harvard แต่ก็ยังลงเรียนคณิตศาสตร์ และการเขียนโปรแกรม ในที่สุด ปี 1975 เกตส์และอัลเลนก็ได้ก่อตั้ง "Microsoft" หลังจากนั้นไม่นานเกตส์ก็ตัดสินใจลาออกจากการเป็นนักศึกษาที่ฮาร์วาร์ดด้วยอายุเพียง 19 ปี
l เขาละทิ้งการศึกษาเพื่อมาทุ่มเทกับการสร้าง "ซอฟท์แวร์" สิ่งที่เขาสนใจ
แต่ต้องบอกว่า ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ไม่ทิ้งการเรียน กลับไปเรียนจนจบปริญญาเอกด้านกฎหมายที่ Harvard
เมื่ออายุ 51 ปี!
แล้วคุณรู้มั้ยว่า ตอนเปิดบริษัทใหม่ ๆ ช่วงปี 1976 เกตส์ได้ชวนเพื่อนร่วมชั้นสมัยเรียนเนี่ยแหละมาเป็นพนักงาน โดยเริ่มต้นด้วยพนักงานเพียง 6 คน (รวมเกตส์กับอัลเลนด้วยนะ)
ในเวลาต่อมาไมโครซอฟท์ได้จับมือกับ IBM ร่วมกันพัฒนาระบบ MS-DOS ขึ้นมา ซึ่ง "ขายดี" เป็นพลุแตก และในปี 1984 ก็เริ่มมีความขัดแย้งกัน...
ซึ่งเรื่องมีอยู่ว่า เมื่อ IBM ต้องการให้ไมโครซอฟท์พัฒนาระบบปฏิบัติการที่ชื่อ OS/2 ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า IBM จะเข้ามาควบคุมมาตรฐานในการพัฒนาระบบทั้งหมด ซึ่งเกตส์ไม่พอใจในจุดนี้ จนปี 1992 ก็เลิกเป็นพาร์ทเนอร์กันในที่สุด
l รู้มั้ยว่า Microsoft Excel เป็นตัวเริ่มต้นของโปรแกรม Microsoft Office
เกตส์ได้พัฒนาระบบปฏิบัติการ "Windows" จาก MS-DOS ภายใต้แนวคิด Graphic User Interface แล้วเขา "ประสบความสำเร็จ" อย่างมาก
หลังจากนั้นเขาก็ออกซอฟท์แวร์ตัวอื่น ๆ อีกมากมาย ที่ไม่เอ่ยชื่อไม่ได้เลย คือ "Microsoft Office" ด้วยวัตถุประสงค์ที่เกตส์อยากจะตีตลาดซอฟท์แวร์ฝั่ง Spreadsheet ที่ผู้นำในตอนนั้นคือ "โลตัส 1-2-3" ซึ่งจุดอ่อนของซอฟท์แวร์ของโลตัสคือ รูปแบบโปรแกรมเป็นแบบเดิม ๆ ในขณะที่เทคโนโลยีเปลี่ยนไป เกตส์จึงมองเห็นช่องว่างตรงนี้ ตีตลาดด้วย Excel ที่ใช้ Graphic User Interface และในตอนนั้นไมโครซอฟท์สามารถวางตลาดทั้งวินโดวส์และ Excel ได้พร้อม ๆ กัน การใช้งานเอกสารที่ไหลลื่นบน Windows ทำให้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก
หลังจากประสบความสำเร็จครั้งใหญ่ในตอนนั้น เกตส์ก็ได้พัฒนาโปรแกรมเพื่อการใช้งานในออฟฟิศขึ้นมาเป็น Microsoft Office ยังไม่หมดแค่นั้น ยังมีซอฟท์แวร์ระดับตำนานอื่น ๆ ตามมากอีกมากมาย เช่น Media Player, MSN, IE ฯลฯ
l ความอัจฉริยะอีกอย่างของเกตส์คือ "รู้ว่าผู้ใช้งานต้องการอะไร"
และที่สำคัญ เกตส์ใส่ใจใน Feedback ของผู้ใช้งานเสมอ เมื่อตอนที่ไมโครซอฟท์พัฒนาระบบปฏิบัติการไปจนถึง Windows 8 ตอนนั้นปุ่ม "Start" อันคุ้นเคยหายไป เลยเกิดปรากฎการณ์ผู้ใช้ไม่ค่อยพึงพอใจ จึงได้มี Windows 8.1 ที่เอาปุ่ม Start กลับมา
เมื่ออายุ 52 ปี เกตส์ก็ได้ออกจากตำแหน่งประธานบริษัทไมโครซอฟทอย่างเป็นทางการ แล้วเขาก็ได้ผันตัวไปเป็นนักบุญอย่างเต็มรูปแบบ ก่อตั้งมูลนิธิกับภรรยาเพื่อช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสทั่วโลกในชื่อ "Bill & Melinda Gates Foundation" ซึ่งดูแลตั้งแต่เรื่องการเงิน สุขภาพ การศึกษา ตามตำราที่ว่า "ความสุขที่สุดของมนุษย์คือการเป็นผู้ให้"
ทำดีกับพวกเนิร์ดไว้ วันหนึ่งคุณอาจจะต้องทำงานให้กับพวกเขา
"Be nice to nerds, chances are you'll end up working for one" - Bill Gates
-----------
มันโอเคนะที่จะยินดีกับความสำเร็จ แต่ที่สำคัญกว่าคือการใส่ใจกับบทเรียนแห่งความผิดพลาด
"It's fine to celebrate success but it's more important to heed the lessons of failure" - Bill Gates
----------
ชีวิตมันคือความไม่แฟร์ ชินกับมันซะ
"Life is not fair, get used to it." - Bill Gates
----------
เราต่างต้องการคนที่จะบอกฟีดแบค นั่นคือวิธีการที่เราจะพัฒนาขึ้น
"We all need people who will give us feedback. That's how we improve." - Bill Gates
----------
มันไม่ใช่ความผิดของคุณที่เกิดมาฐานะไม่ดี แต่ถ้าคุณตายแบบฐานะไม่ดีนั่นแหละมันคือความผิด
"If you born poor it's not your mistake, but if you die poor it's your mistake." - Bill Gates
----------
ฉันสอบตกบางวิชา ในขณะที่เพื่อนสอบถาม แต่ตอนนี้เพื่อนคนนั้นมาเป็นวิศวะกรให้บริษัทไมโครซอฟท์ของฉัน
"I failed in some subjects in exam, but my friend passed in all. Now he is an engineer in Microsoft and I am the owner of Microsoft." - Bill Gates
----------
เชื่อเถอะว่าที่ Bill Gates มีทุกวันนี้ได้ ไม่ใช่เพราะพื้นฐานทางบ้าน
แต่เป็นเพราะ "ความพยายาม" ที่ Bill Gates เทให้กับคอมพิวเตอร์หมดใจ
ผลของความสำเร็จที่สวยหรู อาจไม่ได้ปูด้วยกลีบกุหลาบ และไม่ใช่แค่เกตส์เท่านั้น ยังมีมหาเศรษฐีระดับโลกอีกหลายคนที่คุณอาจจะไม่เคยรู้เรื่องราวชีวิตของเค้ามาก่อน เรายังมีมหาเศรษฐีอันดับ 2-6 จากการจัดอันดับของนิตยสาร Forbes ให้ได้อ่านกันอีก ติดตามได้เลย
Sources
https://www.shopify.com/content/bill-gates-biggest-7-failures