Ran Pravithana 26/12/16
อ่านหัวเรื่องไม่ผิดหรอกครับ นี่เป็นบทความด้านเศรษฐศาสตร์จริงๆ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างแรงงานมนุษย์และจักรกลในทศวรรษที่กำลังจะมาถึง มีแนวโน้มว่าจะสร้างปัญหาที่ยิ่งใหญ่ให้กับระบบเศรษฐกิจโลกเลยทีเดียว เมื่อระบบอัตโนมัติอย่างหุ่นยนต์ และเทคโนโลยีที่ก้าวกระโดดอย่างบล็อกเชน และปัญญาประดิษฐ์ จะทำให้กำลังแรงงานของมนุษย์กลายเป็น ‘ส่วนเกิน’ ของระบบเศรษฐกิจไป
อะไรจะเกิดขึ้นบ้างในโลกแห่งอนาคตที่ภาคการผลิตและบริการสามารถขับเคลื่อนโดยไม่จำเป็นต้องมีมนุษย์ก็ได้..?
ความเห็นส่วนตัวของผม เทคโนโลยีที่กำลังก้าวกระโดดนี้ จะไม่ได้กลับมาทำลายมนุษย์แบบ Skynet ในหนัง Terminator หรือ Machine ในหนัง The Matrix หรอกครับ แต่มันจะทำลายโครงสร้างเศรษฐกิจดั้งเดิมที่เรามีจนทำให้ระบบเศรษฐกิจในอนาคตแตกต่างจากระบบที่เราคุ้นเคยกันแบบหน้ามือเป็นหลังเท้าเลยทีเดียว
เรามาดูแนวโน้มกันว่า ปฏิกริยาลูกโซ่ของการปฏิวัติเทคโนโลยีจะส่งผลอย่างไรกับระบบเศรษฐกิจโลกในทศวรรษหลังจากนี้บ้าง
อันนี้ชัดเจนครับ ว่าเด็ก generation ถัดไปจะต้องประสบปัญหากับการหางาน เนื่องจากในช่วงที่พวกเค้าโตขึ้นเป็นวัยแรงงานเต็มขั้นนั้น จะเหลืองานจำนวนไม่มากนักที่พวกเขาจะสามารถทำได้
Industrial Robot กำลังจะทำงานแทนมนุษย์หนุ่มสาวโรงงานทั้งหลาย แนวโน้มนี้เริ่มแล้ว ตัวอย่างคือประเทศเกาหลีมีสัดส่วนหุ่นยนต์ 4.78 ตัวต่อแรงงานมนุษย์ 100 คนแล้ว และตัวเลขนี้น่าจะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ตามพัฒนาการของหุ่นยนต์ และต้นทุนที่ลดต่ำลง (และอย่าลืมว่าหุ่นยนต์ 1 ตัวนั้นอาจจะแทนมนุษย์ได้นับ 100 คนก็ได้นะครับดังนั้นทุกๆ 1 หน่วยที่เพิ่มของหุ่นยนต์ จะทำให้แรงงานมนุษย์ลดลงมากกว่า 1 หน่วย)
ภาพที่ 1 สัดส่วนแรงงานหุ่นยนต์เทียบกับแรงงานมนุษย์ในปี 2015
รถยนต์อัตโนมัติทำให้คนขับรถแทกซี่ และรถขนส่งตกงาน ในปีหน้ารถสาธารณะไร้คนขับจะเริ่มให้บริการในประเทศหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ญี่ปุ่น, แถม Drone อาจจะมาแทนบุรุษไปรษณีย์ รถไฟขับเคลื่อนอัตโนมัติที่มีมานานแล้วในประเทศญี่ปุ่น ระบบการขนส่งในอนาคตจะสามารถขับเคลื่อนได้โดยไม่ต้องมีมนุษย์เลย
งานก่อสร้างที่เคยใช้แรงงานคนจำนวนมาก ไม่ได้ถูกทดแทนด้วยหุ่นยนต์ที่จะมาแบกอิฐ แบกปูน โบกตึก แทนมนุษย์หรอกนะครับ แต่มันโหดกว่านั้นเพราะระบบการก่อสร้างดั้งเดิมกำลังถูกทดแทนด้วยระบบ 3D Printing ขนาดยักษ์ที่เริ่มใช้งานจริงแล้วในประเทศจีน สหรัฐอเมริกา ที่สร้างบ้านหนึ่งหลังได้ในเวลาน้อยกว่า 24 ชั่วโมง
ภาพที่ 2 บ้านหลังนี้ถูกสร้างด้วย 3D Printer ในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง
ในอนาคตระบบ smart farm ที่ใช้ IoT, Blockchain และหุ่นยนต์จะสามารถสร้างผลผลิตทางการเกษตรตั้งแต่เริ่มต้นไถหว่านจนถึงเก็บเกี่ยวโดยไม่ต้องพึ่งเกษตรกรเลย
เคยได้ยินเทคโนโลยี In-vitro meat ไหมครับ เนื้อในห้องแลปที่นักวิทยาศาสตร์ได้ทุนจาก Sergey Brin บิดาแห่ง Google ทำงานวิจัยที่สามารถผลิตเนื้อสัตว์จากสเตมเซลล์ได้โดยไม่ต้องเลี้ยงสัตว์แม้แต่ตัวเดียว แน่นอนว่าเทคโนโลยีนี้อาจจะช่วยให้วิกฤติอาการขาดแคลนหมดไปจากโลกได้ในอนาคต แต่อาชีพปศุสัตว์ (ซึ่งสร้างมลภาวะอย่างมากให้กับโลก) ก็อาจจะหายไปด้วยเช่นเดียวกัน
ภาพที่ 3 ประมาณการว่าในปี 2030 จะ In-vitro meat (Cultured meat) เริ่มผลิตเพื่อการบริโภคได้จริงในราคาที่ถูกกว่าเนื้อสัตว์จากปศุสัตว์
การใช้ Blockchain และระบบเงินอิเลคทรอนิค จะทำให้บุคคลากรด้านการเงินและการธนาคารลดจำนวนลงเป็นอย่างมาก รวมถึงสาขาของธนาคารที่จะค่อยๆ น้อยลงไปเรื่อยๆ
เทคโนโลยี deep learning ที่ใช้สร้าง chatbot ที่ฉลาดมากขึ้น ซึ่ง chatbot เหล่านี้จะมาทดแทน customer service, telemarketer มากกว่า 90% ของงาน (ส่วนอีก 10% ที่เป็นปัญหาซับซ้อน จะยังคงต้องใช้มนุษย์ต่อไป)
แม้แต่งานบริการที่เราคาดกันว่าหุ่นยนต์จะมาแทนมนุษย์ได้ยาก ก็ยังจะได้รับผลกระทบจากการส่งออกบริการไปยังต่างประเทศเช่นอินเดียหรือทวีปแอฟริกาที่ประชากรวัยแรงงานจะเติบโตเพิ่มจำนวนถึงขีดสุดในช่วง 20 ปีข้างหน้านี้ (ถ้านับจากอัตราการเกิดอินเดียจะแซงจีนเป็นประเทศที่มีประชากรสูงที่สุดในโลก) และเทคโนโลยี Virtual Reality ที่จะพัฒนาก้าวกระโดดในยุคหน้านี้ จะทำให้เราสามารถทำงานบริการแบบข้ามทวีปได้โดยไม่ต้องเจอตัวเป็นๆ กันด้วยซ้ำ ประเทศค่าแรงสูงอย่างสหรัฐอเมริกา ประเทศในยุโรป หรือญี่ปุ่น ก็จะเจอการไหลออกของการเอาท์ซอร์สแรงงานไปยังแหล่งแรงงานที่มีราคาถูกมากขึ้นเรื่อยๆ
การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีในครั้งนี้มีแนวโน้มรุนแรงมากยิ่งกว่าการปฏิวัติอุตสาหกรรมหลังการค้นพบถ่านหินในศตวรรษที่ 18 เสียอีก เพราะการปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุคนั้นสร้างงานจำนวนมากให้กับมนุษย์ ในขณะที่การปฏิวัติเทคโนโลยีในทศวรรษหน้านั้นเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกันเลย
จากรัฐที่เคยต้องช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มประชากรวัยเกษียณ กับประชากรทุพพลภาพ กลับต้องเพิ่มภาระอีกอย่างคือ การช่วยเหลือประชากรวัยแรงงานที่ไร้งาน
แน่นอนครับว่าสิ่งที่พวกเรากังวลกันเป็นเรื่องแรก จากการเข้ามาทดแทนกำลังแรงงานของเทคโนโลยีสมัยใหม่ ก็คืออัตราการว่างงานที่จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในประเทศพัฒนาแล้ว แต่ในความจริงแล้ว การเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงนี้จะเกิดผลกระทบต่อเนื่องไม่เพียงแต่กับประชากรแรงงาน แต่จะส่งผลไปถึงกลุ่มประชากรวัยเกษียณอีกด้วย และท้ายที่สุดมันอาจจะรุนแรงถึงขั้นทำลายความมั่นคงของรัฐเลยทีเดียว
นั่นก็คือปฏิกริยาลูกโซ่ถัดไปที่จะไปสู่สังคมผู้สูงอายุ
เรื่องของ aging society นั้นถูกพูดถึงกันมานานแล้ว อ้างอิงจากเว็บไซต์ populationpyramid ประมาณการกันว่าในปี 2100 ประชากรไทยจะลดจำนวนลงจาก 68 ล้านคนมาอยู่แถวๆ 40 ล้านคน (-41%) ส่วนญี่ปุ่น ประชากรจะลดจาก 127 ล้านคน เหลือเพียงแค่ 83 ล้านคน (-34%)
ในขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วส่วนใหญ่ประชากรมีจำนวนลดลงเนื่องจากอัตราการเกิดต่ำมากจากค่านิยมของคนยุคใหม่ที่ไม่นิยมการมีบุตร และอัตราการตายต่ำจากพัฒนาการของเทคโนโลยีทางการแพทย์ ในขณะที่ประเทศในกลุ่มแอฟริกากลับมีอัตราการเกิดที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้โครงสร้างประชากรในอนาคตเปลี่ยนแปลงแตกต่างกันมากในแต่ละทวีป
ภาพที่ 4 เปรียบเทียบประชากรปี 2015 และประชากรคาดการณ์ปี 2035 ในกรณีที่ไม่เกิดสงครามโลกครั้งที่สาม (ลองเล่นได้ที่เว็บไซต์ http://populationpyramid.net)
ลองคิดภาพนะครับว่า ในประเทศพัฒนาแล้วคนวัยแรงงานไม่มีงานทำ ทำให้รัฐบาลขาดรายได้จากการเก็บภาษี รวมไปถึงรายได้ของระบบประกันสังคมก็จะขาดหายไปอย่างมาก
แถมยังต้องเจอกับปัญหาเรื่องการเพิ่มปริมาณของประชากรวัยเกษียณ เมื่อคนเกิดน้อยลง แถมตกงาน รัฐขาดรายได้ แต่ตรงกันข้ามคนวัยเกษียณกลับเพิ่มขึ้น
Social Security Trust Fund ของสหรัฐอเมริกาเริ่มเกิดอาการกระแสเงินสดติดลบมาตั้งแต่ปี 2010 (รายได้ที่เก็บจากประชากรวัยแรงงาน น้อยกว่ารายจ่ายที่จ่ายให้กับประชากรวัยเกษียณ ทำให้เกิดงบประมาณขาดดุล) และแนวโน้มว่ากองเงินประกันสังคมขนาด $2.7 ล้านล้านเหรียญอาจจะหมดเกลี้ยงเหลือ 0 ภายในปี 2030 (ซึ่งจริงๆ แล้วการประมาณการนี้ยังไม่ได้คำนวนความเร่งของพัฒนาการเทคโนโลยีที่จะทำให้ประชากรวัยแรงงานตกงานมากขึ้นในสิบปีข้างหน้านี้นะครับ)
ภาพที่ 5 ประกันสังคมสหรัฐเริ่มเข้าสู่ภาวะขาดดุลตั้งแต่ปี 2010 และมีแนวโน้มขาดดุลหนักขึ้นเรื่อยๆ จากรายได้ที่น้อยลง และรายจ่ายที่มากขึ้นตามจำนวนผู้สูงอายุ
วิบากกรรมซ้ำกองทุนประกันสังคมของประเทศพัฒนาแล้วอีกต่อหนึ่ง ก็คือเงินกองกลางที่ประกันสังคมเก็บเอาไว้ จำเป็นจะต้องหาผลตอบแทนที่ความเสี่ยงต่ำ ส่วนใหญ่กองทุนประกันสังคมจึงมักจะปล่อยกู้ให้กับรัฐบาลในรูปแบบของการซื้อพันธบัตร ประกันสังคมของสหรัฐเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ให้กับรัฐบาลมานาน ถือพันธบัตรสหรัฐอยู่เป็นสัดส่วนคือเกือบ 100% ของเงินกองทุน..!! ($2.7 ล้านล้าน) เป็นเจ้าหนี้อันดับ 1 ของรัฐบาล คิดเป็นสัดส่วนหนี้ประมาณ 14.4% ของมูลหนี้ $19 ล้านล้านเหรียญ มากกว่าปริมาณพันธบัตรสหรัฐที่ญี่ปุ่นกับจีนถือรวมกันเสียอีก..!! (แต่ในระยะยาวถ้ารัฐบาลสหรัฐยังผลาญเงินเป็นกระดาษแบบนี้ FED จะกลับกลายมาเป็นเจ้าหนี้อันดับ 1 แทน)
ภาพที่ 6 สัดส่วนเจ้าหนี้ของสหรัฐอเมริกา (อัพเดทกลางปี 2016) ในที่นี้ถ้าไม่นับสถาบันและนักลงทุนรายย่อย กองทุนประกันสังคมเป็นเจ้าหนี้อันดับ 1 ถึง 14.4% หรือ $2.7 ล้านล้าน
แต่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกกลับลดลงอย่างต่อเนื่อง ในระดับที่บางประเทศอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรเข้าขั้นติดลบไปแล้ว (สวิสเซอแลนด์, ญี่ปุ่น, เยอรมัน) นั่นหมายความว่า เจ้าหนี้อย่างประกันสังคม ไม่เพียงแต่จะได้ผลตอบแทนต่ำลงเรื่อยๆ ยังจะเจอสถานการณ์ที่เงินต้นลดลงจากอัตราดอกเบี้ยที่ติดลบซะอีก และนี่เป็นระเบิดเวลาก้อนใหญ่ที่ซ่อนอยู่ในระบบประกันสังคมของประเทศพัฒนาแล้วแทบทุกประเทศ (ความเห็นส่วนตัวของผม FED จำเป็นจะขึ้นดอกเบี้ยก็เพราะแรงกดดันจากระเบิดก้อนนี้ เรื่องเศรษฐกิจฟื้นตัวอะไรนั่นผมไม่ให้น้ำหนักซักเท่าไหร่)
รายได้น้อยลงฮวบฮาบ รายจ่ายเพิ่มขึ้นปรี้ดๆ แถมเงินกองกลางที่มีก็ผลตอบแทนต่ำติดดิน ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป ระบบประกันสังคมของประเทศพัฒนาแล้วทั่วโลกก็จะเข้าสู่ภาวะล้มละลายในที่สุด (ประมาณการกันว่าระบบประกันสังคมของสหรัฐจะล้มละลายภายในไม่เกิน 10-20 ปีข้างหน้านี้แล้ว)
ตัวอย่างของทางออกนี้มีให้เห็นแล้วในปี 2014 กองทุนประกันสังคมของประเทศญี่ปุ่น (GPIF: Government Pension Investment Fund) ที่มีขนาดกองทุน $1.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ลดการถือพันธบัตรรัฐบาล และเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นญี่ปุ่นจาก 12% เป็น 25% หรือย้ายไปถือหุ้นถึง 1 ใน 4 ของกองทุน!! (และนี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ Nikkei วิ่งขึ้นมาเยอะมากในช่วง 2014-2015)
ภาพที่ 7 กองทุนประกันสังคมของญี่ปุ่น (GPIF) เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้น และลดการลงทุนในพันธบัตร
แต่แน่นอนว่าการตัดสินใจทางเลือกนี้ย่อม ‘เพิ่มความเสี่ยง’ ให้กับกองทุนอย่างเลี่ยงไม่ได้ ถ้าตลาดหุ้นพัง นั่นหมายถึงเงินของประชาชนจะหายไปทันที (Nikkei มี market cap ลดลงเกือบ 30% ในช่วงปลายปี 2015 ถึงกลางปี 2016 แน่นอนว่าเงินกองกลางของ GPIF ก็ลดลงตามไปด้วยไม่มากก็น้อย)
เราลองมาดูสมการกันว่า b = a + c ถ้าเกิด a ลดลงเร็วกว่า b ยังไงแล้วทางเลือกเดียวก็คือต้องเพิ่ม c ให้ได้
ในทางทฤษฏีถ้าจะเพิ่มผลตอบแทนของกองทุน มีแค่สองทางครับ ก็คือ ทิ้งพันธบัตร หรือเพิ่มผลตอบแทนให้พันธบัตรใหม่ ด้วยการขึ้นอัตราดอกเบี้ย หรืออาจจะต้องทำทั้งสองทาง
ซึ่งทั้งสองทางจะทำให้เกิดปฏิกริยาลูกโซ่ลำดับที่สาม ก็คือ วิกฤติภาระหนี้ภาครัฐ หรือ Soverign Debt Crisis ที่จะเป็นระเบิดลูกใหญ่กว่าที่อาจจะตามมา ซึ่งผมจะมาเล่าให้ฟังต่อในตอนที่ 2 เพราะเขียนเพลินๆ ตอนนี้เริ่มยาวเกินไปเสียแล้ว
PS. บางคนอาจจะสงสัยว่า GPIF ทิ้งพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นไปถือหุ้น แล้วทำไม yield พันธบัตรญี่ปุ่นไม่พุ่ง กลับดิ่งต่ำไปกว่าเดิม (ในช่วงนั้น) แล้วใครกันเป็นคนที่มารับซื้อพันธบัตรที่ GPIF ทิ้งออกมา..? ความจริงแล้ว ธนาคารกลางญี่ปุ่นหรือ BOJ นี่แหละครับ ที่ควบคุม yield curve ของพันธบัตรเอาไว้ ด้วยการกว้านซื้อพันธบัตรที่ GPIF ทิ้งออกมา (BOJ’s bond-buying program) มันเหมือนการลักไก่ที่ FED พิมพ์แบงค์ให้รัฐบาลสหรัฐใช้จ่าย ของญี่ปุ่น BOJ ก็พิมพ์เงินมารับซื้อหนี้ของรัฐบาลญี่ปุ่นจาก GPIF เหมือนกัน ธนาคารกลางของพวกประเทศมหาอำนาจเล่นกันแบบนี้ระยะยาวน่ากลัวจะเกิดวิกฤติพันธบัตรมาก
Ran Pravithana 07/12/17
ยาวนานกว่า 1 ปีมาแล้วที่ผมเขียน Rise of the Robot เมื่อเทคโนโลยีจะทำลายล้างมนุษย์ ตอนที่ 1 ช่วงก่อนหน้านี้ที่ทาง FINNOMENA จัดปาร์ตี้กัน ผมได้รับเกียรติให้ไปร่วมงาน ก็โดนคุณเจ็ทกับคุณแบงค์แซวในงานว่า ครบรอบ 1 ปีแล้ว มีคนรออ่านตอนที่ 2 อยู่นะ นานจริงๆ ครับกว่าผมจะเรียบเรียงเนื้อหาได้ลงตัว จนวันนี้ได้ฤกษ์ผมจะมาเขียนตอนที่ 2 ให้อ่านกันครับ
ในตอนแรกผมพูดถึงเทคโนโลยีที่มาพร้อมการเปลี่ยนโครงสร้างประชากร จะทำให้เกิดปัญหาสำคัญสองอย่าง
ในตอนนี้ผมจะพูดถึงวิกฤติที่ 3 นั่นคือวิกฤติภาระหนี้ภาครัฐ หรือ Sovereign Debt Crisis ผมจะเล่าแบบคร่าวๆ ถึงโครงสร้างหนี้สินของภาครัฐของประเทศมหาอำนาจอย่าง สหรัฐ ยูโร และญี่ปุ่นให้ฟังกัน
(จั่วหัวเกี่ยวกับเทคโนโลยี แต่ผมเกริ่นยาวไปหน่อย ทำให้ตอนนี้ไม่เกี่ยวกับเทคโนโลยีมากเท่าไหร่ ขออภัยนะครับ ตอนนี้เป็นแค่ปูพื้น แต่ถ้าอยากอ่านเรื่องเทคโนโลยีรออ่านตอนที่ 3 ได้เลยครับ)
หนี้ภาครัฐเป็นวิกฤติอย่างไร..? ผมพยายามจะเรียบเรียงประเด็นปัญหาของพันธบัตรให้ทุกท่านเข้าใจได้แบบไม่ใช้ภาษาเศรษฐศาสตร์มากจนเกินไปนะครับ
ปกติแล้วรายได้ของประเทศจะมาได้รูปแบบของภาษี ซึ่งกระทรวงการคลังมีหน้าที่จัดเก็บในหลากหลายรูปแบบ เมื่อได้รายได้ ก็ต้องมีรายจ่าย ซึ่งก็จะเป็นเรื่องของการลงทุนภาครัฐ
หากรายได้ของคลังมากกว่ารายจ่าย จะเรียกว่า เกินดุลงบประมาณ
หากรายจ่ายของคลังมากกว่ารายได้ จะเรียกว่า ขาดดุลงบประมาณ
ที่นี้คุณลองคิดภาพว่า ถ้าเกิดประเทศเป็นเหมือนบริษัทๆ หนึ่ง เมื่อรายได้น้อยกว่ารายจ่าย แน่นอนว่าจะทำให้บริษัทนั้นๆ มีปัญหาคือเงินไม่พอ ซึ่งวิธีการแก้ไขปัญหาการขาดเงินก็คือ “การกู้เงิน” นั่นเอง
ประเทศก็เช่นเดียวกันครับ เมื่อตั้งงบประมาณแบบขาดดุลมากๆ เข้า สุดท้ายเงินก็หมด รัฐก็จำเป็นจะต้องหาเงินมาเพิ่ม เพื่อให้สามารถดำเนินกิจกรรมต่อไปได้ วิธีการที่ง่ายที่สุดคือก็ขอกู้เงิน การกู้เงินของรัฐบาล ใช้วิธีการออกพันธบัตร
หลายคนบอกว่า อ้าว แล้วจะใช้จ่ายเกินตัวทำไม มีรายได้น้อยก็ใช้เงินน้อยๆ สิ จะได้ไม่ต้องไปกู้ให้เกิดภาระ แต่รัฐบาลไม่ใช่บริษัทครับ ในยุคทุนนิยมในปัจจุบัน การทำงบประมาณขาดดุลเป็นเรื่องแทบจะเรียกได้ว่าปกติธรรมดาของรัฐบาลแทบจะทั้งโลก นั่นก็เพราะแนวคิดเศรษฐศาสตร์ยุคใหม่ (ที่เรียกกันว่า Neo-Keynesian) เชื่อว่า การทำงบประมาณขาดดุลนั้น จะช่วยให้ประเทศมีการเติบโตที่ดีได้
อธิบายภาษาง่ายๆ นะครับ คือ นักเศรษฐศาสตร์สาย Neo-Keynesian (เช่น พอล ครุกแมน) เชื่อกันว่า เมื่อเศรษฐกิจซบเซา รัฐจำเป็นจะต้องเข้าแทรกแซงเศรษฐกิจและสร้างงาน ด้วยการอัดการใช้จ่ายภาครัฐให้มาก เพื่อให้เศรษฐกิจขับเคลื่อน พร้อมๆ ไปกับพัฒนาสาธารณูปโภคของประเทศให้ดีขึ้น ดังนั้นในระยะสั้น เงินที่รัฐใช้เกินตัวนั้นจะถูกเอามาสร้าง สร้าง และสร้าง ไม่ว่าจะเป็นรถไฟความเร็วสูง ถนน หนทาง ท่าเรือ ระบบชลประทาน ทางด่วน ฯลฯ
การพัฒนาโครงการยักษ์ใหญ่เหล่านี้ ในระยะสั้น จะทำให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (คือรัฐสร้างงานในช่วงที่เอกชนหมดแรง) และในระยะยาว สาธารณูปโภคเหล่านี้นี่แหละ ที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศมากขึ้น จะทำให้ภาคเอกชนมีต้นทุนในการดำเนินธุรกิจที่ลดลง และแข่งขันกับต่างประเทศได้ดีขึ้น เมื่อเศรษฐกิจดีขึ้น อนาคตรัฐก็จะได้รายได้จากภาษีมากขึ้น สามารถทำงบประมาณเกินดุลได้ และนำส่วนที่เกินนั้นไปชดเชยส่วนที่ขาดดุลในอดีตได้ในที่สุด
แนวคิดดูดี ตามแบบฉบับของจอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ บิดาแห่งการ Keynesian Economics ที่เคยช่วยให้โลกหลุดพ้นกับดักเงินฝืดในยุค The Great Depression ในช่วง 1929 มาแล้วด้วยการแทรกแซงและอัดฉีดของรัฐ
แต่ในยุคปัจจุบัน กลับไม่เป็นเช่นนั้น..!! (ความล้มเหลวของ Neo-Keynesian เป็นเรื่องยาวและผมคงไม่นำมาเล่าในโพสนี้ ถ้ามีโอกาสอาจจะลองเรียบเรียงและมาเล่าในโอกาสถัดไป)
รัฐบาลประเทศมหาอำนาจทั่วโลก มีงบประมาณขาดดุลทุกปี กระตุ้นเศรษฐกิจมาตลอด นับสิบๆ ปีตั้งแต่ยุคหลังยกเลิก Bretton Woods ที่สหรัฐอเมริกายกเลิกการผูกค่าเงินกับทองคำ การใช้จ่ายภาครัฐก็สูงขึ้นแบบเท่าทวีคูณ (ทำไมการใช้จ่ายภาครัฐ ถึงไปเกี่ยวข้องกับการยกเลิกการผูกค่าดอลล่าร์กับทองคำ ถ้าใครอยากรู้ผมแนะนำให้อ่าน เหตุผลที่ Bitcoin ทะลุ $1,000 อธิบาย Cryptocurrency ในแง่มุมเศรษฐศาสตร์)
ภาพที่ 1: ภาระหนี้ของสหรัฐหลังยกเลิกการผูกค่าเงินดอลล่าร์กับทองคำในปี 1971 โดยปธน.ริชาร์ด นิกสัน รัฐบาลสหรัฐมีงบประมาณขาดดุลมากขึ้นเรื่อยๆ ตลอด 45 ปี เว้นแค่ช่วงที่คลินตันเป็น ปธน. เป็นแค่ช่วงสั้นๆ เท่านั้นที่รัฐบาลสหรัฐเกินดุลงบประมาณ
สหรัฐอเมริกาออกพันธบัตรมากขึ้นๆ แต่จนแล้วจนรอด ก็ได้เงินไม่พอให้รัฐบาลใช้ จนสุดท้ายต้องใช้วิธีการให้ธนาคารกลางโกงเกมส์ด้วยการ QE พิมพ์เงินเพื่อเอามาซื้อพันธบัตรสหรัฐ หรือพูดง่ายๆ ก็คือพิมพ์เงินมาให้รัฐบาลใช้นั่นแหละ รวมไปถึงการกดดอกเบี้ยลงต่ำๆ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยของรัฐ (บางคนบอกว่ารัฐกดดอกเบี้ยกระตุ้นเศรษฐกิจ จริงๆ แล้วการลดดอกเบี้ยมันไม่ได้ช่วยอะไรเศรษฐกิจเท่าไหร่หรอกครับ แต่มันกลับช่วยรัฐลดภาระหนี้สินต่างหาก)
ปัญหาที่น่าประหลาดใจกับระบบทุนนิยมก็คือ ไม่ว่ารัฐบาลจะสร้างหนี้สินเพิ่มท่วมหัวขนาดไหน ทุกคนก็ยังเชื่อว่า รัฐมีเครดิตที่ดีเสมอ อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรก็เลยอยู่ในระดับต่ำมาตลอด (ยกเว้นก็แต่ประเทศเล็กๆ ที่ไม่มีเครดิตดีนักอย่างกรีซ ที่เคยมีอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรสูงพุ่งไปถึงกว่า 20% ซึ่งบ่งบอกว่าคนไม่ให้ความเชื่อถือรัฐบาลกรีซเลย)
รัฐบาลสหรัฐมีหนี้สินภาครัฐสูงมากเข้าใกล้ 20 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่รัฐบาลต้องใช้เงิน เค้าก็ขอขยับเพดานหนี้เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ นับตั้งแต่ปี 1962 ถึงปัจจุบัน การขยับเพดานหนี้สหรัฐครั้งล่าสุดนับเป็นการขยับเพดานหนี้ครั้งที่ 74 เข้าไปแล้ว
ลองคิดว่าถ้ารัฐบาลเป็นคนซักคนนึงนะครับ คนๆ นี้มีรายได้จำกัดเดือนละ 15,000 แต่กลับใช้เงินมือเติบเดือนละ 50,000 แน่นอนว่าเค้าไม่มีเงินพอใช้แน่ ซึ่งเค้าก็แก้ปัญหาด้วยการใช้บัตรเครดิตทุกเดือนๆ พอบัตรวงเงินเต็ม เค้าก็ขอให้ธนาคารขยายวงเงินบัตรเครดิตให้อีกเรื่อยๆ ถึง 74 ครั้ง ถ้าคุณเป็นนายแบงค์คุณคงแบล็คลิสต์อีตาคนนี้ ไม่ให้ใช้บัตรเครดิตอีก และทำทุกวิถีทางที่จะขอคืนเงินต้นทั้งหมดกลับมาให้เร็วที่สุด
แต่กับรัฐบาลสหรัฐแล้วตรงกันข้ามเลยครับ
ทีนี้พอหนี้สินสูงมากๆ เข้า ดอกเบี้ยต่ำนานๆ เข้าปัญหาก็เริ่มเกิดครับ เพราะว่าเจ้าหนี้อันดับ 1 ของสหรัฐคือกองทุนประกันสังคมของสหรัฐนั่นเอง กองทุนประกันสังคมซื้อพันธบัตรรัฐบาล หรือพูดอีกแง่ก็คือ รัฐบาลเอาเงินประชาชนนี่แหละมาใช้ และจ่ายดอกเบี้ยต่ำติดดินให้ ซึ่งผมได้พูดไว้ในโพสที่แล้วว่า ด้วยเหตุผลนี้ทำให้กองทุนประกันสังคมมีความเสี่ยงที่จะล้มละลาย (และผมเชื่อว่านี่คือเหตุผลลึกๆ ที่ FED ถูกบีบบังคับให้ต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ย)
ผมจะค้างไว้ในเรื่องประเด็นนี้ว่า หนี้สินท่วมหัวแบบนี้ อนาคตของสหรัฐจะเป็นอย่างไร ขอแวบไปพูดถึงหนี้ยูโรต่ออีกหน่อยครับ
กลุ่มยูโรก็วิกฤติหนี้ไม่ต่างจากสหรัฐอเมริกา เผลอๆ จะหนักกว่าเสียด้วยจากปัญหาเศรษฐกิจเรื้อรังจากการรวมกลุ่มยูโรแบบครึ่งๆ กลางๆ จนสุดท้าย ECB หรือธนาคารกลางยูโรต้องเลียนแบบสหรัฐ คือพิมพ์เงิน (QE) มาซื้อพันธบัตรรัฐบาล หรือพูดตรงๆ ก็คือพิมพ์เงินมาให้รัฐใช้นั่นแหละ
ECB พิมพ์เงินมาหลายปีแล้วครับ จนกระทั่งตอนนี้ ECB ถือพันธบัตรยูโรเป็นสัดส่วนที่สูงมากที่สุด มากยิ่งกว่า BOJ ถือพันธบัตรญี่ปุ่น หรือ FED ถือพันธบัตรสหรัฐเสียอีก
ภาพที่ 2: สัดส่วนการถือพันธบัตรของธนาคารกลาง ซึ่งตอนนี้ QE ของ ECB นำโด่งไปแล้ว
ช่วงปลายปีดันมีข่าวว่า ECB วางแผนจะลดและหยุด QE
ตอนนี้ ECB ถือพันธบัตรของยูโรโซนอยู่ 40% ของพันธบัตรรัฐบาลทั้งหมด..!?!
และถ้าดูในรูปจะเห็นว่าที่ผ่านมา ECB ซื้อพันธบัตรในปริมาณเกิน 2.5 เท่าของพันธบัตรที่รัฐบาลของประเทศในยุโรปออกมาในรอบ 1 ปีเลยทีเดียว ถือว่าทำสถิติสูงสุดในทุกประเทศที่เคย QE กราฟนี้เป็นตัวบ่งบอกได้ดีว่า วิกฤติยุโรปจริงๆ มันเน่าเฟะมากขนาดไหน
และถ้า ECB หยุดพิมพ์เงิน.. ก็ไม่มีเงินไปซื้อพันธบัตรเพิ่ม
คำถามคือ ใครจะซื้อพันธบัตรรัฐบาลในยุโรปต่อจาก ECB..?
การซื้อขายพันธบัตรก็คล้ายๆ หุ้นครับ
ถ้าหุ้นไม่มีฝั่ง Bid ราคาหุ้นก็ทิ้งดิ่ง
ถ้าพันธบัตรไม่มีฝั่ง Bid ราคาพันธบัตรก็ทิ้งดิ่ง (Yield ก็จะพุ่งแบบที่พันธบัตรกรีซเคยเป็นมาก่อน)
ดังนั้น ECB ต้องมีแผนรองรับถ้าจะหยุด QE จริง ทำยังไงที่จะทำให้พันธบัตรรัฐบาลเน่าๆ แบบที่ ECB ซื้อมาสะสมมีคนอยากได้ต่อไป..?
ตอนนี้ ECB กำลังผลักดัน proposal ที่จะออก Eurobond..!!
ฟังดูเท่ห์น่าเชื่อถือนะครับ
แต่จริงๆ Eurobond ก็เป็นเหมือนเอาพันธบัตรของหลายประเทศในยุโรปที่ทั้งเน่าและไม่เน่ามาจับมัดรวมกัน และแต่งหน้าแต่งตาให้ใหม่ เรียกว่า Eurobond ใส่ตะกร้าล้างน้ำ ออกขายให้นักลงทุน
วิธีการมันก็คล้ายๆ ตอนวิกฤติ subprime ในอเมริกาที่เอาพวก Subprime มามัดรวมกันเป็น MBS แล้วเอา MBS มามัดรวมเป็น CDO น่ะแหละครับ คล้ายๆ กัน คือแอบเอาไข่เน่าใส่ผสมลงไปในถาดไข่ปกติแล้วมัดรวมขายในราคาหลอกลวงผู้บริโภค เป็นกระบวนการที่นักการเงินตั้งชื่อเท่ห์ๆ ว่า Securitization ซึ่งเคยเกือบทำลายมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกามาแล้ว
ของที่เน่า จะแต่งหน้าทาปากให้สวยยังไง ข้างในมันก็ยังเน่าอยู่วันยังค่ำ Eurobond (ถ้ามันเกิดจริง) มันเป็นแค่การเตะถ่วงปัญหาความเน่าของยุโรปไปในอนาคตแค่นั้นแหละครับ และถึงเวลาที่เตะถ่วงไม่ได้ เมื่อทุกคนรู้ความจริงและไม่มีใครอยากได้ Eurobond มันก็จะระเบิดแบบที่ subprime เคยระเบิดมาก่อน
ผลสรุป ECB ประกาศต่ออายุ QE ไปเรื่อยๆ แบบไม่มีกำหนด (แม้จะลดวงเงิน QE ลงก็ตาม) ซื้อเวลาตายของกลุ่มยูโรออกไปอีก
แปลกดีครับที่หุ้นยุโรปและเงินยูโรในปีนี้วิ่งกลับขึ้นมาสู่ภาวะกระทิงอีกครั้ง ในขณะที่ดอลล่าร์อ่อนตัวลงต่อเนื่อง (ซึ่งผมคาดการณ์ผิดว่าจะอ่อนไม่นานก่อนจะกลับตัวมาแข็งใหม่ แต่ตอนนี้ลากยาวมาหลายเดือนละครับ) ทั้งๆ ที่ตั้งแต่ปัญหาปี 2011 จนถึงตอนนี้ ผมไม่เห็นว่ายุโรปมีพัฒนาการที่ดีขึ้นตรงไหนเลย
ความเห็นส่วนตัว ผมยังเชื่อว่าการแข็งค่าของยูโรตอนนี้เป็นเพียงแค่ภาพลวงตาระยะสั้น และผมเชื่อว่ายุโรปไม่ได้ฟื้น (ในระดับฐานราก) ปัญหาทุกปัญหาที่กลุ่มยูโรเคยมี มันยังอยู่อย่างครบถ้วน และกลับจะหนักข้อขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
ปัญหาของยูโร คือการรวมกลุ่มที่ครึ่งๆ กลางๆ ยุบรวมใช้เงินสกุลเดียวกัน แต่กลับแยกหนี้ของแต่ละประเทศออกจากกัน แต่ละประเทศมีพันธบัตรของตัวเอง เครดิตแตกต่างกันไป แต่ล้วนซื้อขายเป็นสกุลเงินยูโร
คหสต. ผมคิดว่าทางเดียวที่พอจะช่วยแก้วิกฤติหนี้ของกลุ่มยูโรในระดับฐานราก คือการรวมหนี้ของทุกประเทศในกลุ่มยูโรเข้าเป็น single euro debt ไม่ใช่แค่หนี้ในอนาคต แต่คือหนี้ในอดีตทั้งหมดที่กลุ่มยูโรมีต้องพร้อมที่จะถูกลดมูลค่า (Devaluation) ซึ่งก็พอเดาได้ว่ามันคงเป็นไปไม่ได้เลย โดยเฉพาะเยอรมันไม่เอาด้วยแน่ๆ
พักปัญหาหนี้ยูโรไว้ก่อน แล้วปิดท้ายกันด้วย หนี้ญี่ปุ่น
อันนี้ผมขอเล่าแค่สั้นๆ เพราะญี่ปุ่นก็ไม่ต่างไปจากสหรัฐอเมริกาและกลุ่มยูโรครับ คือภาระหนี้ท่วมจากการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบไร้ผลมาอย่างยาวนานร่วม 30 ปี เพื่อฉุดกระชากให้ประเทศญี่ปุ่นพ้นจากภาวะเงินฝืดเรื้อรัง (ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาที่น่าสนใจมากๆ ในทางเศรษฐศาสตร์ ซึ่งผมน่าจะมีโอกาสเล่าสู่กันฟังในโพสต่อๆ ไปถ้ามีพลังเขียนมากพอ)
โพสที่แล้วผมเล่าไปแล้วว่าประกันสังคมของญี่ปุ่นเจอปัญหาว่าผลตอบแทนของการถือพันธบัตรต่ำมาก จนต้องทิ้งพันธบัตรรัฐในพอร์ตโฟลิโอ ย้ายไปถือหุ้นซึ่งผลตอบแทนสูงกว่าแทน
เอาล่ะสิครับ “ทิ้งพันธบัตร” คำนี้น่ากลัวมากครับ ผมจะลองยกตัวอย่างง่ายๆ ให้ฟัง
ลองคิดกันเล่นๆ ครับ ถ้าคุณปล่อยกู้ให้เพื่อนคุณคนนึง แต่เมื่อคุณรู้สึกไม่อยากจะเป็นเจ้าหนี้อีกต่อไปแล้ว (อาจจะเพราะผลตอบแทนต่ำ หรือเครดิตลูกหนี้ไม่ดี หรืออะไรก็ตามแต่) คุณก็จะรีบขายหนี้ต่อให้คนอื่นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
พอคุณอยากรีบขายหนี้ คุณก็จำเป็นจะต้องลดราคาหนี้ลง พอลดราคาหนี้ลง อัตราดอกเบี้ยก็เพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับราคาขายลด ยกตัวอย่าง หนี้ 100 บาท อัตราดอกเบี้ย 1.5% ถ้าเจ้าหนี้กลัวหนี้สูญ อยากรีบขายหนี้ เลยลดให้เหลือ 90 บาท พอคำนวนแล้ว 90 บาทได้ผลตอบแทน 1.5 บาท นั่นก็คือ อัตราดอกเบี้ยเทียบราคาปรับลดแล้วเพิ่มเป็น 1.67% นั่นเอง
คุณก็เหมือนกองทุนประกันสังคมของญี่ปุ่น และลูกหนี้ของคุณก็คือรัฐบาลญี่ปุ่น
ตามหลักแล้วถ้าคุณขายพันธบัตรทิ้ง Yield พันธบัตรจะยิ่งเพิ่มสูงขึ้น (บ่งบอกถึงความเสี่ยงของพันธบัตรนั้นๆ เช่น กรีซที่ผมเคยพูดถึงว่า Yield พันธบัตรพุ่งสูงถึงกว่า 20% แปลได้ว่ามันเสี่ยงแบบสุดๆ) เพราะคนแห่ขายพันธบัตรในราคาถูกลง
นี่แหละปรากฏการณ์ที่เราได้ยินบ่อยๆ ว่า “Yield พุ่ง” จริงๆ ก็คือราคาขายพันธบัตรถูกลงนั่นเอง ยิ่งขายพันธบัตรถูกลงแค่ไหน Yield ยิ่งพุ่งแรงเท่านั้น ดังนั้นเวลาคุณเห็น Yield พุ่ง คุณพอจินตนาการได้เลยว่าคนโยนซ้ายพันธบัตรกันแบบหน้ามืดตามัวแน่นอน
แต่แปลกไหมครับ Yield พันธบัตรญี่ปุ่น เคยต่ำยังไงก็ยังต่ำอย่างนั้น บางครั้งเด้งสูงขึ้นมานิดนึง ซักพักก็ค่อยๆ ลดลงไปในระดับปกติ
นั่นแปลว่าพันธบัตรญี่ปุ่นน่าเชื่อถือใช่หรือเปล่า..?
เอาจริงๆ แล้วตรงข้ามเลย ทุกท่านทราบหรือไม่ครับ สาเหตุที่คนแห่ทิ้งพันธบัตรของรัฐบาลญี่ปุ่นแต่ Yield กลับไม่เพิ่มสูงขึ้นเพราะธนาคารกลางญี่ปุ่นหรือ BOJ โกงเกม!!
BOJ มีนโยบาย Bond Buying Program พูดง่ายๆ ว่า BOJ พิมพ์เงิน QE แบบไม่จำกัด เพื่อนำมากว้านซื้อพันธบัตรรัฐบาลที่มีคนโยนทิ้งออกมาแบบ unlimited เพื่อกด Yield ให้ต่ำติดดินไปเรื่อยๆ
โคตรโกง..!!
นั่นแปลว่าในระยะยาวหากมีคนทิ้งพันธบัตรรัฐบาลมากๆ เข้า BOJ ก็จะเข้าไปทรงเดียวกันกับ ECB คือในที่สุด BOJ จะกลายไปเป็นเจ้าหนี้อันดับหนึ่งของรัฐบาล!! (ปัจจุบันเจ้าหนี้อันดับ 1 ของรัฐบาลญี่ปุ่นก็คือประชาชนญี่ปุ่นเอง แต่หลังๆ ประชาชนญี่ปุ่นก็เริ่มถือพันธบัตรรัฐไม่ไหวละครับ พอเข้าวัยเกษียณ ก็ต้องเริ่มขายพันธบัตรมาใช้จ่ายแล้ว รวมถึงคนวัยทำงานบางคนก็ทนกับผลตอบแทนต่ำติดดินของพันธบัตรไม่ไหว ก็จำต้องขายเพื่อย้ายเงินไปลงทุนสินทรัพย์อื่น)
สัญญาณนี้เป็นสัญญาณที่อันตรายมากครับ เพราะมันคือสัญญาณที่บ่งบอกว่า รัฐหมดความน่าเชื่อถือแล้ว ไม่มีใครอยากปล่อยกู้ให้รัฐบาลจนธนาคารกลางต้องมาแบกรับภาระนี้ไว้กับตัวเอง..
(ซึ่งใครที่อ่านบทความเรื่อง Bitcoin ของผมในหลายตอนที่เขียนมา จะเริ่มเชื่อมโยงภาพได้ว่า ทำไม Cryptocurrency จึงเริ่มได้รับความน่าเชื่อถือ นั่นเพราะนักลงทุนเริ่มเสื่อมความเชื่อถือในภาครัฐลง และเริ่มแสวงหาแนวทางการลงทุนทางเลือก ซึ่ง Cryptocurrency เป็นสินทรัพย์ที่เป็น “อิสระ” จากรัฐจึงเติบโตอย่างรวดเร็วและรุนแรง สองสิ่งนี้เกิดในเวลาไล่เลี่ยกันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ)
การที่ธนาคารกลางต้องมารับภาระเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของรัฐนั้นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า ธนาคารกลางของมหาอำนาจเหล่านี้จะหยุดพิมพ์เงินไม่ได้..!!
เพราะถ้าหยุดพิมพ์เงิน ก็จะไม่มีเงินไปให้รัฐกู้
เมื่อไม่มีเงินให้รัฐกู้ ทุกอย่างก็ end game รัฐบาลล้มละลาย ไม่มีเงิน ไม่มีใครให้กู้อีก คืนเงินต้นก็คืนเจ้าหนี้ไม่ได้ จบด้วยการชักดาบ default หมดความน่าเชื่อถือ และกระทบเป็นลูกโซ่ไปทั้งโลก
หลายคนคิดว่า วิกฤติหนี้ภาครัฐหรือ Sovereign Debt Crisis ของชาติมหาอำนาจไม่มีวันเกิดขึ้น บางคนคิดว่า ดอลล่าร์ ไม่มีวันล่มสลาย รัฐบาลสหรัฐจะสามารถสร้างหนี้ไปได้เรื่อยๆ ตลอดกาล
โพสหน้าผมจะเล่าสมมติฐานของผมให้ฟังกันครับ ว่าการเกิดของเทคโนโลยีอย่าง Cryptoasset และ Cryptocurrency จะสั่นสะเทือนตลาดพันธบัตรของรัฐบาลและเร่งให้เกิดวิกฤติหนี้ภาครัฐได้อย่างไร..?
เริ่มยาวไปแระ ขอต่อโพสหน้านะ.. ^^”